เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 16, 2025, 02:48:37 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ‘ปืน' กลางไฟใต้ เครื่องมือสร้าง ‘สันติภาพ' หรือ ‘สงครามกลางเมือง'  (อ่าน 1242 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
C.J. - รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 314
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5383


ขอ...นัดเดียว


เว็บไซต์
« เมื่อ: มิถุนายน 23, 2007, 09:40:18 AM »

http://www.deepsouthwatch.org/index.php?l=content&id=65

ศูนย์เฝ้าระวังเชิงองค์ความรู้สถานการณ์ภาคใต้ (IDSW)


ตอนที่ 1.จากปล้นปืน สู่เสียงเพรียกหาปืนในสถานการณ์ใต้


"พวกเราต้องการปืน!"


สวัสดิ์ ยืนยง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 4 ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย หนึ่งในแกนนำม็อบชาวไทยพุทธหน้าที่ว่าการอำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลากว่า 1 พันคนที่เดินทางมายื่นหนังสือให้ พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ ประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและแก้ไขกรณีปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมาพูดเสียงดังฟังชัด



เขาบอกว่า ได้ยื่นข้อเรียกร้องไปจำนวน 6 ข้อ ประเด็นหลักคือเรื่องการคัดค้านไม่ให้ถอนกองกำลังทหารพรานและตำรวจตระเวนชายแดนที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในบ้านควนหรัน ซึ่งเกิดกรณีการยิงเด็กปอเนาะเมื่อคืนวันที่ 17 มีนาคม นอกจากนั้นข้อเรียกร้องส่วนใหญ่คือความต้องการให้ฝ่ายรัฐอำนวยความยุติธรรม รวมทั้งการบังคับใช้กฏหมายให้บังเกิดความเท่าเทียมกันระหว่างคนไทยนับถือศาสนาพุทธและอิสลาม



แต่ข้อเรียกร้องที่น่าสนใจคือข้อที่ 5 ที่ระบุว่าให้ทางราชการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ในการป้องกันตนเองของชาวบ้านและข้อที่ 6 ที่มีเนื้อหาว่า ให้ความอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในการขออนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและผ่อนปรนในการพกพา



สวัสดิ์อธิบายว่าข้อที่ 5 นั้นเขาให้ทางราชการจัดซื้อจัดหาอาวุธมอบให้กับชาวบ้าน ส่วนข้อที่ 6 นั้นมีความหมายว่า ให้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในการอนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนโดยถูกกฏหมาย ช่วยอำนวยความสะดวกในการฝึกซ้อมการใช้อาวุธปืนและผ่อนปรนทางข้อกฏหมาย อนุญาตให้ประชาชนสามารถพกพาอาวุธปืนได้



ผู้ใหญ่บ้านแกนนำม็อบให้ภาพว่า เหตุที่เขาต้องรวบรวมชาวบ้านขึ้นมาเรียกร้องแก่ทางการ นั่นก็เพราะประมวลจากความต้องการของชาวบ้านไทยพุทธในพื้นที่ซึ่งระบุตรงกันว่า มาตรการปราบปรามและเฝ้าระวังเหตุของเจ้าหน้าที่ยังคงหละหลวมอยู่ ในขณะที่การบังคับใช้กฎหมายก็ยังกระทำอย่างไม่เอาจริงเอาจัง ข้อพิสูจน์คือเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ไม่ห่างกัน



เขาบอกว่าคนไทยพุทธเสียชีวิตมากกว่ามุสลิมหากเทียบตามสัดส่วนของประชากร แม้ตัวเลขการเสียชีวิตของชนทั้งสองศาสนิกมีอัตราใกล้เคียงกัน นั่นเป็นที่มาของข้อเรียกร้องการขออาวุธเพิ่มในการป้องกันตัวเองและอำนวยความสะดวกและผ่อนปรนในการขออนุญาตและพกพาอาวุธปืนแก่ "ผู้บริสุทธิ์"



ข้อเรียกร้องหาปืนของชาวไทยพุทธในอำเภอสะบ้าย้อย จึงเป็นสัญญาณล่าสุดที่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายหันมาให้ความสนใจต่อ "เสียงเพรียกหาปืน" ของคนในพื้นที่กันอย่างจริงจังอีกครั้ง



เหตุการณ์ปล้นปืนที่กองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อค่ำคืนของวันที่ 4 มกราคม 2547 ทำให้ปืนกว่า 300 กระบอกในคลังแสงของค่ายปิเหล็งหายไป ทัศนะของรัฐต่อการปล้นปืนครั้งนั้นคือการเย้ยอำนาจรัฐอย่างใหญ่หลวงที่สุด นำไปสู่การนำกำลังทหารลงมาเพิ่มใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อตามล่าหาปืนที่ถูกปล้นไป กระทั่งปัญหาไฟใต้ได้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกเข่นฆ่าไปเป็นจำนวนมาก นับเป็นปฐมบทของการปรับเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เน้นให้ประชาชนมีความเข้มแข้งปกป้องตนเองได้



ปืนจำนวนมากหลากชนิดถูกส่งลงมากระจายอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านนโยบายรัฐที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อเอื้อให้ประชาชนสามารถครอบครองและใช้อาวุธปืน อาทิโครงการสวัสดิการ โครงการจัดตั้งกองกำลังภาคประชาชน ฯลฯ รวมถึงการผ่อนปรนความเข้มงวดในการขอใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนสำหรับประชาชน



