เห็นข่าวเฮียฮ้อโต้โผใหญ่ของอาร์เอสประกาศจะตัดเชือกศิลปินที่ขายไม่ออกไปให้หมดจากค่าย...พร้อมกันนั้นแกก็บอกด้วยว่า ศิลปินคุณภาพที่มีอยู่แกจะเน้นให้เป็นพิเศษ โดยจะทำให้ศิลปินเหล่านั้นมีมูลค่าเพิ่มอย่างรอบด้านและบริษัทจะสนับสนุนให้ศิลปินเหล่านั้นเกิดอย่างมากที่สุด
มีหลายคนเห็นประโยคนี้ก็อดจะหัวร่อไม่ได้...หลายคนที่ยังอยู่ในวัย แนว ก็ตั้งคำถามกันว่า...เฮียค้าบ แล้วแบบนี้จะเหลือศิลปินซักกี่คนละค้าบ
คือถ้าเรายอมรับความจริงว่า การทำค่ายเพลงคือ การขายเสียงดนตรี และการผลิตศิลปินที่สามารถขับกล่อมเพลงออกมาอย่างได้คุณภาพ ถ้าหากเป็นแบบนั้นเราก็ต้อง ฟันธง ลงไปว่าอาร์เอสก็ถือเป็นค่ายต้นๆ ของประเทศนี้ที่แทบจะไม่มีคนที่มีความสามารถขนาดร้องเพลงแล้วเอามาขายได้เลย
ดูตัวอย่างฟิล์ม รัฐภูมิ ที่ตอนนี้เฮียอาจจะยกให้เป็นนักร้องเบอร์ 1 ฝ่ายชายของค่าย คือบรรดาประชาชนซึ่งมิได้หลงใหลไปกับหน้าตาที่มีสัณฐานคล้ายกล้วยหอมและประพิมประพายคล้ายหนุ่มเกาหลี ล้วนแล้วแต่ตั้งฉายาแกซึ่งเอาเข้าแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับการร้องเพลงแต่อย่างไร ไม่ว่าจะเป็น ฉายามนต์รักพระเครื่อง...หรือสองประตูสู้ไม่ถอย หรือหน้าหลังดันไม่เลี้ยงๆ ฯลฯ
ฝ่ายหญิงก็แย่หน่อย...คือฉายาอาจจะไม่ถึงขนาดนั้น ยกตัวอย่างเช่น เกิร์ลลี่ เบอร์รี่ แต่หลายคนไม่เคยจดจำได้เลยว่า เธอร้องเพลงอะไร
เท่าที่อยู่ในสมองคือ 4 สาวที่ดูเหมือนจะอยู่ในฮาเร็ม ที่อุดมไปด้วยความผอมกระหร่อง ตามด้วยไม้กระดานที่ดูเรียบๆ อีก 4 แผ่น ขอย้ำว่า...ขอไม่พูดถึงฉายาน้องเขาเพราะมันเป็นอาชีพที่ดูถูกลูกผู้หญิงเหล่านี้เหลือเกิน
แต่กระนั้นฝันของเฮียฮ้อที่จะผลิตศิลปินคุณภาพพร้อมกับขายได้ด้วยนั้นก็ไม่ใช่ฝันลมๆแล้งๆเสมอไป...
ขึ้นชื่อว่าเฮียฮ้อแล้ว อย่าไปดูถูกแกเด็ดขาด เพราะอย่างน้อย ณ.วันนี้ เราก็เห็นความพยายามที่จะดึงเอาขาใหญ่มาร่วมแจมในค่ายนี้ชนิดฉีกประเพณีนิยมของค่ายแห่งนี้อย่างชัดเจน
อย่างน้อย หนุ่มบาว-สาวปาน สุดยอดงานครึกครื้นเมื่อปีที่แล้วก็เป็นเครื่องยืนยันที่ดีว่า งานที่จะเอาทั้งคุณภาพ และจะเอาทั้งเงินนั้นก็สามารถไปด้วยกันได้ เพราะมันกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างยิ่ง
สำหรับ "แอ๊ด คาราบาว" หรือ "ยืนยง โอภากุล" นั้น หลายคนที่อ่านบทความนี้ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเอย หรือแม้กระทั่งในเว็บไซต์เอย อาจจะมีเสียงโห่และร้องยี้ตามกันมา เสียงโห่นั้นอาจจะเพราะผิดหวัง อาจจะเพราะเซ็งโดยเฉพาะช่วงที่เกิดปรากฏการณ์สนธิ และขบวนการพันธมิตรกู้ชาติ
คือบทบาทของคาราบาวกับกระแสของประชาชนส่วนนี้นั้นแทบจะไม่ข้องแวะกันเลย
คนที่โห่เขาก็โห่เพราะความผิดหวังที่นักร้องเพลงเพื่อชีวิตอันดับหนึ่งนั้นแม้จะเขียนเพลงได้ไวพอๆ กับการกระดกไวน์ และมีสัมผัสของความเขียนเพลงตามข่าวรายวัน แต่เรื่องใหญ่ๆ อย่างการโกงชาตินั้น ดูเหมือนจะเป็นเส้นผมบังภูเขาสำหรับแก
จะแตะ-จะตี ให้สมความเป็นนักรบเพื่อชีวิตก็ดูเหมือนจะแค่เอาไม้จิ้มฟันไปแหย่ๆ
