ลองๆอ่านกันดูครับ
http://www.oknation.net/blog/baroon/2007/05/11/entry-1___________________________________________________________ ___________________________________________________________ _______________________________บะห์รูน ณ สวนทางปืน
บทวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาความไม่สงบของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยมุมมองลุ่มลึกอย่างละเอียด และเสนอแนะอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นคอลัมนิสต์ประจำ "เนชั่นสุดสัปดาห์"
Permalink :
http://www.oknation.net/blog/baroon วันศุกร์ ที่ 11 พฤษภาคม 2550
นี่คือ 'สงคราม' ไม่ใช่อาชญากรรม
Posted by บะห์รูน , ผู้อ่าน : 40 , 16:37:44 น. | หมวดหมู่ : สวนทางปืน
สัปดาห์นี้ผู้เขียนได้มีโอกาสพบปะเพื่อนพ้องน้องพี่เยอะแยะ คนรู้จักมักคุ้นก็หลายคน ในงานแต่งงานลูกสาวคนเล็กของเกลอเก่า ทำให้ได้มีโอกาสสนทนาปัญหาบ้านเมือง ตามประสาคนคอการเมือง
สุดท้ายของการเสวนากลุ่มย่อยสภากาแฟ ลงเอยด้วยบทสรุปฟันธงว่า ยากยิ่งนักที่เหตุการณ์จะสงบในเร็ววัน ด้วยเหตุผลง่ายๆสั้นๆ "รบกันมาตั้งนาน ยังไม่ได้อะไร แล้วจะเลิกราได้ยังไง"
ไม่ได้อะไร ในที่นี้หมายถึงว่า รัฐยังไม่มีแนวนโยบายอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันสำหรับการจะยุติสงคราม หรือการก่อเหตุร้าย ทั้งรัฐบาลเก่า รัฐบาลใหม่ ยังคงมีมุมมองต่อการเกิดขึ้นของเหตุร้ายรายวัน กับการก่อสงครามที่เป็นอยู่ในวันนี้ ผู้ก่อมันขึ้นมาก็ต้องเป็น 'อาชญากร' ส่งผลให้การกำหนดแนวทาง ทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว จึงเป็นการแก้ปัญหาอาชญากรรม
แนวคิดแนวทางการแก้ปัญหาทั้งหลาย จึงมุ่งเน้นที่การหยุดเหตุการณ์รายวันหรือปริมาณที่ลดลงของเหตุการณ์เป็นดัชนีตัวชี้วัดความสำเร็จ หรือความถูกต้องของแนวทาง
ตรงจุดนี้คือ ความล้มเหลวตัวจริงของการแก้ปัญหา เพราะการลดปริมาณลงของเหตุการณ์นั้น เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เป็นการปลิดใบของต้นไม้ใหญ่ มันไม่อาจหยั่งถึงรากหรือแก่นของปัญหา เพราะสงครามแย่งชิงประชาชน ถ้าใช้อารมณ์ในการกำหนดยุทธวิธีเมื่อไร เมื่อนั้นพังและพ่ายแพ้ ซึ่งผู้เขียนเคยกล่าวไว้ในที่นี้ว่า ความไม่สงบรอบนี้ หรือจะเรียกสงครามก็ได้ เป็นการจับอาวุธและต่อสู้ระหว่างอำนาจรัฐกับฝ่ายต่อต้านอำนาจรัฐ ด้วยการเข่นฆ่าผู้คน ทำลายทรัพย์สิน กระทำต่อรัฐและปัจเจกบุคคล ไม่ว่าฝ่ายก่อเหตุจะเป็นใครก็ตาม ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่ใช่อาชญกรรม แต่เป็นการสงครามเพื่องานการเมืองการปกครอง
เป้าหมายจึงไม่ใช่ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์เป็นหลัก แต่แรงผลักดันสำคัญคืออุดมการณ์ ตามความคิดความเชื่อของกลุ่มตน และแนวทางของตน ไม่ว่าจะเรียกกันอย่างไรก็ตาม อย่างที่ผู้เขียนเรียกลัทธิประหลาด แต่จะใช้วิธีการปราบปราม จับกุมคุมขังประการเดียวไม่ได้
แต่สิ่งสำคัญสูงสุดคือชีวิตผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น 'พุทธ' หรือ 'มุสลิม' และกำลังจะเข้าสู่ภาวะความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ทุกฝ่ายกำลังเข้าใกล้จุดปะทะที่จะส่งผลให้เหตุการณ์บานปลายและขยายเป็น 'สงครามแห่งความแตกต่าง' ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