นาน 3 ปีอาวุธปืนจำนวนหลายสิบกระบอกถูกตามจนพบแต่ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปืนที่ถูกปล้น มีหลักฐานปรากฏว่าปืนบางกระบอกในจำนวนที่พบถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย แต่ในขณะที่การก่อเหตุร้ายรายวันดำเนินไปอย่างเข้มข้น นอกจากการซุ่มยิงด้วยอาวุธปืนแล้ว การไล่ฟัน การวางระเบิด การเผา ก็กลายเป็นยุทธวิธีที่สำคัญของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ ปะทะกันระหว่างกองกำลังของฝ่ายรัฐและฝ่ายแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบยังเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้ง



การสูญเสียของประชาชน นับวันยิ่งทวีความรุนแรงและปริมาณความสูญเสียได้ก่อให้เกิดภาวะแห่งความหวาดกลัว และไม่มั่นใจว่าทหารและตำรวจจะปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของตนเองได้ ส่งผลให้ "เสียงเพรียกหาอาวุธปืน"เกิดขึ้นแทบทุกพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้  



กรณีของชาวบ้านไทยพุทธใน อ.สะบ้าย้อย นับเป็นกรณีศึกษาต่อเสียงเพรียกหาอาวุธปืนของประชาชนที่น่าสนใจ  ที่ทำให้หลายฝ่ายอดเป็นห่วงต่อปรากฏการณ์นี้ไม่ได้ เพราะชาวบ้านทั้งหมดรู้สึกว่าตนเองถูกคุกคาม แต่กรณีการสังหารเด็กปอเนาะบำรุงศาสตร์ ที่บ้านควนหรัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้เคียงกัน พวกเขากลับไม่มีข้อมูลใดๆ เลย และต่างยอมรับว่า พวกเขาไม่กล้าที่จะเดินทางไปสถานที่เกิดเหตุ และความรู้สึกลึกๆ เขาเชื่อว่าความรุนแรงทั้งหมดเกิดจากน้ำมือของคนมุสลิมด้วยกันเอง



ความต้องการต่ออาวุธปืนของชาวบ้านไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่ได้ปรากฏชัดมานานแล้วในหลากหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่มีคนไทยพุทธตั้งถิ่นฐานอยู่ หลังจากชีวิตของผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อของฝ่ายคนร้ายที่อยู่ในเงามืด หลังข้อเรียกร้องของชาวไทยพุทธใน อ.สะบ้าย้อย ก็มีเสียงตอบรับจากฝั่งรัฐว่าจะเพิ่มอาวุธปืนให้กับชาวบ้านใน 62 หมู่บ้านอีกว่าหนึ่งพันกระบอก จากเดิมที่มีอยู่แล้วประมาณ 900 กระบอกในจำนวนหมู่บ้านดังกล่าว



ชัดเจนว่าข้อเรียกร้องของชาวบ้านสะบ้าย้อยคือปรากฏการณ์ที่เป็นผลลัพท์ของภาวะความหวาดกลัว หวาดระแวง และความไม่ไว้เนื้อเชื่อมั่นต่อระบบการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตำรวจทหาร และยังเป็นผลที่บังเกิดขึ้นจากยุทธวิธี "สร้างอาณาจักรแห่งความกลัว" ของฝ่ายแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบ



แต่ในมุมของชาวบ้าน ความต้องการปืน ไม่ได้คำนึงถึงการตกหลุมพรางเป้าหมายของขบวนการความไม่สงบ เป็นความต้องการที่เกิดจากความเชื่อว่า อาวุธปืนคือที่พึ่งในยามที่ความเชื่อมั่นต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายรัฐลดน้อยถอยลงอย่างน่าใจหาย

ภาวะเช่นนี้ กำลังเป็นกระแสที่น่าสนใจยิ่ง เมื่อสังคมไทยโดยรวมก็มีความเชื่อเช่นเดียวกันว่า ฝ่ายรัฐควรจะกระจายอาวุธปืนจำนวนมากไปให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะฝั่งของชาวไทยพุทธซึ่งเชื่อว่าเป็นเหยื่อโดยตรง  สอดรับกับผลสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ที่ระบุว่า ชาวหาดใหญ่ซึ่งคยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในภาคใต้มาแล้วหลายครั้งต้องการให้รัฐบาลมอบปืนให้กับประชาชนใน 3 จังหวัด มากกว่านี้ เพื่อป้องกันตนเองและต่อกรกับฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบได้อย่างมีประสิทธิภาพ




ตอนที่ 2. ปริมาณปืนชายแดนใต้ ดัชนีอำนาจรัฐ หรือชี้วัดความรุนแรง



การแพร่กระจายของอาวุธปืนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้ พบว่ามีอยู่เป็นปริมาณมาก ข้อมูลจากสำนักงานปกครองจังหวัดปัตตานีจังหวัดเดียวระบุว่า มีปืนที่ถูกขออนุญาตอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ทั้งปืนพกสั้นขนาด .38 ลงมาและปืนยาวประเภทลูกซอง มีมากกว่า 30,000 กระบอก



นี่เป็นสถิติเฉพาะของจังหวัดปัตตานีและเป็นปืนที่ขออนุญาตอย่างถูกกฏหมาย มีทะเบียนถูกต้อง ซึ่งไม่รวมอาวุธปืนอีกจำนวนมากของฝ่ายปราบปรามอย่างทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ที่อนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนได้โดยไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากนายทะเบียน



