หากเอ่ยถึงนิตยสารช่อการะเกด คงจะจำกัดความได้ถึงผืนดินอันอุดม ที่เปี่ยมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญ
ซึ่งช่วยหล่อเลี้ยงต้นไม้วรรณกรรม ให้สมบูรณ์ไปด้วยดอกผลอันน่าชื่นใจ
เพราะการมีอยู่ของสถาบันเรื่องสั้น ช่อการะเกด ภายใต้การดูแลคัดสรรของคุณครูใหญ่
เสาหลักแห่งแวดวงวรรณกรรม สุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การเขียนเรื่องสั้นของนักเขียนรุ่นใหม่
เติบโตแบบก้าวกระโดด ช่วยพลิกผันบรรยากาศวรรณกรรมให้เข้าสู่ยุครุ่งโรจน์ถึงสองครั้งสองครา
และกลายเป็นพื้นที่หลักที่ให้นักเขียนหลากรุ่นได้ประลองฝีมือ
และเมื่อช่อการะเกดได้ร่วงโรยสู่ผืนดิน น้ำตาก็รินในใจของใครหลายคน
แต่ในปี พ.ศ.2550 นี้ ก็ได้ยินเสียงตีฆ้องร้องป่าวให้ยิ้มแย้มยินดีมาว่า ช่อการะเกดจะหวนคืนผลิบาน
ชูช่อรับแสงตะวันในแวดวงวรรณกรรมอีกครา
และนี่ไม่ใช่ข่าวลือ เพราะบรรณาธิการเครางาม สุชาติ สวัสดิ์ศรี ยืนยันว่า จริง
แม้จะกำลังมีความสุขกับการทำงานศิลปะ แต่พอประสบกับสถานการณ์เรื่องสั้นในปัจจุบันเข้า ประกอบกับ
เจอทั้งเวียง-วชิระ บัวสนธิ์ และเช็ค-สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ที่อยากสร้างพื้นที่และสร้างโอกาสให้กับคนใหม่ๆ
ในสนามเรื่องสั้น คอยเกลี้ยกล่อม ขอร้องอยู่เกือบ 3 ปี สุชาติก็เลยยอมหวนกลับมาทำหน้าที่บรรณาธิการอีก
ครั้งหนึ่ง
"เล่มสุดท้ายของช่อการะเกดคือเล่มที่ 41 เลิกไปเมื่อปี พ.ศ.2542 ตอนนี้ก็ 9 ปี แล้ว"
สุชาติย้อนคำนวณเวลาให้เราฟัง น่าแปลกที่ช่อการะเกดทั้ง 2 ช่วงมีระยะเวลาทิ้งห่างเท่ากัน คือ 9 ปีพอดี
"การเกิดต้องแบ่งเป็น 2 ช่วง แต่ถือเป็นความต่อเนื่องมาโดยตลอด ยุคแรกเริ่มขึ้นมาพร้อมกับตอนที่ผมเป็น
บ.ก.นิตยสารโลกหนังสือให้กับดวงกมล ให้กับคุณสุข สูงสว่าง โดยใช้ชื่อโลกหนังสือฉบับเรื่องสั้น (ปี 2521)
ออกเป็นรายสะดวกปีละเล่ม เพราะผมไม่มีเวลาต้องทำฉบับรายเดือนด้วย แต่เป็นฉบับแรกเลยที่บอกว่าจะ
ประดับช่อการะเกดขึ้นมา คล้ายเป็นข้อสังเกตพิเศษของ บ.ก. เบื้องต้นใช้คำนี้เพราะต้องการจะเลี่ยงรางวัล
ก็ออกมา 4 เล่ม มีชื่อประจำปก คือวันเวลาที่ผ่านเลย ราคาแห่งชีวิต เพชรน้ำงาม และคลื่นหัวเดิ่ง"
ซึ่งสาเหตุที่เลือกเรื่องสั้นนั้นนอกจากจะเป็นเพราะความสนใจส่วนตัว และนักเขียนส่งเรื่องสั้นมาที่นิตยาสาร
โลกหนังสือเยอะมากจนลงแทบไม่หมดแล้วนั้น สุชาติยังมองว่าเรื่องสั้นน่าจะเร้าความสนใจได้ง่ายกว่า
และการพิสูจน์ฝีมือก็เห็นได้เร็วกว่านิยายอีกด้วย ซึ่งช่อการะเกดยุคนี้ก็ได้สร้างนักเขียนมีชื่อหลายท่านทั้งที่กลับ
มาเขียนใหม่หลังยุค 6 ตุลา 19 อาทิ ศรีดาวเรือง วัฒน์ วรรลยางกูร ฯลฯ และนักเขียนเลือดใหม่
อาทิ มาลา คำจันทร์ ชาติ กอบจิตติ วิมล ไทรนิ่มนวล จำลอง ฝั่งชลจิตร ฯลฯ แต่แล้วในปี พ.ศ.2523
โลกหนังสือฉบับเรื่องสั้นก็มีอันเป็นไป
