น่าจะเป็นเรื่องขิงก็รา ข่าก็แรงเสียมากกว่า เพราะเจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้พบมาด้วยตนเอง
ในทางปฏิบัติ ถ้าผู้ถูกทำร้ายกล่าวโทษอย่างบริสุทธิ์ใจ ตำรวจก็ย่อมเชิญผู้ถูกกล่าวหาไปให้ถ้อยคำที่สถานี ถ้าไม่ไปก็มีมาตรการอื่น ๆ อีกหลายอย่าง และเมื่อมีการร้องทุกข์ ผู้ต้องหาปรากฏตัวต่อหน้าพนักงานสอบสวน ก็แจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีอาญาได้เลย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ได้แก้ไขตาม รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐
เรื่องการจับกุม ป.วิอาญา มาตรา ๗๘ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับ
หรือคำสั่งของศาลไม่ได้ เว้นแต่
(๑) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๐
(๒) เมื่อพบบคคลโดยพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นน่าจะก่อนเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคล
หรือทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมี เครื่องมือ อาวุธ หรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิด
(๓) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามมาตรา ๖๖ (๒) แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาล
ออกหมายจับบุคคลนั้นได้
(๔) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หนีหรือจะหลบหนี ในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราวตาม มาตรา ๑๑๗
มาตรา ๘๐ ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำ หรือพบในอาการใดซึ่งแทบ
จะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสด ๆ
อย่างไรก็ดี ความผิดอาญาดังที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายนี้ ให้ถือว่าความผิดนั้น
เป็นความผิดซึ่งหน้าในกรณีดังนี้
(๑) เมื่อบุคคลหนึ่งถูกไล่จับดังผู้กระทำโดยมีเสียงร้องเอะอะ
(๒) เมื่อพบบุคคลแทบจะทันทีทันใดหลังจากการกระทำผิด ในถิ่นแถวใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุนั้น
และมีสิ่งของที่ได้มาจากการกระทำผิด หรือมีเครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอันสันนิษบษนได้ว่าได้ใช้ในการ
กระทำผิด หรือมีร่องรอยพิรุธเห็นประจักษ์ที่เสื้อผ้าหรือเนื้อตัวของผู้นั้น
ตามตัวอย๋างของเจ้าของกระทู้
หากเหตุเกิดแล้ว ตำรวจไปที่เกิดเหตุทันที พบผู้กระทำความผิด มีเจ้าทุกข์ยืนยันว่ากระทำความผิด
มีพยานหลักฐานว่ากระทำผิดจริง เช่นมีรอยเลือดติดตาเสื้อผ้าผู้กระทำผิด ฯลฯ ตำรวจสามารถจับกุมได้
หรือหากไม่สามารถจับได้ ก็ต้องเรียกตัวผู้ถูกกล่าวหาไปที่สถานีตำรวจ ส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินการไปตาม
อำนาจหน้าที่ แม้ไม่มีหมายจับ พนักงานสอบสวนมีอำนาจแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ
แล้วนำตัวไปศาลเพื่อขออำนาจศาลขังผู้กระทำผิดได้
แต่การแก้กฎหมายที่ตัดการชี้ยืนยันการกระทำผิดของเจ้าทุกข์ออกไป ทำให้จับกุม
ผู้กระทำผิดได้ยากขึ้น ผมไม่เห็นด้วยกับการแก้กฎหมายนี้ (เป็นความเห็นส่วนตัว)
ผมยกตัวอย่างให้ดูประการหนึ่ง ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับใครจะทำประการใด
บ้านสองหลังอยู่ติดกัน ไอ้หื่นบ้านหนึ่งปีนรั้วไปข่มขืนลูกสาว
อีกบ้านหนึ่งโดยที่ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ เมื่อข่มขืนเสร็จแล้ว ก็ปืนรั้วกลับมานอนที่บ้านของตน
พ่อสาวที่ถูกข่มขืนรู้เรื่องตอนเช้า นำลูกสาวไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ ตำรวจรับคำร้องทุกข์แล้ว
มาที่บ้านผู้กระทำผิดแต่ไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ในทันที ต้องขอหมายจับจากศาลก่อน
จะเชิญไปสถานีตำรวจ ผู้กระทำผิดก็บอกว่า ไปไม่ได้ติดธุระ จะไปพบภายหลัง ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้
ก็ต้องไปขอหมายจับต่อศาล กว่าศาลจะออกหมายจับ ผู้ต้องหาก็หลบหนีไปแล้ว (ใครจะไปตามจับละ)
ผมเป็นคนหนึ่งที่ขัดเคืองใจต่อการแก้กฎหมายครั้งนี้มาก ใครไม่ถูกกระทำไม่รู้หรอกว่า
หากตนเองถูกกระทำแค้นใจแค่ไหน แต่ขั้นตอนของกฎหมายเป็นเช่นนี้ ส่วนตัวผมเรียก
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ ว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองผู้กระทำผิดมากเกินกว่าจะคุ้มครองผู้เสียหาย
ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง เราก็ต้องปฏิบัติตามไป
เหตุการณ์ไกล้เคียงลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นจริงครับ มีข้อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าถือเป็นไหวพริบของตำรวจคือให้พ่อของสาวที่ถูกอนาจาร ต่อย ไอ้หื่นต่อหน้าตำรวจนั่นแหละครับ กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันพัลวัล คุณตำรวจก็เข้าจับกุมทั้งคู่ในความผิดฐานทะเลาะวิวาทเอาตัวไปโรงพักทั้งคู่ครับ..