รวมถึงอาวุธปืนที่ทางราชการมอบให้กับ "หน่วยจัดตั้ง" ในภาคประชาชน อาทิ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน (อรบ.) อาสาสมัครหมู่บ้าน (อสม.) ฯลฯ และ "กองกำลังพิเศษ" อื่นๆ ที่มีอีกมากมาย ที่ทางตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองได้จัดตั้งขึ้นตามความต้องการของแต่ละหน่วยงาน เพื่อช่วยเสริมกำลังในการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่

ทางฟากจังหวัดนราธิวาส ซึ่งปัญหาความไม่สงบเกิดขึ้นอย่างรุนแรงต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ข้อมูลจากสำนักงานปกครองจังหวัดระบุว่า มีตัวเลขจำนวนอาวุธปืนอยู่ในมือประชาชนขณะนี้มากกว่า 45,000 กระบอก ส่วนใหญ่เป็นปืนพกสั้น และสถิติที่ประชาชนมายื่นคำขอใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนยังสูงถึงเดือนละ 100 รายต่อเดือน ตัวเลขดังกล่าวใกล้เคียงกับจำนวนอาวุธปืนถูกกฏหมายของจังหวัดยะลา



"ความต้องการปืนของประชาชนยังมีอยู่มาก แต่ปัญหาก็คือปัจจุบันราคาปืนค่อนข้างแพง ส่วนใหญ่คนที่มาขอใบอนุญาตจึงยังเป็นข้าราชการและผู้มีฐานะ หรือเป็นผู้นำท้องถิ่น ส่วนประชาชนทั่วไปยังมีอาวุธปืนอยู่น้อย ยิ่งในอำเภอรอบนอกที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นแทบทุกวันคนยิ่งไม่มีเงินไปซื้อหาอาวุธ เพราะเขาไม่มีเงิน ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ แต่ความต้องการของเขายังมีอยู่มาก" มะซอรี มะ เจ้าหน้าที่กองทะเบียนอาวุธปืน สำนักงานปกครองจังหวัดนราธิวาสกล่าว



จากข้อมูลดังกล่าว มะซอรียังแสดงความเห็นว่า จำนวนปืนในจังหวัดนราธิวาสจะเพิ่มขึ้นอีกมาก ตราบใดที่ความไม่สงบยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ และที่สำคัญคือ ตัวเลขนี้ไม่ได้รวมกับปืนที่ไม่มีทะเบียน หรือ "ปืนเถื่อน" ที่คาดว่า มีเป็นจำนวนมหาศาลที่ทะลักทะลายเข้ามาสู่มือของประชาชนทั้งฝ่ายผู้บริสุทธิ์และฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ



ดูเหมือนการยื่นขอใบอนุญาตเพื่อครอบครองอาวุธปืนจะเข้มงวด กวดขันเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ แต่กรณีของประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจมีกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากนั้น เมื่อแหล่งข่าวจากสำนักงานปกครองจังหวัดปัตตานีรายหนึ่งระบุว่า "เดี๋ยวนี้ใครขอก็ได้เกือบหมด"



เขาระบุเหตุผลว่า ในสถานการณ์ความรุนแรงที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อล้มตายมากมาย อำนาจรัฐไม่สามารถปกป้องคุ้มครองประชาชนได้ ปืนจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ต้องเลือกใช้ปกป้องคุ้มครองตนเอง แม้จะรู้ว่าคนธรรมดาที่ไม่ได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธจะใช้ได้ไม่ดีเท่ากับเจ้าหน้าที่และฝ่ายคนร้าย แต่หากมีปืนอยู่ข้างๆ ก็จะรู้สึกอุ่นใจ



ในขณะที่ นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีก็ยอมรับว่าทางรัฐไม่ได้อิดออด ถ้าประชาชนจะขอ(ปืน) มา เพราะว่า ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ก็ต้องการความปลอดภัยของตนเองและครอบครัวเป็นอันดับแรก เพราะสถานการณ์รุนแรงขึ้น ปืนคือความต้องการเป็นอันดับแรก  



แต่สำหรับการควบคุมอาวุธปืนมิให้นำไปใช้ในทางที่ผิด ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีระบุว่า ทางฝ่ายปกครองมีมาตรการควบคุมจำนวนกระสุนปืน และจะมีการบันทึกตัวเลขกระสุนสำหรับผู้ที่ครอบครองอยู่แล้ว



เขาบอกว่าถ้าประชาชนอยากได้ปืน ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายอำเภอ แต่หากทำตามระเบียบการที่วางไว้ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอนุญาตให้ครอบครองได้ ระเบียบการที่ว่าคือ ให้ดูจากความจำเป็นสำหรับการใช้ปืน ดูจากอาชีพ ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด เคยมีอยู่แล้วกี่กระบอก ถ้ามากเกินไป ก็ไม่ดี ดูจากความประพฤติ ให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับรอง  และสุดท้ายให้ดูขนาดปืนที่ยื่นขออนุญาตว่า มีความเหมาะสมในการใช้อย่างไร

  

ส่วนความเห็นของ พล.ต.ท.เจตนากร นภีตะภัฏ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ยังมองว่า มาตรการในการอนุญาตและพกพาปืนของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงอยู่ในมาตรฐานปกติ มีขั้นตอนการขออนุญาตต่อฝ่ายปกครองเหมือนทั่วไป ส่วนคนที่จะพกพาก็ต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง ซึ่งไม่น่าจะเกิดปัญหาใดๆ