แต่ต้องขอย้ำนะครับว่า เสียงโห่ และความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับประชาชนยามที่ได้เห็นคำว่าคาราบาวขึ้นมานั้น...สุดท้ายล้วนเป็นภาพมายาที่เราสร้างขึ้นมาเองและเราไปหวังพึ่งคนอื่นทั้งนั้น
เพราะ พูดโดยความเป็นธรรมแล้ว ผมว่าน้ายืนยงเขาประกาศตัวปลดแอกตัวเองจากการเป็นนักร้องเพลงในแนวเพื่อชีวิตนานแล้วนะครับ ถามว่าตั้งแต่ตอนไหน...ก็อาจจะตั้งแต่ตอนที่แกขี่ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ตลุยป่า หรือตั้งแต่ครั้งที่มีข่าวว่าแกไปมีที่มีบ้านอยู่ในป่าลึกเมืองกาญจน์ หรืออาจจะก่อนหน้านั้นก็เป็นได้
แต่มันมาชัดเจนว่าแกเลือกข้างแล้วตั้งแต่ ตั้งแกไปร้องเพลงและเป็นตัวโปรโมตให้เบียร์ช้างนั่นแหล่ะครับ แล้วก็มาเลือกข้างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า...ไม่ใช่พวกเพื่อชีวิตอีกต่อไปแล้วก็เมื่อทำเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนที่มีชื่อว่า...คาราบาวแดง
เช่นเดียวกับการไปขึ้นเวทีเชียร์ทักษิณอย่างออกหน้าออกตาในคอนเสิร์ตครั้งหนึ่งที่สนามกีฬารัชมังคลาภิเษก
ถ้าตัดอารมณ์ รัก น้อยอก น้อยใจ และยึดติดกับหัวโขนที่สังคมใส่ให้แกไป เราก็จะเห็นขบวนการปลดแอกตัวเองอย่างเป็นขั้นเป็นตอนชนิดที่จะต้องบอกว่า แอ๊ด แห่งเพลงเพื่อชีวิตนั้นตายไปนานแล้ว
ที่เหลืออยู่ก็คือ แอ๊ด คาราบาวแดง ที่เป็น ฉันคือทุนและทุนคือฉัน
เพราะฉะนั้นแค่แกแต่งเพลง เว้นวรรค...ให้กับคุณทักษิณเมื่อปีที่แล้ว ผมยังเซอร์ไพรซ์เลยครับว่าแกทำได้ไง และน่าจะเป็นอะไรที่แกต้องกัดฟันทำตามเสียงเรียกร้องของประชาชนมากโขอยู่ ซึ่งก็น่าจะเป็นที่สุดแห่ง แอ๊ด คาราบาวแดงกันแล้ว
เพราะฉะนั้นเราต้องให้ความเป็นธรรมกับ แอ๊ด คาราบาวแดงกันหน่อย
(ด้วยความเห็นใจน้าแก ก็ขอได้โปรดอย่าเอาน้าแอ๊ดแกไปเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาประเภทรักชาติ เป็นตัวแทนแต่งเพลงให้กองทัพ หรือ แต่งเพลงที่ว่าด้วยการอนุรักษ์อะไรอีกเลย เพราะเดี๋ยวหัวโขนเดิมๆ ที่เป็นศิลปินเพื่อสังคมจะไม่ยอมหลุดออกจากตัวแกซักที)
ก็ดูตัวอย่างอัลบั้ม หนุ่มบาว-สาวปาน ที่ออกกับอาร์เอส-วอร์เนอร์ เมื่อปีที่แล้วและขายดีเป็นเทน้ำเทท่าก็ไม่ใช่เพลงเพื่อชีวิตนะครับ แต่เป็นผลงานเพลงรักที่ไม่ได้ออกจากปากของนักร้องหนุ่มๆ -สาว-เด็ก อย่างที่เราเห็นกันเกร่อ อีกทั้งรักในหนุ่มบาวสาวปานก็มิใช่งานเพลงประเภทรักหวานแหววโรแมนติก แต่กลับเป็นรักในแนวทรหดสะท้อนความจริงบางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมความรักของหนุ่มสาวบ้านเราเหมือนกัน
คนก็เลยไปตีความเอาว่าแกยังคงกลิ่นอายเพื่อชีวิตเอาไว้บ้าง...ซึ่งผมขอเถียงแทนแกอย่างเด็ดขาดว่าน้าแกไม่ได้ทำเพลงเพื่อชีวิตอีกแล้ว...มิฉะนั้นอัลบั้มที่ว่านี้จะไม่มีวันออกภายใต้สังกัดอาร์เอส โปรโมชั่นอย่างเด็ดขาด
เท่าที่ผมนึกออก...สีสันที่เป็นอาร์เอสจริงๆ นั้นไม่เคยมีแนวเพื่อชีวิตมากร่ำกรายให้เสียความบริสุทธิ์เลยแม้แต่นิดเดียว
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะแนวทางการแต่งกายของเพลงเพื่อชีวิตนั้นไม่ค่อยที่จะไปกับค่ายนี้ หรืออีกส่วนหนึ่งแนวเพลงเพื่อชีวิตนั้นก็ยากที่จะเอาแดนซ์เซอร์เข้ามาสอดใส่...ซึ่งการแสดงบนเวทีนั้นจะให้เพลงเพื่อชีวิตมีสีสันแบบที่ว่ามันก็คงจะทะแม่งๆ อยู่มากทีเดียว
