กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ 43 หรือ พตท. 43 เป็นหน่วยงานในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2524 ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 8/2524 ลงวันที่ 20 มกราคม 2524 ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีหน้าที่ดูแลด้านการปราบปราม และการข่าว ภายใต้การดูแลของกองทัพภาคที่ 4 โดยทำงานประสานกับ ศอ.บต. หรือ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งดูแลเรื่องการพัฒนา
พตท. 43 ทำหน้าที่กำหนดแผนปฏิบัติการในการป้องกันและแก้ไขการก่อเหตุร้ายแรง หรือการก่อการร้ายทุกรูปแบบให้เกิดเอกภาพ รวมทั้งมีอำนาจสั่งการและ อำนวยการปฏิบัติของฝ่ายพลเรือน ตำรวจ ทหาร ให้มีการดำเนินงานไปตามแผนปฏิบัติการ
ในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ได้ปรับอำนาจหน้าที่ของ พตท. 43 ให้ไปดูแลงานด้านการพัฒนาโครงการตามพระราชดำริ ก่อนจะมีคำสั่งยุบ พตท. 43 พร้อมกับ ศอ.บต. เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2545 ตามข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยนายสันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2545
โครงสร้างการบริหารราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้
หลังสิ้นสุดการเรืองอำนาจ ของ 2 หน่วยงานสำคัญในพื้นที่ภาคใต้อย่าง ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. หน่วยงานซึ่งเกิดขึ้นเพื่อกำกับ ดูแล ประสานการปฏิบัติงานระหว่างส่วนราชการ และพลเรือน กับการยุบหน่วย กองกำลังผสมพลเรือนตำรวจทหารที่ 43 หรือ พตท.43 หลายฝ่ายเห็นว่า เป็นการเปิดช่องโหว่ครั้งสำคัญในด้านการบริหารนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐบาล
ซึ่ง พตท.43 นี้ เมื่อครั้งหนึ่งเคยเรืองรอง โดยอาศัยอำนาจกฎหมายความมั่นคงและการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ สร้างบทบาทในการทำงานในเชิงรุกและการปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย จนทำให้ถูกมองว่า เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจสูงสุดในภาคใต้ และถูกจับตาในข้อหาว่าอาจเป็นหน่วยงานกระเป๋าลับ ของธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ภาคใต้
นับจากนั้น สถานการณ์ไฟใต้ก็ไม่มีทีท่าจะสงบลง ซ้ำร้ายยังอาจจะเรียกได้ว่า เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ หลัง 2 หน่วยงานนี้กลายเป็นอดีตไป
นายทหารหน่วยข่าวกรองในพื้นที่ภาคใต้นายหนึ่ง เปิดใจยอมรับว่า การยุบ ศอ.บต และพตท.43 อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ไฟใต้คุโชนยิ่งขึ้น เพราะหน่วยงานทั้งสอง มีกำลังทหารอยู่ประมาณ 8 กองร้อย กระจายตาม 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ซึ่งทหารกลุ่มนี้ หากจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ทั้งหมดถือเป็นกองร้อยที่มีศักยภาพมากพอที่จะกดดันกลุ่มโจร หรือกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่
เนื่องจากภาพลักษณ์ของตำรวจ ประชาชนในพื้นที่ต่างรู้ดีว่า ตำรวจมีเงื่อนไขในการทำงาน ในพื้นที่ภาคใต้และกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งต่างจากทหาร โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการกับกลุ่มโจร ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3-4 กลุ่ม แต่เรื่องที่ควรรู้ คือ กลุ่มโจรเหล่านี้ จะมีแนวร่วมอยู่จำนวนมาก