อย่างไรก็ตามผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ยังอดหวั่นวิตกไม่ได้ว่าการที่ประชาชนในพื้นที่ครอบครองอาวุธปืนไว้เป็นจำนวนมากก็เป็นดาบสองคมเช่นเดียวกัน เพราะหากไม่สามารถควบคุมการใช้ให้รัดกุมก็จะทำให้ควบคุมพื้นที่ได้ยาก



เมื่อมองถึงความสำคัญของอาวุธปืน กระแสความต้องการของคนไทยพุทธมีมากกว่า ด้วยเหตุผลที่บอกว่าตนเองคือเหยื่อ ถูกคุกคามเอาชีวิตไม่เว้นแต่ละวัน ฝ่ายรัฐไม่สามารถปกป้องคุ้มครองพวกเขาได้ ฉะนั้น "ปืน" จึงเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่เขาเลือกจะเชื่อและหยิบมาใช้ อย่างที่ ลุงริ่น สดศรี บอกว่า คนไทยพุทธในตำบลเปียน อ.สะบ้าย้อย ถึงกับท่องคำขวัญว่า "หลับเถิดตำรวจจ๋า ชาวประชาชนจะคุ้มภัย" แปลงจากคำขวัญ "หลับเถิดชาวประชา ตำรวจกล้าจะคุ้มภัย" ของกรมตำรวจในอดีตให้ได้ยินได้ฟังมานานแล้ว



สะท้อนถึงความไม่วางใจในการป้องกันและดูแลของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างชัดเจนที่สุด



ทั้งที่ในอดีต อาวุธปืน เปรียบดัง "ดัชนีอำนาจรัฐ" เนื่องจากรัฐเป็นฝ่ายหยิบยื่นปืนให้กับประชาชน แต่เมื่อฉายภาพปัจจุบัน ปริมาณของปืนกลับสวนทางกับนิยามในอดีตอย่างสิ้นเชิง เมื่อปริมาณของปืน บ่งบอกถึงความอ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพของอำนาจรัฐ



ประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ อดีตกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ที่ปรึกษาสมาพันธ์ครูจังหวัดจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ความเห็นว่า ความต้องการปืนเกิดจากความล้มเหลวของรัฐ ที่ไม่สามารรถปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ และเป็นตัวชี้ระดับความรุนแรงของสถานการณ์



เขาบอกว่าการครอบครองและพกพาอาวุธปืนของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมากในปัจจุบัน ยังไม่น่าเป็นห่วงเพราะเป็นการอนุญาตในทางปฏิบัติ แต่ในทางกฏหมายยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ทุกคนไม่สามารถใช้ปืนตามอำเภอใจได้  



แต่กรณีของฝั่งชาวมุสลิมนั้น จะมีปรากฏปฏิกิริยาต่อปืนในอีกทางหนึ่ง พวกเขาเลือกที่จะปฏิเสธอาวุธปืนเป็นส่วนใหญ่ เพราะเชื่อว่าปืนคือสิ่งที่จะนำอันตรายมาสู่ตน ในอดีตหน่วยจัดตั้งภาคประชาชนอย่าง ชรบ.เคยแห่แหนนำปืนไปคืนให้ทางการมาแล้ว เพราะเกิดกรณีการถูกปล้นอาวุธปืนจากฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ และยังถูกทางราชการตั้งข้อสงสัยว่าสมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายแนวร่วมด้วย แต่คนมุสลิมอีกส่วนหนึ่งก็ยังต้องการอาวุธปืนไว้สำหรับป้องกันตนเองเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะคนที่ทำงานราชการ หรือมีบทบาทอยู่กึ่งกลางระหว่างรัฐและประชาชน



ประสิทธิ์บอกว่าจุดอ่อนสำคัญ 2 ประการสำหรับประชาชนผู้ถือปืนคือ เสี่ยงต่อการเป็นเป้าหมายของฝ่ายผู้ก่อการและความไม่สันทัดในการใช้อาวุธปืน เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ เมื่อถูกโจมตี คนเหล่านี้ก็มักจะใช้ปืนไม่ทัน ท้ายที่สุดก็ต้องเสียไปทั้งคนและปืน



ซึ่งจุดนั้นก็จะอันตรายไปอีกขั้น เพราะปืนของคนบริสุทธิ์ จะถูกนำมาสังหารคนบริสุทธิ์ล้มตายอีกมากมายดังที่เกิดขึ้นทุกวันนี้


บันทึกการเข้า

ธรรมของสัตบุรุษ

๑. ธัมมัญญุตา - รู้จักเหตุ ๒. อัตตัญญุตา - รู้จักผล ๓. อัตตัญญุตา - รู้จักตน ๔. มัตตัญญุตา - รู้ประมาณ ๕. กาลัญญุตา - รู้จักกาล ๖. ปริสัญญญุตา - รู้จักประชุมชน ๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา - รู้จักเลือกบุคคล

http://www.dopaservice.com/eservice/content.do?ctm_id=gun&function=document&gro
C.J. - รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 314
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5383


ขอ...นัดเดียว


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2007, 09:41:21 AM »


ตอนที่ 3. สถานการณ์ใต้กับผลประโยชน์ธุรกิจค้าปืน



"ที่ใดมีสงครามที่นั่นมีคนได้ผลประโยชน์จากสงคราม" อดีตเจ้าของร้านขายปืนที่ผันตนเองออกจากธุรกิจดังกล่าวมานานเกือบสิบปีให้กล่าว ปัจจุบันเขาอยู่ในชมรมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทย ซึ่งยังคลุกวงในอยู่กับธุรกิจค้าปืนอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น



