เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 22, 2025, 12:25:08 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร ..  (อ่าน 7688 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คูณ 3 superแก๊งค์
Sr. Member
****

คะแนน 40
ออฟไลน์

กระทู้: 790



« เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2007, 09:07:31 PM »

 Wink กลัวจะเสียดินแดนไปอีกเป็นครั้งที่ ๒.. หลังจากเคยเสียเขาพระวิหารไปแล้ว
นำคดีเขาพระวิหารมาให้ดูย่อๆ .. อ่านแล้วอาจไม่ค่อยเข้าใจ ต้องตีความหน่อย
ไทยเราแพ้เพราะไม่โต้แย้ง . แผนที่ของฝรั่งเศส ที่ทำเขตแดนไว้ ..
เรียกว่ากฎหมายปิดปาก ..



........................................................... ........................................................... .........


คดีเขาพระวิหาร


ที่ตั้งและสภาพทั่วไปของปราสาทเขาพระวิหาร

      ปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงเล็กหรือดงรัก (ดองแร็กภาษาเขมรแปลว่าภูเขาไม้คา)  กั้นพรมแดนไทย-กัมพูชา ตั้งอยู่บนงอยของเอื้อมผาที่สูงตระหง่าน      ไม่อาจหาโบราณสถานในวัฒนธรรมเขมรแห่งอื่นใดจักมีความทัดเทียมได้ เดิมตั้งอยู่ที่บ้านภูมิชร็อล  ระหว่างช่องโพย (ตะวันตก)  กับช่องทะลาย ต.บึงมะลู อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ          ในราชอาณาจักรไทย

ลำดับเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับกรณีพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร

แผนที่อินโดจีนของชาแบร็ต แอล กัลลัง  ซึ่งพิมพ์ก่อนการดำเนินงานของ    คณะกรรมการผสมอ้างที่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2444 แสดงว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในเขตสยาม
แต่แผนที่ทางโบราณคดีของลูเนต์  เดอ ลาจองกิแยร์ ในปี พ.ศ. 2444  ตีพิมพ์เรื่องบัญชีทะเบียนโบราณสถาน  ในปี พ.ศ. 2447 ได้ยืนยันว่า การปักปันเขตแดนครั้งสุดท้าย     ทำให้เปรียะวิเชียรหรือเขาพระวิหารตกมาเป็นของฝรั่งเศส
แต่ในช่วงเวลานี้ราชอาณาจักรสยามยังใช้อำนาจปกครองเขาพระวิหารต่อไป
11 ต.ค. 2483 กรมศิลปากรของราชอาณาจักรไทย (เปลี่ยนจากสยามในช่วงนี้)  ได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ต่อมา 4 ธ.ค. 2502 ไทยประกาศขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นโบราณสถานแห่งชาติอีกครั้งพร้อมทั้งมีแผนที่แสดงปราสาทเขาพระวิหารแนบท้าย
ปี พ.ศ 2492 ฝรั่งเศส ริเริ่มและด้วยความเห็นชอบของกัมพูชาได้มีการคัดค้านอำนาจอธิปไตยของไทย เหนือเขาพระวิหารอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก  ฝรั่งเศสประท้วงว่าไทยไม่ควรส่งคนไปรักษาปราสาทเขาพระวิหาร
กัมพูชาเริ่มเรียกร้องให้เขาพระวิหารเป็นส่วนหนึ่งของกัมพูชา เริ่มเป็นทางการ พ.ศ. 2501
1 ธ.ค. 2501 กัมพูชาตัดความสัมพันธ์ทางการฑูตกับไทย
   **  - 6 ต.ค. 2502 รัฐบาลกัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกขอให้ศาลวินิจฉัยให้ราชอาณาจักรไทยถอนกำลังหรืออาวุธออกจากบริเวณเขาพระวิหาร และขอให้ศาลชี้ขาดว่าอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา


ปัญหาที่เกี่ยวกับการปักปันเส้นเขตแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

      ปัญหาเรื่องเขตแดนระหว่างประเทศอาจถูกระงับไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพราะ

รัฐที่เกี่ยวข้องยังไม่มีเทคนิคของการสำรวจพื้นที่ที่ดีพอหรือไม่สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้เพื่อตรวจว่าเส้นเขตแดนปัจจุบันถูกต้องตรงตามที่ตนได้ทำความตกลงไว้หรือไม่
รัฐที่เกี่ยวข้องเล็งเห็นว่าผลประโยชน์ของงานในด้านอื่นมีความสำคัญกว่า
รัฐที่มีดินแดนติดต่อกันยังไม่สามารถคำนวณผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจหรือการเมืองออกได้อย่างชัดเจน
      - คดีปราสาทเขาพระวิหาร  มาจากผลสืบเนื่องของอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 1907  (พ.ศ. 2450)

ตามข้อกำหนดในอนุสัญญา ค.ศ. 1904 ( พ.ศ. 2447) ข้อ 1 และข้อ 3 กำหนดไว้ดังนี้ 
         "ข้อ 1 เขตแดนระหว่างประเทศสยามกับกประเทศกัมพูชาเริ่มต้นบนฝั่งซ้ายของทะเลสาปจากปากแม่น้ำสะตุง โรลูโอส….ฯลฯ ……จนถึงทิวเขาดงรัก จากที่นั้นเส้นเขตแดนคือสันปันน้ำระหว่างลุ่มน้ำของแม่น้ำเสนและแม่น้ำโขงด้านหนึ่งกับแม่น้ำมูลอีกด้านหนึ่ง…………."

         "ข้อ 3 ให้มีการปักปันเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรสยามกับดินแดนที่ประกอบเป็นอินโดจีนฝรั่งเศส การปักปันนี้ให้กระทำโดยคณะกรรมการผสมประกอบด้วยพนักงานซึ่งประเทศภาคีทั้งสองแต่งตั้ง งานของคณะกรรมการจะเกี่ยวกับเขตแดนส่วนที่กำหนดไว้ในข้อ 1 และข้อ 2 ………."

         คณะกรรมการผสมได้ดำเนินการปักปันเส้นเขตแดนจนเกือบจะแล้วเสร็จ แต่สยามกับฝรั่งเศสได้ชิงลงนามอนุสัญญาปี ค.ศ. 1907 ไปก่อน จึงยังไม่ได้มีการทำแผนที่สมบูรณ์ให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายลงนามรับรองแต่อย่างใด ต่อมาฝรั่งเศสได้ดำเนินการตีพิมพ์แผนที่ซึ่งรัฐบาลสยามยังไม่ได้รับรองอย่างเป็นทางการนั้น โดยได้จัดพิมพ์แต่เพียงฝ่ายเดียวที่กรุงปารีส แล้วจึงส่งแผนที่จำนวน 11 ท่อน มาให้รัฐบาลสยามในจำนวนนี้มีแผนที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับดินแดนบริเวณเขาพระวิหารด้วยฉบับหนึ่ง รัฐบาลสยามมิได้รับรองแผนที่ดังกล่าวไว้เป็นลายลักษณ์อักษร   แผนที่ดังกล่าวกำหนดเส้นเขตแดนบนภูเขาดงรักเรียกว่า "แผ่นดงรัก"      (ไทยประท้วงว่าไม่ได้ผ่านความเห็นชอบและการพิจารณาของคณะกรรมการผสม)  ดังนั้น หากยึดตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) ก็จะต้องกำหนดตามเขตแดนธรรมชาติคือ    สันปันน้ำ ซึ่งไทยยืนยันว่าสันปันน้ำปันเขาพระวิหารมาไว้ในอาณาเขตไทย แต่แผนที่ทำขึ้นกำหนดปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในกัมพูชา

กัมพูชาอ้างว่าต้นฉบับแผนที่นี้พิมพ์โดยอาศัยอำนาจมอบหมายจากคณะกรรมการผสมมีไทยฝรั่งเศส ได้มีการส่งแผนที่ไปให้รัฐบาลสยามจำนวน 50 ฉบับ เสนาบดีมหาดไทยทรงตอบรับใน พ.ศ. 2451 กับขอเพิ่มเติมอีก 15 ชุด เพื่อไปแจกจ่ายแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่น
คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีเขาพระวิหาร

      กัมพูชาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องไทยต่อศาลโลกหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เป็นเรื่องการอ้างอธิปไตยของคู่กรณีเหนือดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งของซากปราสาทพระวิหาร ตั้งอยู่บนเทือกเขา ซึ่งเป็นผืนดินที่ต่อเนื่องออกไปจากแผ่นดินของประเทศไทยในบริเวณเทือกเขา    ดงรักและหักลงสู่พื้นที่ราบลุ่มในกัมพูชา ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับเขาพระวิหารมาก

