มาทำความรู้จักกับ Blu-ray Disc กันดีกว่า BD (Blu-ray Disc) นั้น เป็นชื่อที่มาจากแสงเลเซอร์ที่ใช้คือ แสงเลเซอร์สีน้ำเงิน (Blue Laser) ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี 1996
โดย นาย Shuji Nakamura ซึ่งเป็นนักวิจัยของ Nichia Corp. BD ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์สีน้ำเงิน ที่มีความยาวคลื่นเพียง 405 nm.
กับเลนส์ขนาด 0.85 และโครงสร้างแบบ Optical transmittance protection disc layer ที่มีความหนาเพียง 0.1 mm.
ทำให้เก็บข้อมูลได้มากถึง 27 กิกะไบต์ ในดิสก์แบบด้านเดี่ยวชั้นเดียว(Single sided single layer) ในแผ่นขนาด 12 เซนติเมตร
(เท่ากับ CD และ DVD ทั่วไป) ซึ่งนั่นหมายความว่า เราสามารถเก็บหนังที่มีหลายภาคต่อเนื่องอย่างเช่น Star War
หรือหนังชุดอย่าง เช่น เจาะเวลาหาจิ๋นซี ได้ ลงในดิสก์เพียงแค่แผ่นเดียว!
ด้วยความจุที่มีมากถึง 27 กิกะไบต์ BD สามารถบันทึกวิดีโอดิจิตอลในมาตรฐานภาพยนตร์ทั่วๆ ไป (VHS) ได้ถึง 13 ชั่วโมง
(แผ่น DVD บันทึกได้ 2-3 ชั่วโมง) และสัญญาณที่มีคุณภาพระดับสูงกว่านั้น หรือ HDTV (High-resolution digital Television)
ได้ถึง 2.5 ชั่วโมง (แผ่น DVDบันทึกได้ไม่ถึง 30 นาที) โดยยังรักษาคุณภาพของข้อมูลที่เป็นต้นฉบับไว้อย่างครบถ้วน
และนอกจากนี้ BD ยังมีการบันทึก Unique ID (RID) ลงไปเพื่อช่วยในการอ้างอิง และแสดงลิขสิทธ์ใน Record stream อีกด้วย
คุณสมบัติพิเศษของ BD ที่เป็นลักษณะเด่นของการใช้เทคโนโลยี Blu-ray ก็คือ อัตราการถ่ายโอนข้อมูลของเลเซอร์สีน้ำเงิน
ที่มีความเร็วสูงถึง 36 Mbps. และใช้เทคโนโลยีการบีบอัดแบบ MPEG-2 Transport Stream ทำให้สามารถบันทึกสัญญาณ
หรือข้อมูลคุณภาพสูงได้ โดยใช้เวลาเพียงน้อยนิด ความเร็วนี้ ยังสามารถส่งข้อมูลเพื่อ Record/Playback แบบ Real-time ได้
และยังสามารถแก้ไข , Capture ภาพจากกล้องวิดีโอ หรือภาพยนตร์ไปพร้อมๆ กับการบันทึกรายการในโทรทัศน์ได้ในเวลาเดียวกัน
เครื่องเล่น BD จึงสามารถใช้เล่นแผ่น BD และยังบันทึกข้อมูลลงแผ่นได้อีกด้วย
แม้มีคุณสมบัติที่โดดเด่น แต่..ก็ยังมีข้อจำกัดข้อเสียก็คือ ข้อมูลที่เก็บอยู่ในแผ่น BLU-RAY มีโอกาสถูกทำลายได้ง่าย
หากมีฝุ่นเกาะหรือเป็นรอย
ดังนั้น เพื่อป้องกันข้อมูลถูกทำลายผู้ผลิตจึงได้ผลิตกล่องสำหรับห่อหุ้มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ในขณะที่บริษัท ทีดีเค คอร์เปอเรชั่น(TDK Corporation)
ได้พัฒนาโพลีเมอร์ใสขึ้นมาเคลือบแผ่น BLU-RAY ทำให้สามารถทนต่อแรงขีดข่วนเบาๆ ได้ ทำให้แผ่น BLUE-RAY หน้าตาเหมือน DVD ทั่วไป
จากที่ทราบมาแล้วข้างต้นว่า BD นั้น ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์สีน้ำเงิน ซึ่ง CD และ DVD ในปัจจุบัน ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์สีแดง
ฉะนั้น เครื่องเล่น CD และ DVD ในปัจจุบันนี้ ยังไม่มีแสงเลเซอร์สีน้ำเงินที่จะอ่านแผ่น BD ได้ และในเหตุผลเดียวกัน
เครื่องเล่น BD เองก็ไม่สามารถอ่านแผ่น CD หรือ DVD ทั่วๆ ไปได้เหมือนกัน ทำให้เครื่องเล่น BD อาจจะต้องพัฒนาให้มีระบบแสงเลเซอร์
ทั้ง 2 ชนิด (เลเซอร์สีน้ำเงิน และสีแดง) อยู่ในเครื่องเดียวกัน เพื่อที่จะสามารถอ่านทั้งแผ่น BD, CD และ DVDได้
ซึ่งแน่นอนราคาของเครื่องเล่น BD จะสูงมากกว่าเครื่องเล่นชนิดอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย
สรุปคุณสมบัติพิเศษของ BD
1. ความจุในการบันทึกข้อมูลสูงถึง 27 กิกะไบต์
2. อัตราการถ่ายโอนข้อมูลมีความเร็วสูงถึง 36 Mbps.
3. ง่ายต่อการดูแลรักษาจากฝุ่น และลายนิ้วมือ เพราะมีคาร์ททริดจ์ปกป้อง
BD ประกาศแทนที่ DVD ภายใน 3 ปี
ผลการสำรวจล่าสุดจาก VideoScan รายงานถึงยอดขายภาพยนตร์เปรียบเทียบกันระหว่าง HD DVD และ Blu-ray
พบว่าในช่วงตั้งแต่วันที่ 8 ถึง 14 มกราคมที่ผ่านมาปริมาณแผ่น Blu-ray มียอดขายสูงกว่าเกือบสามเท่าตัว
แม้ว่ายอดขายรวมนับแต่เริ่มวางตลาดนั้นฝั่ง HD DVD จะนำหน้าออกไปค่อนข้างไกลก็ตาม
ส่วนทางด้านเครื่องเล่นนั้น ปัจจุบันมีเครื่องเล่น HD DVD วางขายในสหรัฐฯ ไปแล้วประมาณ 175,000 เครื่อง
ขณะที่ Blu-ray นั้นเมื่อรวมยอดเข้ากับ PS3 แล้วมียอดขายถึง 687,300 เครื่อง นับว่าน่าตระหนกทีเดียวสำหรับกลุ่มที่ซัพพอร์ต HD DVD
อยู่ในตอนนี้
แน่นอนว่าสงครามตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ด้วยแผนการอัดฉีดเครื่องเข้าสู่ตลาดผ่าน PS3
ของโซนี่ก็สร้างความได้เปรียบที่ทางฝั่ง HD DVD นั้นต้องทำการบ้านอีกนานกว่าจะตามทัน
ปัญหาหลักตอนนี้คือจอที่มันรองรับ 1080p นี่มัน ----แพงเลยน่ะสิ

อ่านรายละเอียด และข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Blu-ray
ได้ที่นี่