เขา ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีอาวุธปืนถูกกฎหมายอยู่ในความครอบครองของพลเรือนมากกว่า 4,000,000 กระบอก ส่วนใหญ่เป็นปืนพกสั้น และมีปืนเถื่อนอยู่ไม่เกิน 2-3 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนปืนทั้งหมด แต่ในกรณีของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบนั้น เขาไม่สามารถระบุได้ เพราะมีข่าวว่า ปืนจำนวนหนึ่งที่ถูกนำมาก่อเหตุ เป็นปืนที่นำเข้ามาจากชายแดนฝั่งตะวันออกของประเทศไทย และยังมีอาวุธปืนที่ผ่องถ่ายระหว่างกันกับเครือข่ายผู้ก่อการร้ายในประเทศที่มีปัญหาความไม่สงบ ซึ่งไม่มีข้อมูลหลักฐานว่าจริงเท็จอย่างไร



ตามฐานข้อมูลของกรมศุลกากร การนำเข้าอาวุธปืนมาในประเทศไทยปี 2549 มีจำนวนราว 55,000 กระบอก โดยรวมปืนทุกชนิด ตั้งแต่ขนาด.357, 5.5 ม.ม., 6.35 ม.ม., 7.65 ม.ม., 9.00 ม.ม., 11 ม.ม. ปืนพกสั้นอื่นๆ รวมทั้งปืนลูกซองและ ไรเฟิล

อดีตเจ้าของร้านขายปืนให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การนำเข้าปืนถูกกฏหมายของประเทศไทย เป็นไปตามโควต้าที่ทางราชการกำหนดให้ ร้านปืนแต่ละร้านจึงมีโควต้าของตนเอง ที่กำหนดให้ 1 โควต้า สามารถนำเข้าปืนสั้นได้ 30 กระบอก และปืนยาว 50 กระบอก ร้านปืนแต่ละร้านอาจมีโควต้าไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ของกระทรวงมหาดไทย และ "เส้นสาย" ของเจ้าของร้านปืนกับผู้มีอำนาจในกระทรวงฯ ด้วย



แต่การนำเข้าอาวุธปืนตามโควต้าของร้านปืน ยังไม่เท่ากับ "ปืนสวัสดิการ" ที่กระทรวงมหาดไทยสั่งตรงเข้ามา ที่เขาระบุว่ามากกว่าจำนวนโควต้าทั้งหมดที่ร้านปืนทุกร้านรวมกัน โดยเฉพาะหลังจากปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ทวีความรุนแรงขึ้น ปืนสวัสดิการโดยการอนุมัติของกระทรวงมหาดไทยถูกสั่งตรงเข้ามาเป็นจำนวนมากและเป็นระลอกๆ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การสั่งนำเข้าก็ต้องสั่งผ่าน "เอเย่นส์" อีกทอดหนึ่ง



เรื่องปริมาณปืนในประเทศไทย อดีตเจ้าของร้านปืนรายดังกล่าวให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องของ Demand และ Supply ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อมีความต้องการใช้เกิดขึ้น การนำเข้าก็เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีความเหลื่อมล้ำค่อนข้างสูง เพราะเมื่อเปรียบเทียบจำนวนปืนกับความต้องการในปัจจุบันแล้ว ปริมาณปืนจึงมีอยู่น้อยมาก



"ยิ่งเกิดสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ คนยิ่งต้องการซื้อปืนมาก ปืนที่มีอยู่น้อยก็ถูกปรับราคาขึ้นสูงลิ่ว คนที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ คือเจ้าของร้านขายปืนต่างๆ นั่นเอง" เขากล่าว



เขาระบุว่า ปืนสั้นบางยี่ห้อ ราคาจริงขณะนำเข้าเมื่อบวกภาษีแล้วอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาทแต่ราคาขายอยู่ที่ 60,000 บาท กำไรที่ร้านปืนได้ จึงมากกว่าราคาจริงถึง 2 เท่าตัว เท่ากับเป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน



ในฐานะอดีตเจ้าของร้านขายปืน ที่คลุกคลีกับธุรกิจดังกล่าวมามากกว่า 20 ปี เขาบอกว่าราคาปืนในปัจจุบันราคาแพงจนเกินไป เขาเคยร้องเรียนเรื่องดังกล่าวไปยังผู้รับผิดชอบแล้วหลายครั้ง แต่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ



"ราคาขายจริง 60,000 บาท แต่เปิดเบิลแค่ 20,000 บาท และลูกค้าทุกคนก็ไม่มีใบเสร็จ เพราะสำหรับการค้าขายอาวุธในปัจจุบันจะไม่มีการง้อลูกค้า เขาถือว่าการซื้อปืนคือความจำเป็นที่จะต้องใช้ ยิ่งในสถานการณ์ภาคใต้ยิ่งคนต้องการมาก แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับร้านปืน ทุกวันนี้ผลประโยชน์ที่ควรจะเป็นรายได้ของรัฐกลับตกอยู่ในมือของพ่อค้าปืนกลุ่มเล็กๆ เพียงกลุ่มหนึ่งที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย"



เขาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในอดีตการขอใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนขึ้นอยู่กับกรมทะเบียนกรมตำรวจ ในช่วงที่โอนย้ายไปให้กับกรมการปกครองใหม่ๆ เคยเกิดกรณีที่นายกสมาคมร้านปืนจับมือกับข้าราชการในกรมการปกครอง บอกกับประชาชนว่าหากจะขอใบอนุญาตต้องผ่านร้านปืนก่อน ร้านปืนจะเรียกเก็บเงินกระบอกละ 4,000 - 5,000 บาทเป็นค่าวิ่งเต้นมาแล้ว ซึ่งจะเห็นว่า ธุรกิจประเภทนี้ยังมีช่องทางหาประโยชน์ได้อยู่เสมอ