      ก่อนหน้าที่กัมพูชาจะเสนอข้อพิพาทนี้ สนธิสัญญา พ.ศ. 2410 ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ได้แบ่งเส้นเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนให้อยู่ต่ำกว่าบริเวณซากปราสาทพระวิหาร   ต่อมาฝรั่งเศสเห็นว่าการปักปันเส้นเขตแดนยังไม่ดีพอ

ประเด็นสำคัญ

      ศาลโลกจะต้องพิจารณาคือการจัดพิมพ์แผนที่ดังกล่าวโดยการกระทำฝ่ายเดียวของฝรั่งเศสมีผลผูกพันทางกฎหมายต่อรัฐภาคีหรือไม่ เพียงใดและกัมพูชาจะมีอธิปไตยเหนือดินแดนที่เป็นที่ตั้งของปราสาทพระวิหารหรือไม่ ศาลได้ลงนามเห็นว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดน ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระวิหาร โดยอาศัยเหตุผล 2 ประการ ดังต่อไปนี้

ผลผูกมัดของแผนที่ภาคผนวกที่ 1 ได้แก่ คุณค่าในตัวเองของแผนที่ ความผิดพลาด  ที่เกิดขึ้นในแผนที่และคุณค่าของแผนที่ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐภาคี
คุณค่าของแผนที่ในตัวเอง มีการตั้งคณะกรรมการปักปันเส้นเขตแดนผสม  ชุดที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่จะต้องปักปันเส้นเขตแดนในเทือกเขาดงรักด้านตะวันออกรวมทั้งเขา  พระวิหารด้วย แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการชุดที่ 2 นี้ไม่เล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องเป็น   เส้นเขตแดนในบริเวณเขาพระวิหารอีก การกระทำนี้อาจจะตีความในทางกลับได้ว่า       คณะกรรมการผสมชุที่ 2 เห็นว่าเส้นเขตแดนที่ถูกปักปันขึ้นตามอนุสัญญาปี ค.ศ. 1904  นั้นมีความชัดเจนอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องปักปันซ้ำอีก ศาลเห็นว่าแผนที่ของภาคผนวกที่ 1 เป็นเพียงคณะกรรมการชุดที่ 1 มีการปักปันเช่นกันแต่ยังไม่เสร็จซึ่งยังไม่ได้รับการรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรจากคณะกรรมการชุดที่ 1 และไม่มีเอกสารทางราชการอื่นใดที่อาจพิสูจน์ได้ ว่าแผนที่ภาคผนวกที่ 1 นั้น เป็นผลงานโดยชอบของคณะกรรมการผสมชุดที่ 1 ศาลจึงสรุปว่าในระยะเริ่มแรกในขณะที่แผนที่ได้ทำขึ้น (ค.ศ. 1907)  แผนที่นั้นไม่มีลักษณะที่จะผูกมัดรัฐภาคี
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในแผนที่  ศาลโลกยอมรับว่า แผนที่ภาคผนวกที่ 1 คลาดเคลื่อนไปจากแนวเส้นสันปันน้ำที่อนุสัญญา ค.ศ. 1904 กำหนดเอาไว้ อย่างหรก็ดี      ถึงแม้ว่าการปักปันเส้นเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวกที่ 1 จะมิได้เป็นผลงานของคณะกรรมการผสมชุดที่ 1 ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็คือ "รัฐบาล มีอำนาจที่จะรับรองผลของการปักปันเส้นเขตแดนที่คลาดเคลื่อนจากแนวสันปันน้ำ (ซึ่งอนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 บัญญัติไว้) กล่าวอีกนัยหนึ่ง      ก็คือการรับรองแผนที่ภาคผนวก 1 โดยรัฐบาลคู่พิพาทเป็นความตกลงระหว่างประเทศฉบับใหม่  ซึ่งมีผลลบล้างข้อความที่ภาคีคู่สัญญาได้ตกลงกันไว้แต่เดิมในอนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 นั่นเอง
            รัฐบาลสยามมิได้ทักท้วงข้อผิดพลาดดังกล่าว ขณะที่และภายหลังที่ฝรั่งเศสได้ส่งแผนที่ภาคผนวกที่ 1 มาให้สยามพิจารณา จึงไม่อาจอ้างเรื่องการทำแผนที่ผิดพลาด โดยนิ่งเฉย และไม่แสดงท่าทีคัดค้านเส้นเขตแดนทั้งที่ไทยสามารถหลีกเลี่ยงได้ การนิ่งเฉยของไทยนั้นเป็นการกระทำที่มีส่วนก่อให้เกิดความผิดพลาดนี้ขึ้นมา

