ศาลแพ่งไม่คุ้มครอง ก.คลังขอให้ไล่สุเทพออกจากพื้นที่
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 27 พ.ย.2556 ศาลแพ่งอ่านคำสั่งขอคุ้มครองชั่วคราวคดีหมายเลขดำ 4844/2556 ที่กระทรวงการคลัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำกลุ่มต่อต้านพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมและโค่นล้มระบอบทักษิณ เป็นจำเลย เรื่องขับไล่ที่ พร้อมเรียกค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดที่บุกเข้าไปในพื้นที่กระทรวงการคลัง กรมธนารักษ์ สำนักงบประมาณ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และกรมบัญชีกลาง 536,986.30 บาท โดยกระทรวงการคลังขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวให้จำเลยและมวลชนออกจากกระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นในบริเวณใกล้เคียง
ศาลได้พิจารณาคำฟ้องแล้วโจทก์ระบุว่าจำเลยเป็นแกนนำกลุ่มต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ได้ร่วมกันปลุกระดมมวลชนจำนวนหลายพันคนไปปิดล้อมกระทรวงการคลังและส่วนราชการอื่นๆ และได้ตัดกระแสไฟฟ้า น้ำประปา รวมทั้งส่งเสียงดังทำให้ข้าราชการโจทก์เกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายจนไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ ซึ่งการกระทำของจำเลยกับพวกส่งผลกระทบต่อความมั่นคงระบบการเงินและการคลังของประเทศ โดยมีเจตนาเพื่อไม่ให้ส่วนราชการดังกล่าวได้จัดส่งงบประมาณให้รัฐบาลไปใช้ในการบริหารประเทศ
ขณะที่ศาลได้ไต่สวนพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์แล้วได้ความว่า หลังจากที่จำเลย มวลชนและประชาชนจำนวนมากเข้าไปในพื้นที่ของกระทรวงการคลัง และหน่วยงานราชการอื่นในบริเวณใกล้เคียงแล้ว ในวันเดียวกันได้มีประกาศเรื่องพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งกำหนดให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้งและแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร นอกจากนี้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาตรา 5 ได้กำหนดให้ กอ.รมน.มีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร และได้กำหนดให้นายกรัฐมนตรีฐานะหัวหน้ารัฐบาลเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร
ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำการที่กระทบต่อระบบการเงิน การคลังของประเทศและความมั่นคงของชาติ ก็ย่อมเป็นอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ที่จะดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามบทกฎหมายดังกล่าว ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้นได้รวมถึงอำนาจในการที่จะสั่งให้จำเลยและบริวารออกจากพื้นที่ที่พิพาทอยู่แล้วด้วย ทั้งการดำเนินการบังคับตามพ.ร.บ.มั่นคงฯ ย่อมมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดียิ่งกว่าการใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
นอกจากนี้ก็ปรากฏจากคำเบิกความของประธานรักษาความปลอดภัยในกระทรวงโจทก์ว่า ศาลอาญาได้ออกหมายจับจำเลยเนื่องจากการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรเพียงพอที่จะนำวิธีการชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 วรรคสอง ประกอบมาตรา 266 มาใช้ในคดีนี้อีก จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=703511&lang=T&cat=