แม้แต่การใช้ปืนหาประโยชน์จากสถานการณ์ภาคใต้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อปลายปีที่แล้วอาวุธปืนในคลังตำรวจที่จังหวัดขอนแก่นถูกยักยอกไปโดยตำรวจกลุ่มหนึ่งนำไปขายที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนำไปตกแต่งและสวมทะเบียนใหม่ขึ้นมาเพื่อหลอกขายประชาชน เรื่องมาแตกเอาตอนที่ทางอำเภอนำเลขทะเบียนไปตรวจสอบกับต้นขั้วแล้วไม่เจอ ซึ่งปัจจุบันนี้การทำเช่นนี้อาจจะยังมีอยู่โดยฝีมือของคนในเครื่องแบบเอง เพราะคลุกคลีใกล้ชิดกับอาวุธปืนมากที่สุด จึงน่าจะเป็นคำตอบว่าปืนเถื่อนส่วนหนึ่งในภาคใต้ที่อยู่ในมือประชาชนมาจากไหน



เขาบอกว่า เมื่อปืนถูกลำเลียงเข้าสู่สงครามคนที่ได้ประโชน์จากสงครามก็จะอยู่ในเงามืด ไม่มีใครรู้ว่ามีกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์ไปจากธุรกิจประเภทนี้เท่าไหร่ หากใครไปถามร้านหรือเอเย่นส์ว่าปัญหาภาคใต้ทำให้เงินในกระเป๋าของเขาเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน เขาจะไม่มีวันบอก แถมคนถามยังจะถูกด่าอีกด้วยซ้ำ



เขาตั้งข้อสังเกตว่า ตั้งแต่อดีตภาคใต้ถือเป็นตลาดปืนที่ใหญ่มาก คนใต้คือลูกค้ารายใหญ่ของร้านขายปืน  แต่เหตุใดเมื่อเกิดความไม่สงบ จึงยังมีคนมาซื้อหาอาวุธปืนเพิ่มขึ้นตลอด ปืนที่เคยซื้อไว้หายไปไหน?



และยังตั้งข้อสงสัยว่า หลายคนที่ถูกยิงมีปืนเหน็บอยู่กับเอวตนเอง ทำไมจึงไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ จึงตั้งคำถามว่าการฝึกฝนเพื่อการใช้อาวุธปืน ยังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับประชาชนทุกคน จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ ที่ต้องหาทางฝึกอบรมให้กับคนเหล่านี้ เพราะแทนที่จะมีปืนสำหรับป้องกันตนเอง กลับกลายเป็นของแถมให้กับฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ




ตอนที่4. (จบ) ติดอาวุธสู้ไฟใต้ หนทางเสื่อมถอยหรือปูทางสร้างสันติ?



เสียงร่ำลือเรื่องคนไทยพุทธเริ่มต้นตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อสู้กับฝ่ายกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันเริ่มหนาหูขึ้นเรื่อยๆ คำร่ำลือภายในชุมชนมุสลิมกลายเป็นเรื่องเล่าที่ทรงอำนาจ สร้างความหวาดระแวง และระแวดระวังคนไทยพุทธมากขึ้น



แม้จะยังไม่มีใครมองเห็นกับตาว่า กองกำลังที่ว่ามีจริงหรือไม่ แต่เสียงดังกล่าวได้สะท้อนความรู้สึกแปลกแยกกับคนไทยพุทธได้พอสมควร บางคนถึงขนาดบอกว่า คนไทยพุทธกำลังตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อ "เอาคืน" คนมุสลิม หลังจากคนไทยพุทธตกเป็นเหยื่อในการสังหารของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ



มีกระแสข่าวมากมายระบุว่ามีกองกำลังติดอาวุธในภาคประชาชนอยู่จริงโดยการสนับสนุนของเจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วยงาน เพื่อลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามคืออาวุธปืนที่อยู่ในมือของกลุ่มคนเหล่านี้จะถูกใช้ไปในทิศทางใด รวมทั้ง "ท่าที" ต่ออาวุธปืนของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้



คำถามเรื่อง "ท่าที" ต่ออาวุธปืนมีหลายเหตุที่สามารถอธิบายทำความเข้าใจได้ แต่ผลสรุปของนักวิจัยด้านปืนศึกษารายหนึ่งน่าสนใจอย่างยิ่ง เธอสะท้อนว่ามีอีกหลายวิธีที่มนุษย์สามารถแก้ไขปัญหาได้ผลมากกว่าปืน แต่เมื่อไหร่ที่มีปืนกรอบความคิดในการแก้ปัญหาก็แคบมากขึ้น



"ปืนไม่ได้เป็นแค่วัตถุชิ้นหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาบางอย่างของตนเองได้สัมฤทธิ์ผล ยังมีอีกหลายวิธีหลายแนวทางที่ทำได้ผลมากกว่าปืน และยังสร้างความสงบสุขได้อย่างยั่งยืนมากกว่า" เธอกล่าว และว่าอาวุธปืนในมือของมนุษย์มันจะเป็นเพียงเศษเหล็กชิ้นหนึ่ง หากจิตใจของผู้เป็นเจ้าของอยู่เหนือกว่าและควบคุมมันได้ แต่มันจะมีชีวิตมีความรู้สึกเช่นเดียวกับเจ้าของ หากอาวุธปืนเข้าไปควบคุมอารมณ์ความรู้สึกและอยู่เหนือกว่านายตนเอง มันจะแสดงออกเช่นเดียวกับผู้ที่ถือมันอยู่ และพร้อมจะระเบิดออกมา เมื่อถูกปัจจัยแวดล้อมตกกระทบรุนแรง