คุณค่าของแผนที่ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐภาคี  ไทยอ้างว่าไทยไม่เคยให้การรับรองเป็นลายลักษณ์อักษร แก่แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้ เพราะไทย     รับแผนที่มา 50 ชุด และยังขอเพิ่มเติมอีก 15 ชุดจากฝรั่งเศส เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ข้าหลวงประจำจังหวัด ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1909 คณะกรรมการจัดทำแผนที่ประเทศสยามก็ยังได้ประชุมกันที่กรุงเทพฯ เพื่อจัดทำแผนที่ประเทศสยามฉบับย่อขึ้น โดยใช้แผนที่ภาคผนวกที่ 1 เป็นแม่แบบ ดังนั้น แม้ว่าฝ่ายจะไม่ได้ให้คำรับรองที่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม แต่การประพฤติปฏิบัติของฝ่ายไทยก็ส่อเจตนาที่จะยอมรับโดยพฤตินัยต่อเส้นเขตแดนในบริเวณเขาพระวิหารที่ตีพิมพ์ลงในแผนที่ฉบับนี้มาโดยตลอด ฝ่ายไทยไม่เคยมีปฏิกริยา      โต้ตอบเรื่องนี้ภายในระยะเวลาอันสมควรด้วยเหตุนี้ศาลจึงเล็งเห็นว่าฝ่ายไทย "ได้ให้ความยินยอมโดยการนิ่งเฉยแล้ว" ดังภาษิตลาตินที่ว่า "ผู้ที่เงียบเฉยอยู่ย่อมถือเสมือนได้ว่ายินยอม ถ้าเขามีหน้าที่ที่จะพูดและสามารถที่จะพูดได้" 
เหตุผลอันดับรอง  ท่าทีที่ขัดแย้งกันเองในข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของไทยได้ค้นพบว่ามีความผิดพลาดในการเขียนตำแหน่งของลำน้ำเสนลงในแผนที่ แต่มิได้ทำการประท้วงในระดับระหว่างประเทศ ต่อมามีความตกลงระหว่างสยามกับฝรั่งเศส จัดตั้งคณะกรรมการประนอม ทบทวนเส้นเขตแดนหลายจุด ยกเว้นในส่วนที่เป็นข้อพิพาทนี้  อีกประการหนึ่งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของฝ่ายไทยคือกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เสด็จไปสำรวจทางโบราณคดีในเขตของเขาพระวิหาร ฝรั่งเศสได้ตั้งกองทหารรับเสด็จแต่ฝ่ายไทย   ก็มิได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบเพื่อคัดค้านอธิปไตยของฝรั่งเศสเหนือเขาพระวิหาร แม้ไทยจะอ้างว่ารัฐบาลของตนมิได้ทักท้วงแต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ครอบครองดินแดนส่วนนี้อย่างบริสุทธิ์ใจ   คือครอบครองด้วยความเชื่อมั่นว่าดินแดนนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของตนมาโดยตลอดแต่    ศาลโลกเห็นว่า "เป็นการยากที่ศาลจะยอมรับว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะสามารถ ลบล้างท่าทีของรัฐบาลไทยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง"
         ดังนั้นจะเห็นได้ว่าคำพิพากษาของศาลโลกได้นำเอาหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความของกลุ่มประเทศแองโกล-แซกซอน มาปรับใช้กับคดีนี้หลักดังกล่าวได้แก่                   "หลักทฤษฎีปิดปาก หรือเอสตอปเปิล (Estoppel)" ซึ่งเป็นวิธีพิจารณาความที่ตั้งอยู่บน    พื้นฐานของหลักแห่งความบริสุทธิ์ใจ เปิดโอกาสให้คู่ความใช้วิธีนี้ปิดปากฝ่ายตรงข้าม    เมื่อฝ่ายหลังให้ข้อขัดแย้งกันเอง ศาลโลกไม่ได้ใช้สำนวนเอสตอบเปิลนี้โดยตรง แต่กลับหลีกเลี่ยงไปใช้คำ "Preclusion" แทน

แนวคำถาม-คำตอบคดีเขาพระวิหาร

ถาม

จงอธิบายเหตุผลที่ศาลโลกใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสินคดีเขาพระวิหาร
ตอบ