เพราะฉะนั้นการปล่อยงานของ ยืนยงเอย หรือ คาราบาวเอย ในค่ายอาร์เอสก็เลยไม่ใช่เพลงเพื่อชีวิตอย่างที่เห็น
การจับคู่ระหว่างแอ๊ด คาราบาวกับ เฮียฮ้อ จึงเป็นการจับคู่ที่เพอร์เฟ็กต์ เพราะเป็นมุมมองของนักลงทุนและพ่อค้าทั้งคู่ที่ต้องการชัยชนะร่วมกัน คนหนึ่งเก่งกล้าสามารถ แต่งเพลงได้ติดหูสุดยอด อีกคนหนึ่งเป็นนายทุนที่กล้าประกาศตรรกะใหม่ว่า เพลงที่ขายได้และศิลปินที่ขายได้คือศิลปินที่มีคุณภาพ สองคนนี้พร้อมที่จะทำบทเพลงที่รับใช้อารมณ์ของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเบื้องสูงหรือเบื้องต่ำสามารถจะรับได้หมด...โดยไม่พูดถึงเรื่องจริยธรรมกันเลย
งานชิ้นที่ย้ำจุดยืนอันนี้อย่างชัดเจนก็คือการคลอดอัลบั้ม ยืนยง ตั้งวงเล่า ที่สังคมกำลังกล่าวขวัญกันอยู่นี่ไง
ก็ไม่รู้จะกระดากตั้งชื่อว่า ยืนยัน ตั้งวงเล่า ทำไม...จริงๆ ยืนยง ตั้งวงเหล้า ให้มันตรงตัวเสียก็หมดเรื่อง เพราะทั้งอัลบั้มเขาชูอารมณ์แห่งความมันส์ในวงเหล้ากันหมดเปลือก
เป็นอารมณ์ของคนกินเหล้าที่ก็ไม่ได้นึกอะไรมาก เมาขึ้นมาก็แสดงอาการอย่างที่เพลงแกว่าทั้งสิ้น
ต้องบอกนะครับว่า งานนี้เป็นงานที่ฟังได้เพลินๆ ดีอีกแล้ว ติดหูหนับตั้งแต่ครั้งแรก ที่สำคัญมันน่าจะขายได้อย่างยิ่ง ไม่ว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มนั้นจะเป็นสาวกเขาควายเดิม หรือ คนที่รักวงเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ หรือจะเป็นเด็กวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษากลุ่มใหม่ที่กำลังรู้สึกชื่นมื่นกับชีวิตหลังแก้วสุรา
5555555 ผมเองก็ซื้อครับ มันโจ๊ะ และมันเมาดีออก
ผมเชื่อเสียด้วย...เหมือนเมื่อครั้งที่เชื่อว่า หนุ่มบาว สาวปาน จะต้องขายแหลก เช่นเดียวกับ อัลบั้ม ยืนยง ตั้งวงเล่า เหตุเพราะ เพลงไพเราะ เนื้อหาลงตัว คือสมบูรณ์แบบในความเป็นขี้เมา หรือ สนองความรู้สึกสะใจของคนชอบกินเหล้า เรียกว่าฟังทุกแทร็กเป็นได้สะใจกันทุกทีเหมือนกัน
แต่เพลงที่ขายได้อาจจะไม่ใช่เพลงที่มีคุณค่าอะไรต่อสังคม เช่นเดียวกับศิลปินที่ขายได้ก็อาจจะไม่ใช่ศิลปินที่มีคุณค่าต่อสังคมอีกเหมือนกัน
"แอ๊ด คาราบาวแดง" พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่า เขายังคงแข็งแกร่งในเส้นทางของการเป็นนักร้องคุณภาพ แข็งแกร่งในเส้นทางของตลาดทุน และแข็งแกร่งที่จะบอกกับใครๆ ว่า เขาไม่ใช่นักร้องเพลงเพื่อชีวิตอีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นใครๆ ก็อย่าได้เอาเขาลงไปยัดหัวโขนแห่งความเป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตอีกอย่างเด็ดขาด
ข้อสรุปของการเจอกันระหว่างยอดนายทุนสองคนในวันนี้ก็คือ ทุนกับจริยธรรม ในยุคนี้เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
ส่วนสังคมจะแพ้แค่ไหน...คงไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้นะครับ
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9500000009936