เธอขยายความให้เห็นภาพว่า อย่างกรณีที่เจ้าของบ้านยิงโจรที่เข้าไปขโมยจตุคามรามเทพตายอย่างน่าอนาจ กลายเป็นข่าวดังที่คนหันไปสนใจรุ่นขององค์จตุคามรามเทพ และความตายของโจรก็กลายเป็นความชอบธรรมทั้งในแง่ของความรู้สึกและความชอบธรรมในแง่ของกฏหมาย สังคมมองว่าก็เพราะผู้ตายเป็นโจรที่จะเข้าไปขโมยองค์จตุคาม ซึ่งเป็น "สินค้า" ราคาสูงลิ่ว มีค่างวดราคามากมายที่ใครก็ยังต้องการ แต่คนไม่ได้ตั้งคำถามว่า นอกจากการยิงโจรคนนั้นทิ้ง เรายังจะมีวิธีการอื่นอีกไหมที่จะจัดการกับเขา นอกจากใช้ปืน ถ้าเจ้าของจำรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้แล้วตะโกนบอกว่า เราเห็นคุณแล้วนะ ตำรวจกำลังมา โจรคนนั้นก็จะวิ่งหนีไป ค่อยสืบตามไปจับภายหลังก็ได้ นี่ก็เป็นวิธีการจัดการกับปัญหาโดยไม่ต้องใช้ปืนหนทางหนึ่ง 



เธอบอกว่าอาวุธปืนเป็น "อำนาจเชิงสัญญะ" แค่ยิงขึ้นฟ้า มนุษย์ทุกคนก็รู้สึกกลัวจนหัวหดแล้วโดยไม่จำเป็นต้องเล็งศูนย์ไปยังเป้าหมายด้วยซ้ำ แต่น่าเป็นห่วงบางคนที่รู้สึกว่าการที่ตนเองยิงคนตาย ด้วยเหตุผลเพราะคนนั้นเป็นคนชั่ว เป็นภัยคุกคามต่อสังคม เป็นโจรที่มาสร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง การคิดเช่นนี้ทำให้การยิงคนตายไปหนึ่งคน ตนเองจะได้ไม่ต้องมารู้สึกผิด   



เธอยอมรับว่าปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ปืนยังเป็นความจำเป็นในระดับของการป้องกันตนเอง แต่ไม่ใช่กรณีของการติดอาวุธเพื่อลุกขึ้นสู้กับฝ่ายผู้ก่อการ เพราะกรณีเช่นนั้นนอกจากปัญหาจะบานปลายจนมองไม่เห็นทางออกแล้ว ความรุนแรงก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกหลายระดับ



แต่ปัญหาสำคัญคือ ความ "สมดุลทางอำนาจ" ระหว่างผู้มีปืนและไม่มีปืน โดยเธอยกกรณีของปัญหาใน อ.สะบ้าย้อยให้เป็นกรณีตัวอย่าง



"การที่ฝ่ายหนึ่งมีอาวุธ หรือได้รับการสนับสนุนจากรัฐให้มีอาวุธ เเละอีกฝ่ายไม่มี เเละไม่ได้รับการสนันบสนุนจากรัฐให้มีอาวุธจะทำให้ฝ่ายที่ไม่มีอาวุธ รู้สึกว่าตนเองถูกเเบ่งเเยก ไม่ได้รับยุติธรรม หรือถูกมองว่าเป็น "ศัตรู" กับรัฐหรือไม่ การติดอาวุธกับประชาชนบางกลุ่ม จะทำให้กลุ่มอื่นๆ ที่เเตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ ศาสนา เเละความเชื่อ รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างทั้งสองกลุ่ม คือกลุ่มที่มีอาวุธ กับไม่มีอาวุธ ยิ่งกว้างขึ้น เเละเกิดความไม่ไว้วางใจกันหรือไม่"



เธอได้ตั้งคำถามว่าการเเข่งขันสะสม หรือครอบครองอาวุธ จะผลักดันให้ผู้ที่ไม่สามารถซื้อหาอาวุธที่ถูกกฎหมาย หันไปหาอาวุธที่ก้ำกึ่งระหว่างอาวุธถูกกฎหมายเเละผิดกฎหมาย หรืออาวุธผิดกฎหมาย เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับตนเองหรือไม่ ใครเป็นผู้ได้ผลประโยชน์ทางการค้า โดยตรงเเละผลประโยชน์แอบแฝง จากการเป็นผู้สนับสนุนให้รัฐบาลซื้ออาวุธเเจกจ่ายให้กลุ่มอาสาสมัครติดอาวุธ