เหตุผลหลัก คือการยอมรับโดยพฤตินัยของฝ่ายไทยต่อแผนที่ภาคผนวก 1
เหตุผลรอง คือท่าทีของฝ่ายไทยขัดต่อคำให้การของตนเองและเสริมฐานะให้กับการอ้างอธิปไตยของกัมพูชา
ถาม

ปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างประเทศสิ้นสุดลงหลังการทำสนธิสัญญาหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตอบ

         ปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างประเทศอาจถูกระงับลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อมีการทำสนธิสัญญาและกำหนดเส้นเขตแดนระหว่างรัฐ แต่อาจเกิดขึ้นอีกได้โดยเฉพาะเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐนั้นไม่เอื้ออำนวย เมื่อมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจฯ ระหว่างรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเส้นเขตแดนเป็นเครื่องกำหนดอธิปไตยโดยเด็ดขาดของรัฐ แต่การปักปันเส้นเขตแดนอาจไม่ละเอียดพอจึงเปิดโอกาสให้มีการอ้างอธิปไตยและตีความสนธิสัญญาหรือความตกลงจัดเส้นเขตแดนที่รัฐทำขึ้นภายหลังการทำสนธิสัญญาแม่บทนั้นแล้ว

หมายเหตุ :  ก่อนตอบคำถามควรตอบหลักการของการกำหนดเส้นเขตแดนที่ท่านอาจารย์ตามทฤษฎีก่อน
 
 
 
 


อ้างอิง : ฝ่ายวิชาการ นิติศาสตรมหาบัณฑิต รุ่น 1  มหาวิทยาลัยรามคำแหง.2546. คดีเขาพระวิหาร.[Online]/available.URL : http://www.geocities.com/rachai_sut/
บันทึกการเข้า

***....จงมีและใช้ธรรมะ    เป็นเครื่องมือ เป็นอาวุธ ....***
คูณ 3 superแก๊งค์
Sr. Member
****

คะแนน 40
ออฟไลน์

กระทู้: 790



« ตอบ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2007, 09:10:24 PM »

 Wink แต่ถ้าจะอ่านข้อมูลอย่างละเอียด  ก็ต้องไปหาเล่มนี้ครับ  ..
อ่านแล้ว ..เพลินดี .. ข้อมูลคดีเขาพระวิหาร อยู่ในนี้หมด ..


บันทึกการเข้า

***....จงมีและใช้ธรรมะ    เป็นเครื่องมือ เป็นอาวุธ ....***
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2007, 09:12:39 PM »

ผมไม่กลัวครับเพราะผมเชื่อว่ายังไงเราจะไม่ยอมเสียดินแดงอีก
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
คูณ 3 superแก๊งค์
Sr. Member
****

คะแนน 40
ออฟไลน์

กระทู้: 790



« ตอบ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2007, 09:17:41 PM »

จริงๆถ้าใครได้เคยไปเขาพระวิหาร ... บอกได้เต็มปากเลยว่า ..ดูแล้ว
น่าจะเป็นของไทยที่สุด ..

ฝั่งทางขึ้น ก็อยู่ฝั่งแดนไทย / ฝั่งกัมพูชา เป็นชะง่อนผา ลึกลงไป .. ตกใจ
บันทึกการเข้า

***....จงมีและใช้ธรรมะ    เป็นเครื่องมือ เป็นอาวุธ ....***
Audy452 ♥ รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1180
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 14952



« ตอบ #4 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2007, 09:44:43 PM »

ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

adisak5
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 4
ออฟไลน์

กระทู้: 661


« ตอบ #5 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2007, 11:30:51 PM »

น่ายืมวิธีของยิวนะครับ
ใครจะว่าเป็นดินแดนของใครกูไม่สน
มึงเข้ามาเจอดี 
บันทึกการเข้า
xiehua dun
เรารักในหลวง
Hero Member
*****

คะแนน 134
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6209


ปัจจุบันวัดความดีของคนที่ กม.