ว่างเว้นไปถึง 9 ปี ในปี พ.ศ.2532 ช่อการะเกดฉบับที่ 5 ก็ได้กลับคืนสู่สวนอักษรอีกครั้ง
"เรืองเดช จันทรคีรี ทำนิตยสารถนนหนังสือ ผมเป็น บ.ก.ที่ปรึกษาให้เขา ก็คุยกันว่าจะรื้อฟื้นช่อการะเกดขึ้นมา
คิดว่าจะขายขาดให้เคล็ดไทย โดยจะทำในนามของสโมสรถนนหนังสือ และตั้งชื่อปกว่า เดินข้ามคืน ตื่นจากฝัน
คนพันธุ์ใหม่ ไฟไม่ลามทุ่ง เป็นชื่อที่ตั้งใจจะสะท้อนนัยยะของยุคสมัย แต่สายส่งไม่รับซื้อขาด แต่เรายังอยากทำต่อ
ผมกับเรืองเดชก็เลยลงขันกัน ตรงนี้ล่ะที่ก่อเกิดสำนักช่างวรรณกรรม ที่จัดพิมพ์ตั้งแต่ฉบับที่ 5-41"
และช่อการะเกดยุคนี้ก็สร้างนักเขียนลือนามอีกมากมายให้แวดวงวรรณกรรมไทย อาทิ
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์,
เดือนวาด พิมวนา, วินทร์ เลียววาริณ, ประชาคม ลุนาชัย, เสี้ยวจันทร์ แรมไพร, สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ, สกุล บุณยทัต ฯลฯปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสำเร็จของช่อการะเกด หลักใหญ่เกิดจากพื้นฐานความรู้ทางวรรณกรรมที่แน่นหนา การมองเรื่องสั้น
อย่างทะลุในทุกด้าน และรสนิยมส่วนตัว ของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ทำให้เรื่องสั้นในช่อการะเกดมีความหลากหลาย
"ยุคนี้หนังสือมีส่วนของ บ.ก.อยู่บ้าง แต่ก็มีส่วนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย แตกต่างกับสมัยก่อน ที่การทำหนังสือคือทำตามอุดมคติของ
บ.ก. ซึ่งแต่ละคนก็มีบุคลิกของตัวเอง จะเรียกว่ารสนิยมก็ได้ เป็นการพูดโดยโวหาร ฟังแล้วอาจน่าหมั่นไส้ แต่เบื้องหลังของคำนี้
ก็สะท้อนถึง บ.ก. ว่าคุณคือตัวเชื่อมระหว่างผู้สร้างคือผู้เขียนกับผู้รับคือผู้อ่าน เพราะฉะนั้น คุณต้องทำงานด้วยความจริงใจ
ค้นหาเพชรน้ำงามเจียรไนออกมา เป็นเรื่องลำบากเหมือนกัน แต่ บ.ก.ทุกคนต้องต้องการให้ผู้อ่านได้รับสิ่งที่ดีที่สุด"
และช่อการะเกดปี 2550 นี้ สุชาติก็ยังหยัดยืนทำหน้าที่บรรณาธิการอยู่เช่นเดิม
"ทุกเรื่องสั้นที่ส่งมาจะคัดเองด้วยวิธีเดิม ก็เห็นตั้งแต่เริ่มเปิดซองอ่าน เพราะนักเขียนส่งเรื่องมาด้วยความนับถือเรา
เราก็ต้องให้ความนับถือเขาด้วยการอ่านเรื่องสั้นของเขาเพื่อพิจารณา เรื่องสั้นที่ดีต้องมีชั้นเชิง ศิลปะนำเนื้อหา
เนื้อหาและรูปแบบต้องเสริมดุลกันทำให้เรื่องสั้นมีชีวิตขึ้นได้ เวลาพิจารณา มี 3 แฟ้ม มี ผ่านเลย ผ่านรอ ผ่านเก็บ"
และอย่าคิดว่าแค่อ่านแล้วเก็บในแฟ้มเฉยๆ นะ เพราะความสำเร็จของหลายคนในวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากคำวิจารณ์
"คนเขียนหนังสือแทบทุกคนมักเห็นว่า ทุกถ้อยคำของตัวเองเป็นทองคำ ก็จะไม่วิจารณ์โดยตรง แต่จะพูดแบบกว้างๆ
ส่วนใหญ่จะแก้พวกภาษา เพราะเรื่องสั้นในรสนิยมส่วนตัวของผม ต้องมีความคิดริเริ่ม ซึ่งเกิดขึ้นไม่ง่าย ถ้าเรื่องแบบนี้
ยังไม่เคยมีใครเขียนมาก่อนเลย งานนี้ผ่านทันที แต่บังเอิญภาษาต้องแก้ไข ก็เป็นหน้าที่ของ บ.ก."
