อ่านเรื่องทั้งหมดแล้ว....ได้ความคิดและปรัชญาแห่งการอยู่รอด...คือ ยอมเขาไปเสียเถอะ...เพราะนี่คือประเทศไทย
นอกจากนี้...ยังรู้เพิ่มเติมขึ้นมาอีกว่า กฎหมาย ฤาจะสู้กฎหมู่ได้....เรียนนิติศาสตร์...ช่วยอะไรไม่ได้...สำหรับกรณีนี้
ไม่ใช่เพราะว่าเราอยากหลบหนี ไม่กล้าสู้...แต่เพราะข้อเท็จจริงที่เล่ามา..ยังไม่พอจะสรุปความไปทางใดทางหนึ่งได้ทันที
นาย ก. และนาย ข. ไปทำอะไรในเวลาวิกาลเช่นนั้น...ถ้าไปเที่ยวเตร่ตามประสา...ก็ควรรู้ว่า สถานะการณ์มันล่อแหลมต่อการเจ็บตัวหรือถูกโจมตีจากฝ่ายที่ไม่หวังดี....
การที่เขาทะเลาะวิวาทกับนาย ค. ก็บ่งบอกว่า..นาย ก. และนาย ข. สมัครใจที่จะทะเลาะวิวาทด้วย ไม่เช่นนั้น คงต้องเดินหลีกเลี่ยงนาย ค. ไปเสียให้พ้น...การเอะอะโวยวายตามประสาคนหนุ่ม...เป็นการแสดงออกถึงพลังในร่างกาย เป็นแรงขับตามธรรมชาติ..แต่ก็เป็นแรงดึงดูดความรู้สึกของคนอื่นเหมือนกัน...เช่นเดียวกับวัยรุ่น..แข่งมอเตอร์ไซด์..บิดกันจนเครื่องจะกระจาย เสียงแสบแก้วหู
ระบบการยุติธรรมในเวลาเช่นนั้น และสถานการณ์เช่นว่านั้น...มันลำบากที่จะตอบได้ทันทีว่า เป็นอย่างไร...
การที่นาย ข.ไม่ยอมออกไปพูดจานอกร้าน...เท่ากับเป็นการขัดขืนเจ้าพนักงานก็ได้...เจ้าพนักงานก็กระทำไม่ถูกที่หมั่นใส้..และลงโทษด้วยการซ้อม...แทนที่จะดำเนินคดีและพิสูจน์ความผิด..ตามครรลอง
นาย ค. จะเป็นใคร....ใยจึงต้องรู้ลึก ..แต่ที่แน่ ๆ ย่อมเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกับตำรวจไม่มากก็น้อย
ทำไมตำรวจจึงปล่อยให้มีเหตุการเช่นนั้น...นั่นอาจจะเป็นเพราะอารมณ์มันพาไป....หรืออาจเป็นเหตุผลอื่น ๆ แต่ที่แน่ ๆ มันไม่ถูกต้อง
ถ้าเป็นเราจะทำอย่างไร...มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน....ต้องแยกแยะปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายออกไปก่อน...จากนั้นให้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหลายให้แน่หนา...แล้วจึงถามหาความยุติธรรมจากหน่วยงานอื่น ๆ ซึ่งเชื่อว่า จะมีความยุติธรรมได้พอสมควร
ใครทำดี ย่อมได้ดี....