สุดท้าย เธอตั้งคำถามอีกว่า "การการแพร่กระจายอาวุธปืนไปสู่ประชาชนจะเกิดปรากฏการณ์เสพติดอำนาจเเละผลประโยชน์ โดยไม่สนใจการเเก้ปัญหาที่ไม่ใช้อาวุธเป็นหลักหรือไม่ หากรู้สึกว่าชุมชนเเละสังคมที่อยู่ไม่ปลอดภัย เคยถามตนเองเเละผู้ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ว่า ใครควรจะรับผิดชอบปัญหาในการเเก้ไขปัญหานี้บ้าง รัฐเเละคนในชุมชนได้ทำความผิดพลาดอะไร จึงเกิด "ความไม่ปลอดภัย" ในสังคม การที่รัฐผลักภาระให้ประชาชนดูเเละความปลอดภัยของตัวเอง โดยการยื่นอาวุธให้ เเสดงว่ารัฐเเละเราทุกคนเองก็ล้มเหลว ในการสร้างสังคมที่ปลอด ภัยหรือเปล่า"



เป็นคำถามทิ้งท้าย จากคนที่ต้องการเห็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งภายในจังหวัดชายแดนภาคใต้และสังคมไทยโดยรวมปราศจากอาวุธปืน เพื่อจะได้มีสันติสุขที่แท้จริงและยั่งยืน.
บันทึกการเข้า

ธรรมของสัตบุรุษ

๑. ธัมมัญญุตา - รู้จักเหตุ ๒. อัตตัญญุตา - รู้จักผล ๓. อัตตัญญุตา - รู้จักตน ๔. มัตตัญญุตา - รู้ประมาณ ๕. กาลัญญุตา - รู้จักกาล ๖. ปริสัญญญุตา - รู้จักประชุมชน ๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา - รู้จักเลือกบุคคล

http://www.dopaservice.com/eservice/content.do?ctm_id=gun&function=document&gro
bigbang
จงใช้สติก่อนใช้ปืน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1018
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6603


รูปจากเวปผู้จัดการครับ


« ตอบ #2 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2007, 04:24:22 PM »

เห็นใจพี่น้องชาวใต้ ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธ หรือไทยมุสลิม  แต่ไทยพุทธไม่มีอาวุธก็อยู่ไม่ได้
เชื่อว่าไทยพุทธไม่คิดอยากทำร้ายใคร โดยเฉพาะไทยมุสลิมที่เคยอยู่ร่วมกันมานานอย่างสงบ
หากพี่น้องไทยมุสลิมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ เรื่องข่าวสาร และไม่ร่วมมือพวกโจร เชื่อว่าสถานการณ์
น่าจะดีกว่านี้
บันทึกการเข้า

อเสวนา จะ พาลานัง
MadFroG
Si vis pacem para bellum
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 46
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1985


Father and Son


« ตอบ #3 เมื่อ: มิถุนายน 26, 2007, 12:12:43 AM »

"ปืนไม่ได้เป็นแค่วัตถุชิ้นหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาบางอย่างของตนเองได้สัมฤทธิ์ผล ยังมีอีกหลายวิธีหลายแนวทางที่ทำได้ผลมากกว่าปืน และยังสร้างความสงบสุขได้อย่างยั่งยืนมากกว่า"

"การที่ฝ่ายหนึ่งมีอาวุธ หรือได้รับการสนับสนุนจากรัฐให้มีอาวุธ เเละอีกฝ่ายไม่มี เเละไม่ได้รับการสนันบสนุนจากรัฐให้มีอาวุธจะทำให้ฝ่ายที่ไม่มีอาวุธ รู้สึกว่าตนเองถูกเเบ่งเเยก ไม่ได้รับยุติธรรม หรือถูกมองว่าเป็น "ศัตรู" กับรัฐหรือไม่ การติดอาวุธกับประชาชนบางกลุ่ม จะทำให้กลุ่มอื่นๆ ที่เเตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ ศาสนา เเละความเชื่อ รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างทั้งสองกลุ่ม คือกลุ่มที่มีอาวุธ กับไม่มีอาวุธ ยิ่งกว้างขึ้น เเละเกิดความไม่ไว้วางใจกันหรือไม่"

การติดอาวุธให้ประชาชน เพื่อป้องกันตนเอง น่าจะเป็นเหตุผลที่รับฟังได้นะผมว่า
ส่วนช่องว่าง หรือความไม่ไว้วางใจกัน ต่อให้ไม่ติดอาวุธ
มันก็มองหน้ากันไม่ค่อยสนิทใจอยู่แล้ว

ไม่ใช่ว่าคนมุสลิมทุกคนเป็นคนไม่ดี แต่โจรมุสลิมที่มันฆ่าคน
และมันก็มีแนวร่วมอยู่ในพื้นที่ ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ประชาชนที่บริสุทธิ์ไม่ว่านับถือศาสนาอะไร
มันก็หวั่นไหวกันทุกคนน่ะแหละครับ

นักวิจัยด้านปืนศึกษา คนนี้ไม่รู้ไปศึกษามาจากไหน
ความจริงน่าจะส่งแกลงไปอยู่ในพื้นที่
โดยไม่ต้องให้แกมีปืน และไม่ต้องหาใครไปคุ้มกันแก
ผมว่าไม่เกิน 3 วัน
แกเปลี่ยนแนวคิดแน่นอน

บันทึกการเข้า

เมื่อเกิดวงเล็บ จึงเกิดการก้าวกระโดดทางตรรกะ
@ NaZaReth >>>
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 2
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 293


OSK99


« ตอบ #4 เมื่อ: มิถุนายน 26, 2007, 05:49:56 AM »

ที่สำคัญก็คือ เมื่อมีอาวุธแล้ว ก็ควรที่จะสามารถใช้ได้อย่างทันท่วงที ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินได้
มิเช่นนั้น  ก็จะกลายเป็นของแถมให้ไอ้โจรชั่วไปเสียอีก.... ตกใจ ตกใจ
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.142 วินาที กับ 18 คำสั่ง