ส่วนบทบาทครั้งใหม่นั้น สุชาติบอกว่า จะขอสักปีหนึ่งแล้วดูความพร้อมของสายตาอีกที
"กลับมาใหม่เป็นบทบาทเล็กๆ สร้างพื้นที่ให้เขาก็จะมาเอง แล้วเราก็จะเติบโตไปด้วยกัน ถือคตินี้ตั้งแต่เริ่มทำหนังสือ
และเมื่อมาแล้วก็ยังต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ มากมายเหมือนเดิม ก็หวังว่า คนในรุ่นที่เคยเขียนจะมีไฟตื่นขึ้นมาเขียนหนังสือใหม่
ขณะเดียวกันก็มองหาคนใหม่ที่เชื่อมั่นในอำนาจวรรณกรรม"
แต่งานนี้ท่าทางจะต้องต่อสู้กับสังคมการอ่านของบ้านเรากันเหนื่อยทีเดียว
"คงไม่มีผลถึงกับเคลื่อนภูเขาพระสุเมรให้ตรงขึ้น แต่น่าจะกระตุ้นได้บ้าง บ้านเราตั้งแต่มีวัฒนธรรมแท่นพิมพ์การอ่านก็ไม่ได้
งอกงาม ถ้าวัฒนธรรมการอ่านเติบโตขึ้นตามจำนวนผู้ศึกษาในอุดมศึกษา เราไม่น่าจะมีปัญหา เรามีแต่วัฒนธรรมหนังสือ
ที่เน้นหนังสือหลากหลาย สีสัน แต่วัฒนธรรมการอ่านไม่เข้มแข็ง"
แล้วอย่างงานเขียนแนวทดลอง และแฟนตาซีที่กำลังฮิตๆ ล่ะ พอจะส่งได้ไหมนะ
"ไม่อยากให้มองช่อการะเกดสูงส่ง ไม่เคยจำกัดแนวเรื่องรัก เรื่องผีได้หมด แต่มือต้องถึง ส่วนงานทดลองอยากอ่านมากว่า
ทดลองแบบไหน มันไม่ใช่ของใหม่มีมาตั้งนานแล้ว อย่างงานของฮิวเมอริสต์ งานต้องสมเหตุสมผลลงตัวในฐานะชิ้นงาน
ศิลปะที่ปรากฎบนหน้าหนังสือ แต่ก็ยังอยู่ในแก่นเดิมนั่นล่ะ เพียงแต่มีมุมมอง ชั้นเชิง และวิธีการเล่าใหม่
"ถ้าเป็นความคิดริเริ่ม ต่อให้ผิดศีลธรรมแค่ไหนก็จะลง บ.ก.คนนี้ไม่ได้เอามาตรฐานของจริยธรรมเป็นตัวตัดสิน
ถ้าคอยแต่จะไปจัดระเบียบ ก็ไม่เกิดศิลปะแบบใหม่ที่เรียกว่าร่วมสมัย ส่วนแฟนตาซีจะต้องเห็นก่อนถึงจะรู้ อย่าซ้ำซาก
ต้องมีมุมมองใหม่ ถ้าไปได้ไกลกว่าลอร์ด ออฟ เดอะ ริง ก็เชิญมา"
โห งานน่าท้าทายขนาดนี้ คอวรรณกรรมยังนิ่งเฉยอยู่ก็เกินไปล่ะ
ขณะที่เวียง-วชิระ บัวสนธิ์ เล่าให้เราฟังว่า สาเหตุสำคัญของการกลับมาคือ
"ภาวะวรรณกรรมไทยตอนนี้น่าเป็นห่วง หลังจากช่อการะเกดปิดตัวก็สังเกตว่าไม่มีนักเขียนรุ่นใหม่ที่ปรากฏตัวโดดเด่นขึ้นมา