« ตอบ #6 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2007, 10:24:16 AM »

ฝรั่งเศสคือเจ้าตำหรับโกงชาวบ้านโดยใช้วิธีทางกฎหมาย
บันทึกการเข้า


เพราะฉันจะไป ด้วยหัวใจดวงนี้ สองขาที่มีจะปีนสู่ภูผา
เพราะฉันจะไป ให้เห็นความสุขแท้มันด้วยตา
เมื่อได้มองลงมาเห็นโลกในมุมอีกมุม     มันคงช่างงดงาม
JJ-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 386
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9425


« ตอบ #7 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2007, 10:30:00 AM »

ฝรั่งเศสคือเจ้าตำหรับโกงชาวบ้านโดยใช้วิธีทางกฎหมาย
ชอบคำนี้จังครับพี่
บันทึกการเข้า
krajong
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 453
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2875



« ตอบ #8 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2007, 12:47:38 PM »

ฝรั่งเศสคือเจ้าตำหรับโกงชาวบ้านโดยใช้วิธีทางกฎหมาย
โดนใจครับ
บันทึกการเข้า

ความจริงไม่มีวันตาย แต่คนพูดความจริงตายไปหลายแล้ว
^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^
มีภัย มีเรา biw199
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 224
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3412



« ตอบ #9 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2007, 01:33:06 PM »

ฝรั่งเศสคือเจ้าตำหรับโกงชาวบ้านโดยใช้วิธีทางกฎหมาย
ยกให้อีก1เสียงครับพี่
  ขนาดโจรสลัดปล้นเขามาแล้วเอาของไปให้รัฐ ยังได้เป็นขุนนางเลย Undecided
บันทึกการเข้า





พายุยิ่งพัดอื้อ....................ราวป่าหรือราบทั้งแดน
อิศานนับแสนแสน..............สิจะพ่ายผู้ใดเหนอ?
สหายเล็กน้อย
ความรักเป็นเรื่องตลก...อกหักเป็นเรื่องขำ ๆ
Hero Member
*****

คะแนน 2113
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 11510


...มีแต่ตัวกับหัวใจ... เธอจะรักฉันไหม ... !!!


« ตอบ #10 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2007, 02:44:50 PM »

"ข้อ 1 เขตแดนระหว่างประเทศสยามกับกประเทศกัมพูชาเริ่มต้นบนฝั่งซ้ายของทะเลสาปจากปากแม่น้ำสะตุง โรลูโอส….ฯลฯ ……จนถึงทิวเขาดงรัก จากที่นั้นเส้นเขตแดนคือสันปันน้ำระหว่างลุ่มน้ำของแม่น้ำเสนและแม่น้ำโขงด้านหนึ่งกับแม่น้ำมูลอีกด้านหนึ่ง…………."


  Angry Angry Angry...ผิดตั้งแต่...ข้อที่ 1 นี้แล้วครับ...ลัดเลาะตามชายแดนไทยกัมพูชาไปจนจรดชายแดนไทยลาวที่ด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี...ฝั่งเราอยู่บนที่ราบสูง...ฝั่งกัมพูชา/ลาวเป็นที่ราบต่ำ...พื้นที่ทั้งสองฝั่งต่างระดับกันอย่างชัดเจน...ถ้าดูตามแผนที่ที่ละเอียดเหมือนแผนที่ของทหาร...จะเห็นเป็นเทือกเขาและหน้าผา...แบ่งแยกประเทศไทยกับเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน...และต่อจากนั้นไปจะเป็นแม่น้ำโขงที่แยกประเทศไทยกับประเทศลาวออกจากกัน...โดยใช้ร่องน้ำลึก...ซึ่งนับวันจะขยับกินพื้นที่ลึกเข้ามาในดินแดนของประเทศไทย...

                   ...และไม่ใช่เพียงที่ยอดเขาพระวิหารแห่งเดียว...ที่เป็นของกัมพูชา...ยังมียอดเขาหรือปลายหน้าผาอีกหลายแห่ง...ที่เป็นของประเทศเพื่อนบ้าน...ทั้งที่...เส้นทางที่สามารถขึ้นไปสู่แต่ละแห่งได้โดยสะดวกนั้น...ขึ้นได้จากฝั่งประเทศไทย....

                   ...มีหลายครั้งหลายหนที่ผมมีโอกาสได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งประเทศ...ด้วยก้าวสั้น ๆ เล็ก ๆ ...ซึ่งมองเห็นเป็นแค่เพียงร่องน้ำลำห้วยเล็ก ๆ ตื้น ๆ ...กระโดดทีเดียวก็ข้ามไปอยู่อีกประเทศ...ในใจก็นึกสะท้อน...แค่ยอดเขา/ปลายหน้าผาห่างเพียงแค่นี้...ก็กลายเป็นของประเทศอื่นไปเสียแล้ว...แถมเมื่อหันมองกลับมาทางประเทศไทย...ยังมีหลักเขตแดนให้เห็นเป็นที่ช้ำใจอีก...