สัปดาห์นี้ ผู้เขียนขออนุญาตกล่าวถึงประเด็นนี้ เพราะเห็นว่าแนวทางของรัฐยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงไม่ยอมรับความจริง และยังคงไม่รู้ตัวว่าเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นนั้น สำแดงถึงการที่มีคนบางกลุ่มบางพวกไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม
ถึงแม้ธงเอกราชของขบวนการทั้งหลายจะไม่อาจเป็นได้ แต่อย่างน้อยรัฐก็ควรคำนึงถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ และอนาคตของสถานการณ์ที่อาจพัฒนาสู่การปะทะกันระหว่างพุทธและมุสลิม ซึ่งมันกำลังค่อยๆ คืบคลานเข้าใกล้ขึ้นทุกวัน
วันนี้ถ้ารัฐไทยยังมัวคิดแต่จะแก้สถานการณ์ให้กลับไปสงบดังเดิม ย้อนรอยไปในอดีต และจบลงเหมือนกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ด้วยการให้ทุกคนทุกฝ่ายหันหลังกลับเข้ากรมกอง หรือกลับเข้าบ้าน เข้าเรือกสวนไร่นา อภัยกัน สมานฉันท์กัน
ความเลวร้ายมันสะสมจากอดีตถึงปัจจุบัน และกลายเป็นเงื่อนไขใหม่และในหลายๆเงื่อนไข มันก็ปรับเปลี่ยนตามกาลเวลา จนกลายเป็นอุดมการณ์ใหม่ๆ ดูสับสนไปหมด จับต้นชนปลายกันไม่ถูก และเป็นไปอย่างที่รัฐไทยไม่เคยประสบมาก่อน
เหตุที่ผู้เขียนกล่าวสรุปเช่นนี้ เพราะได้อ่านบทความบทวิเคราะห์หลายชิ้นของสองอดีตแม่ทัพภาค 4 คือ พล.อ.หาญ ลีลานนท์ และ พล.อ.กิตติ รัตนฉายา ซึ่งยังคงวนเวียนกับกรอบการต่อสู้ที่อยู่บน 'โจทย์เก่า' ที่ล้าหลัง และไกลกับข้อเท็จจริง และความจริงไม่ใช่เฉพาะทหารสองท่านนี้เท่านั้น ยังมีเอกสารและหนังสืออีกหลายเล่มที่ผู้เขียนได้รับจากมิตรสหาย ซึ่งล้วนอยู่กับโจทย์เก่าๆ
แม้จะมีการพูดถึง 'กระแสฟื้นฟูอิสลาม' ซึ่งกำลังเป็นกระแสหลักของโลกมุสลิมวันนี้อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่อาจเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของผู้ที่พยายามยึดแนวทางเหล่านี้ได้
ที่สำคัญคือ ความแตกต่างและการแยกกันของสำนักคิดต่างๆ ในหมู่มุสลิม ทำให้เห็นเพียงภาพเบลอๆ ของกระแสฟื้นฟูอิสลาม เป็นการมองแบบชั่งกิโลไม่ใช่นับเม็ด จึงยากยิ่งที่จะเห็นจุดแข็ง จุดอ่อนของสำนักคิดต่างๆ ของมุสลิม
ถ้าจะยกวาทกรรมที่ว่า 'มุสลิมแก้ปัญหามุสลิม' นิยามของมัน คือ การให้มุสลิมแก้ไข เปลี่ยนแปลงและดำเนินการแก้ข้อขัดแย้งกันเองระหว่างมุสลิมนั้นย่อมถูกต้อง แต่เมื่อข้อขัดแย้งนั้นมีระหว่างมลายูมุสลิมกับรัฐ มันย่อมมีความแตกต่างกัน และหากจะยังให้มุสลิมเป็นผู้ดำเนินการแก้ข้อขัดแย้งนี้ ก็ยิ่งลงเหวไปกันใหญ่ เหมือนที่พยายามกันอยู่ขณะนี้
แต่สิ่งที่ควรจะเป็นจริงๆ คือ การนำเอาทัศนะของมุสลิมที่เสนอทางออกอย่างตรงไปตรงมา และมองเห็นจุดแข็งจุดอ่อนของกระแสฟื้นฟูอิสลามโลก เพื่อปรับเข้ากับสังคมไทยโดยรวม ไม่ใช่เฉพาะสามจังหวัดชายแดนใต้เท่านั้น เป็นเสมือนอุปกรณ์แปลงค่าไฟ ที่จะรับกระแสไฟหลักปรับเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดได้อย่างไม่เป็นอันตราย
ความจริงตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้เขียนไม่ใคร่กล่าวถึงกระแสการฟื้นฟูอิสลามมากนัก เพราะเห็นว่าสังคมไทยไม่อาจเข้าใจได้ง่ายนัก ประกอบกับมุสลิมบางส่วนเองก็ยังไม่อาจแยกแยะความต่างของกระแสเหล่านี้ได้ชัดเจน
มาถึงวันนี้สถานการณ์มันเข้าถึงจุดที่ฝ่ายรัฐจะต้องทำความเข้าใจและควรมองเห็นกระแสฟื้นฟูอิสลาม ที่กำลังเคลื่อนตัวและเป็นอุดมการณ์ที่ถูกปัดฝุ่นหยิบขึ้นมาใช้ และด้วยบรรดาเครื่องแปลงค่าไฟแต่ละสำนักคิดมีค่าที่แตกต่างกัน ทำให้สังคมมุสลิมเองจึงมีอาการกระตุกบ้าง มึนชาไปบ้าง และที่ซ้ำร้ายยังแปลงค่าแปลงสารผิดๆ อีก ส่งผลให้ความสมดุลของสัมพันธภาพทางสังคมบางสังคมจึงอยู่ในภาวะอันตราย ไม่ใช่เฉพาะในพื้นที่สามจังหวัด แต่มันกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศมุสลิมเอง มีการระเบิดมัสยิดด้วยน้ำมือของผู้ที่เรียกตัวเองว่ามุสลิมเหมือนกัน
สำหรับบ้านเรา อาจเห็นได้จากความแตกแยกที่เกิดจากการแปลงค่าที่ต่างกัน ทำให้ทุกองคาพยพของมุสลิมไทย อยู่ในภาวะแตกแยกอย่างหนัก โดยเฉพาะในสามจังหวัด เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงผู้นำศาสนาเอง ส่งผลให้กลุ่มคนแม้จะมากหรือน้อยก็ตาม สามารถควบคุมสังคมด้วยการใช้กำลังสร้างความน่าสะพรึงกลัวได้อย่างที่เป็นอยู่ และปิดปากปิดความคิดประชาชนด้วยอุดมการณ์ที่เรียกว่า 'อิสลาม' ตามที่กลุ่มตนเข้าใจ และลำพังสังคมมุสลิมเองที่ต้องแบกรับภาวะอันนี้ ก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ยังต้องมาเจอความไม่เข้าใจที่เกิดจากภาครัฐอีก ทำให้ปฏิกิริยาจากเงื่อนไขเพียงอย่างสองอย่างจึงกลายเป็นหลายอย่าง ความสงบสุขที่เคยมี จึงกลายเป็นทุกข์และเศร้าระทม
วันนี้ปัญหาสามจังหวัดแตกต่างจากวันวาน แนวคิดแนวทางทั้งของรัฐ ของราษฎร์ จึงควรให้ความสนใจกระแสการฟื้นฟูอิสลามโลก และยอมรับความจริงและอยู่กับ 'สิ่งนี้' ด้วยความมุ่งมั่นที่จะคุมบังเหียนให้ได้ แม้การควบคุมนี้จำเป็นต้องแลกกับการเปลี่ยนทัศนะของภาครัฐในทางความมั่นคงของประเทศก็ตาม
สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวถึง คือ เมื่อไม่มี หรือไม่รู้ทางที่จะกลับไปสู่สังคมแบบเดิมๆ ได้อีกแล้ว ไฉนไม่ทบทวนการพบกันครึ่งทางระหว่างวาทกรรม 'เอกราช' ของขบวนการ กับวาทกรรมของรัฐ 'ประเทศไทยเหมือนกันทุกอย่างทุกภาค' ด้วยการกลับมาหาประชาชน เพราะอำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย
ถามประชาชนที่นี่สักนิดว่า เขาต้องการอย่างไร และจะเป็นอยู่ยังไง หรือถ้าเขินอายที่จะรับคำตอบจากประชาชน ก็เพียงแค่นำเสนอเองถึงความต้องการเหล่านี้ของประชาชน แล้วปรับการถือดุลอำนาจใหม่ของสามจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อรักษาสัมพันธภาพทางสังคมที่มีความหลากหลายให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขต่อไป และที่สำคัญที่สุดทางออกนี้คือมันสามารถสร้างเกราะคุ้มครองผู้บริสุทธิ์และหยุดอนาคตการปะทะกันของความแตกต่างที่อาจจะเกิดขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับรัฐถ้าหากยังไม่สามารถทำความเข้าใจสงครามนี้ได้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เว้นแต่จะเข้าใจมันจริงๆ ทางเลือกอื่นๆ ย่อมมีเสมอ สำหรับผู้แสวงหา
*สวนทางปืน / เนชั่นสุดฯ (ฉ.780)