อาจมีคุ่น-ปราบดา หยุ่น แต่ถือเป็นลักษณะค่อนข้างพิเศษ สารภาพตามตรงว่าอยากให้สังคมไทยมีบรรยากาศของวรรณกรรม
เพราะเกรงว่าในอนาคตจะไม่มีใครรู้ความหมายของวรรณกรรม และอาจแยกแยะไม่ถูกด้วยซ้ำว่าหนังสือดีเป็นยังไง
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมของสติปัญญาประชาชาติซึ่งมันน่าอาย ส่วนที่ว่ากระตุ้น ฝึกฝนคนรุ่นใหม่ให้เป็นนักเขียนเชิง
สร้างสรรค์ ไม่ใช่เขียนอะไรกันก็ไม่รู้ ถือเป็นผลพลอยได้ที่ดีมาก"
แทนที่จะสร้างขึ้นมาใหม่นั้น วชิระและสุทธิพงษ์กลับเลือกที่จะรื้อฟื้น เพราะมองว่าช่อการะเกดมีเครดิตที่ดีอยู่แล้ว
และสุชาติ สวัสดิ์ศรี เอง ถึงจะพูดเสมอว่า สุดท้ายแล้วก็ต้องไปพัฒนากันเอง แต่สุชาติก็เป็นเหมือนคำท้าที่นักเขียนหลายคน
อยากจะผ่านนั่นเอง
"ธุรกิจหนังสือบ้านเราเป็นธุรกิจเต็มรูป โดยไม่ได้สนใจเรื่องศิลปะปัญญา ทำลายรสนิยมทางการอ่านและทำให้เกิด
ความไขว้เขว จริงๆ พ็อกเกตบุคที่ทำกันอยู่ หลายเล่มไม่ใช่งานวรรณกรรม แค่ถูกสร้างให้เหมือน จะไปโทษสนพ.ซะทีเดียว
ก็ไม่ได้ เข้าใจว่าเป็นกระแสทุนนิยมที่เอาง่ายเข้าว่า การอ่านเลยได้รับผลกระทบไปด้วย"
วชิระยังบอกว่ากิจกรรมส่วนใหญ่ของช่อการะเกดนั้นยังคงเดิม มีทั้งการประดับช่อและงานชุมนุมช่างวรรณกรรมเช่นเดิม
เพียงแต่จะไม่ทำระบบสมาชิก
"ไม่ทำระบบสมาชิกเพราะว่าไม่ต้องการเอาเงินสมาชิกมาทำ ส่วนการประดับช่อจะเปลี่ยนไปเป็นประดับทีเดียวตอนปลายปี
ในงานชุมนุมช่างวรรณกรรม ซึ่งตกลงว่าจะจัดทุกเสาร์ที่ 2 ของเดือนธันวาคม จะเริ่มปี 2551 เพราะพี่สุชาติเกรงว่าอาจเป็นการ
ชี้นำทางการอ่าน"
และไม่ต้องกลัวนะว่าช่อการะเกดจะอยู่ไม่ถึงงานชุมนุมช่างวรรณกรรม เพราะว่า
"ไม่ได้คิดเรื่องค้าขาย สัญญาได้เลยว่าการกลับมาครั้งนี้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 3 ปี ไม่ใช่ทำเล่นๆ ต่อให้ขายไม่ได้สักเล่มก็จะทำ"
มุ่งมั่นขนาดนี้ ช่อการะเกดช่อนี้ คงไม่โรยราง่ายๆ อย่างแน่นอน
เวบไซด์อ้างอิง ช่อการะเกด 