                    ...หากใครเคยไปเที่ยวเขาพระวิหาร...คงจะเคยสังเกตุเห็น...สะพานไม้...พาดข้ามร่องน้ำเล็ก ๆ ตรงทางขึ้นเขาพระวิหาร...(ด่านเก็บเงินสุดท้ายที่ทำเป็นรั้วเหล็กกั้นไว้)...นั้นแหละครับ...คือเส้นแบ่งเขตแดน...(แล้วท่านอาจจะคิดสะท้อนใจเหมือนกันกับผม)...

                    ... ประเทศไทย...ได้สูญเสียดินแดนให้ต่างชาติไปหลายแห่งหลายครั้งแล้ว...ยังจะยอมสูญเสียกันเช่นนี้อีกต่อไปหรือ... Angry Angry Angry
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 26, 2007, 01:52:25 AM โดย ALEX_AMSS7 » บันทึกการเข้า



...ล้มแล้วจงลุกใหม่...จนกว่าลูกแกะจะกลายเป็นราชสีห์...
สหายเล็กน้อย
ความรักเป็นเรื่องตลก...อกหักเป็นเรื่องขำ ๆ
Hero Member
*****

คะแนน 2113
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 11510


...มีแต่ตัวกับหัวใจ... เธอจะรักฉันไหม ... !!!


« ตอบ #11 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2007, 02:49:21 PM »

ผมไม่กลัวครับเพราะผมเชื่อว่ายังไงเราจะไม่ยอมเสียดินแดงอีก


 Cheesy Cheesy Cheesy...ใครจะมายึด...ดินแดง...เหรอครับ..ใช้แนวแบ่งเขตแบบ...สันปันน้ำ...หรือ...อ่างอาบน้ำ...ครับ... Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า



...ล้มแล้วจงลุกใหม่...จนกว่าลูกแกะจะกลายเป็นราชสีห์...
พญาจงอาง +รักในหลวง+
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1870
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10363



« ตอบ #12 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2007, 03:04:33 PM »

..สมัย10ที่แล้ว คนแถวบ้านไปเที่ยว ทหารพรานบอกว่าอย่าออกนอกเส้นทางที่ขึงลวดไว้เพราะกับระเบิดเพียบ แต่คนเมาไม่ยอมฟัง สุดท้ายขากลับ เพื่อนที่ไปด้วยได้แบกขาอีกข้างกลับมาให้ด้วย..
บันทึกการเข้า

..The only thing neccessary for the triump of evil is for the good man to do nothing..
"สิ่งเดียวที่ทำให้คนชั่วได้รับชัยชนะ คือการที่คนดีๆนิ่งดูดาย "
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #13 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2007, 03:07:44 PM »

ผมไม่กลัวครับเพราะผมเชื่อว่ายังไงเราจะไม่ยอมเสียดินแดนอีก


.. รู้สึกเหมือนกัน.  มันอาจเกี่ยวด้วย การเดินเกมส์การเมืองระหว่างประเทศ
   ที่มีหลายปัจจัย.. ที่ไม่อาจเปิดเผยให้ได้รับรู้.   

    เรื่องที่ควรพิจารณาว่า คู่กรณีของคุณคือใคร ..  ไอ้ที่มันหนุนอยู่ข้างหลังมันนั้น. คือใคร.
    ในขณะที่ เราไม่มีมหาอำนาจใดจะหนุนช่วย .. แล้วยิ่งถูกให้เชื่อในความยุติธรรม
    ในการเมืองระหว่างประเทศด้วย.. 
    แต่ต้องถือว่า บรรพบุรุษของเรา.. ท่านได้ต่อสู้ อย่าง สมศักดิ์ศรีแล้ว .

    แต่ถ้าจะให้เชื่อมโยงถึง กรณี ๓ จังหวัดภาคใต้ ขอบอกว่ามันไม่เกี่ยวกัน. .
    มันเป็นเรื่องภายในประเทศของเราเอง.. ต่างชาติ ไม่เกี่ยว  Smiley

   

   
บันทึกการเข้า

Narin CZ
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #14 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2007, 06:18:30 PM »

ผมไม่เคยไปเลย ว่างๆว่าจะลองไปเที่ยวดูสักครั้งครับ...
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.059 วินาที กับ 18 คำสั่ง