โดยที่มาของกลุ่มโจร จะมาจากทั่วทุกสารทิศ และมาจากการหลบหนีในคดีต่างๆ ซึ่งต้องยอมรับว่า ทหารพรานมีข้อมูลเหล่านี้ดี เพราะอยู่ในพื้นที่มานาน
พวกที่เข้ามาเป็นแนวร่วม ส่วนมากจะเป็นพวกหนีคดีต่างๆ แล้วมารวมอยู่ด้วยกัน โดยอาจจะมองได้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ อาจะเป็นลูกโซ่ และไม่สามารถควบคุมได้เพราะมีหลายกลุ่ม
การข่าวเหล่านี้ ที่ผ่านมา มีทหารพรานเป็นหน่วยงานที่เข้าถึง แต่ขณะนี้สถานการณ์ข่าวมืดมน เพราะทหารพรานต้องจำกัดขอบเขต เพราะการเข้าถึงข่าวบางครั้งหลายฝ่ายก็ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด
แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะรูปแบบของทหารพราน ได้รับการยอมรับจากประชาชน ผิดกับทางตำรวจ การตั้งด่านตรวจทำให้ถูกมองว่า ตั้งเพื่อรีดไถ ขณะเดียวกัน การถอนกำลังทหารออกมาจากพื้นที่ภาคใต้ ก็เป็นฝีมือของตำรวจ เป็นฝ่ายเสนอ ซึ่งเดิมที ทางศอ.บต. ที่ตั้งขึ้นมาก็เพื่อประสานงานและบริหารบุคคล เพื่อแก้ไขปัญหาข้าราชการนอกรีต โดยเป็นการทำงานร่วมกับผู้นำท้องถิ่น
แหล่งข่าวคนเดิมยังกล่าวย้ำด้วยว่า การยุบ พตท.43 เกิดขึ้นมาจากการที่ทหารไม่มีกฎหมายความมั่นคงรองรับ ก็เลยอยากให้ตำรวจเข้ามาดูแลพื้นที่เอง และพตท.43 จะต้องมีการประสานร่วมกันระหว่าง พลเรือน ตำรวจ ทหาร เพื่อรับผิดชอบดูแล ซึ่งก็ไม่สามารถประสานงานกันได้ ทำให้เหมือนกับทหารทำงานอยู่เพียงหน่วยงานเดียว
"ปัญหาหลักคือ เป็นเพราะเหลือกำลัง ตำรวจภูธร อย่างเดียว จึงได้เกิดเรื่อง และเรื่องการข่าว ต้องเริ่มใหม่หมด เพื่อให้ทันสถานการณ์ โดยที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ในส่วนที่ 2 ยังดูแลอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ และยังให้การสนับสนุนทางด้านการข่าวอยู่" แหล่งข่าว กล่าว
ด้านอดีตนายทหารหน่วยข่าวกรองนายหนึ่ง ระบุว่า เคยทำงานทางด้านการข่าว รู้ดีว่าควรจะทำอย่างไร และทุกเช้าจะมีการมานั่งสรุปข่าวกรองตอนเช้ากันทุกวัน โดยเฉพาะทางด้านยุทธวิธี หากมีปัญหาอะไรในพื้นที่ก็จะมีการส่งคนลงไปในพื้นที่ เพื่อทำการกวาดล้าง
แต่ในฐานะคนทำงานด้านข่าวกรอง และรู้เห็นปัญหามากที่สุดแล้ว เขาอยากเสนอให้มีการตั้งศูนย์ข่าว โดยเลือกหัวกะทิเข้ามาเป็นหัวหน้า ซึ่งจะต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามรถ มีลูกล่อลูกชน ต้องวิเคราะห์ข่าวเป็น 3 มิติ
"ขณะนี้กลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่หลายกลุ่ม มีทั้งกลุ่มพูโลเก่าและใหม่ ก็กำลังมีเข้ามาร่วมสนับสนุน กับขบวนการต่างๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นใครกันบ้าง กลุ่มมูจาฮีดีน ปัตตานียะลา (GMIT) ที่เป็นกลุ่มเล็กที่สุดและซ่าที่สุด ยังสามารถทำอะไรได้มากมาย"
นายทหารจากหน่วยข่าวกรองผู้นี้ ย้ำว่า การข่าวจะมีคุณภาพหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่ที่ฝีมือและการดำเนินการทั้งหมด การข่าวต้องนำด้านยุทธการ การข่าวจะรู้ความเคลื่อนไหวตลอด ซึ่งการปฏิบัติในการเคลื่อนไหวในสถานการณ์กว้าง การใช้กำลังพลออกไป จะต้องมานั่งวางแผนก่อนว่า ควรจะทำอะไรก่อนหลัง
อย่างไรก็ตาม ฝีมือข่าวจะดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ใช้ถูกวิธี ก็จะเป็นผลดี แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีก็อาจจะเป็นผลเสียได้เหมือนกัน
"อยากให้ทางด้านการข่าว ทางศรภ. และหน่วยงานข่าวให้มารวมกันเป็นจุดศูนย์กลาง จะได้เป็นมือเป็นตีน ในการช่วยกันแก้ไขปัญหา ซึ่งพวกที่หนีคดีต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ ทางตำรวจต้องตามจับกุมให้หมด โดยพลิกแฟ้มประวัติ เพื่อตรวจสอบหาบุคคลเหล่านี้ให้หมด อาจจะเป็นช่องทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหา ถ้าเป็นนักมวยต้องชก หากขึ้นเวทีแล้วไม่ชก รับรองว่า โดนน็อคแน่" เขากล่าว
ประเด็นสำคัญในเวลานี้ คือความไม่พอใจในคำพูดของพล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผบตร. ที่ออกมาระบุว่า ปัญหาในพื้นที่ชายแดน จ.ภาคใต้ นั้น มีการเกื้อหนุน ทำธุรกิจอะไรบางอย่าง ถ้าหากมองให้ดีๆ แล้ว จะมีทั้งเรื่องหนีคดี ของเถื่อน ยาเสพติด แรงงานต่างด้าว และล่อลวงหญิง
ส่วนสาเหตุการมุ่งทำร้ายตำรวจนั้น เนื่องมาจากมองเห็นว่า ตำรวจในพื้นที่ภาคใต้เป็นศัตรูทางใจ ในสายตาของวัยรุ่นบางกลุ่มที่ชอบทำตัวผิดกฎหมาย และกลายเป็นสาวกกลุ่มก่อการร้ายไป
เมื่อไล่เลียงสถานการณ์ปัญหาชายแดนภาคใต้มาทั้งหมด คำตอบที่วนเข้าสู่ธรรมชาติของปัญหาพื้นที่ภาคใต้ ก็คือ ยุทธการกองโจรแบบเอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุด ข้าแหย่ ยังจะได้ผลอยู่ต่อไป เท่าที่หน่วยงานข่าวยังคง "ไร้น้ำยา" อยู่ และการไร้เอกภาพในการแก้ไขปัญหา
โดยเฉพาะความร่วมมือจากกองทัพ ซึ่งเลือกที่จะเฉยเมยกับการแก้ปัญหาของรัฐบาลซึ่งเลือกที่จะเชื่อตำรวจ ที่ให้เหตุผลว่า เมื่อเหตุเกิดในเมือง ก็ต้องเป็นหน้าที่ของตำรวจในการดูแลรักษาความปลอดภัย ทหารนั้นควรจำกัดพื้นที่และอำนาจไว้ที่ชายแดน และเมื่อเงื่อนไขด้านชายแดนภาคใต้หมด หรือลดลง และเชื่อว่าการเจรจาระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย เป็นไปด้วยดี อำนาจและหน้าที่ของทหารจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
ประกอบกับห้วงเวลาที่มีการเสนอยกอำนาจให้ตำรวจนั้น เป็นช่วงที่ไฟใต้ยังไม่คุโชน ทำให้เหตุผลในการนำเสนอมีน้ำหนักมากพอที่จะยกเลิกอำนาจของทหารในการดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ภาคใต้
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน แสดงให้เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลมีข้อมูลไม่เพียงพอในการตัดสินใจในการบริหารนโยบายด้านความมั่นคงในพื้นที่ภาคใต้
การยุบ ศอ.บต. และพตท.43 ซึ่งเป็นหน่วยงานประสานงานและด้านการข่าวทิ้ง นับเป็นความผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานการเข้าใจผิด หรือข้อมูลผิด
เมื่อเกิดความผิดพลาด ก็ต้องมีการจ่ายค่าตอบแทน ชีวิตของเจ้าหน้าที่ และทรัพย์สินของราชการที่สูญเสียไป นับเป็น "ค่าตอบแทน" อย่างหนึ่งของความผิดพลาดดังกล่าว
ที่มา นสพ.คม ชัด ลึก วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2545
http://www.redarmyfc.com/board/weblog_entry.php?e=870&tb=1&sid=af2bd1f69c052c04d840d397121e4a9e