ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องตื่นขึ้นแล้วร่วมมือร่วมใจกันแสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการร่วมกันหยุดยั้งการกระทำของบุคคลบางหมู่บางคณะที่มีลักษณะเป็นการละเมิดต่อพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นั่นคือการสร้างความกดดันเพื่อบีบบังคับในหลวงให้ต้องกระทำตามความปรารถนาของพวกตน ในกรณีการแต่งตั้งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด จึงควรจะได้ทำความเข้าใจให้ดีเสียก่อน จะได้ไม่ถูกทำให้ไขว้เขวหรือถูกชักพาไปในทางที่ผิดได้ง่าย ๆ และจะได้ภาคภูมิใจว่าหากได้กระทำการสิ่งใดไปแล้วก็เป็นการกระทำด้วยความรู้ ด้วยความเข้าใจ และด้วยใจที่จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินในปัจจุบันนี้เป็นองค์กรอิสระ เป็นผลิตผลอย่างหนึ่งของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นหน่วยงานกลางในการตรวจสอบการบริหารและการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินว่าเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและระบบระเบียบทั้งปวงหรือไม่
พูดง่าย ๆ ว่าเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อป้องกันการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนึ่งและเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอีกอย่างหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อจะให้หน่วยงานนี้ทำหน้าที่ดังกล่าวอย่างได้ผล จึงต้องจัดการให้พ้นจากอำนาจของรัฐบาล และนั่นก็คือที่มาว่าทำไมจึงต้องเป็นองค์กรอิสระ
เรื่องราวที่เป็นปัญหากันนี้คือกรณีการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ซึ่งวุฒิสภาลงมติเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2548 ให้เสนอแต่งตั้งนายวิสุทธิ์ มนตริวัต เป็นผู้ว่าการแทน
เรื่องราวและปัญหาเกิดขึ้นอย่างไร? ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญที่จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องราวนี้
ในครั้งนั้นคณะกรรมการสรรหาได้เสนอชื่อนางจารุวรรณ เมณฑกา ให้วุฒิสภาเห็นชอบเพื่อจะได้ถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติเฉพาะว่าพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตามคำแนะนำของวุฒิสภา นั่นคือการได้มาซึ่งตำแหน่งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินนั้น รัฐธรรมนูญบัญญัติเงื่อนไขสองประการคือ
ประการแรก บุคคลนั้นต้องเป็นผู้ที่วุฒิสภาถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์
ประการที่สอง พระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งผู้นั้นตามคำแนะนำ
เมื่อครบเงื่อนไขทั้งสองประการนี้แล้ว การดำรงตำแหน่งก็จะมีความสมบูรณ์ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทุกประการ หากจะพ้นจากตำแหน่งก็ต้องพ้นตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ไม่ใช่ใครนึกจะตีความอย่างไรก็จะเป็นไปตามนั้น
แต่มีระเบียบเล็ก ๆ ที่ออกตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าในการสรรหาตัวบุคคลนั้นต้องมีคณะกรรมการสรรหาคณะหนึ่ง และต้องเสนอชื่อผู้มีคุณสมบัติ 1 คนต่อวุฒิสภา ซึ่งคณะกรรมการสรรหาก็ได้เสนอชื่อนางจารุวรรณ เมณฑกา ไปแล้ว แต่คณะทำงานตรวจสอบของวุฒิสภากลับมีความเห็นว่าการเสนอชื่อมาคนเดียวเป็นการมัดมือชกให้คณะกรรมการสรรหาส่งชื่อเพิ่มไปอีก 2 คน เป็น 3 คน
ในที่สุดวุฒิสภาได้พิจารณาและลงมติเลือกเอานางจารุวรรณ เมณฑกา แล้วนำความกราบบังคมทูลถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงแต่งตั้งตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งนางจารุวรรณ เมณฑกา ตามที่วุฒิสภาถวายคำแนะนำนั้น จึงเป็นการครบถ้วนตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดแล้ว การพ้นจากตำแหน่งจึงต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด หรือมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้พ้นจากตำแหน่งเท่านั้น
ผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีมาถึง 2 ปีครึ่งแล้วเกิดกรณีขัดแย้งกับบางคน บางหน่วยงาน เพราะได้ตรวจสอบพบการทุจริตหลายรายการ และมีการเสนอดำเนินการกับขบวนการกังฉินหลายประการ
ผลงานการตรวจสอบเป็นที่เลื่องชื่อลือชา และเป็นที่ยอมรับ ดังนั้นในปี 2546 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลจุลจอมเกล้า ซึ่งเป็นพระราชอำนาจโดยเฉพาะ เป็นพระราชเอกสิทธิ์โดยเฉพาะ และทรงใช้พระราชดุลยพินิจวินิจฉัยด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะแล้วว่านางจารุวรรณ เมณฑกา เป็นคนดี ซื่อสัตย์ สุจริต ทำหน้าที่ราชการเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อแผ่นดิน นับแต่นั้นจึงต้องใช้คำคุณหญิงนำหน้าชื่อตามที่กฎหมายกำหนด
นี่คือการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบอกแก่ประชาชนทั่วประเทศอย่างตรงไปตรงมาว่าผู้ว่าการคนนี้เป็นคนดี ซื่อสัตย์ สุจริต ทำหน้าที่เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อแผ่นดิน
แล้วจู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งกล่าวหาว่าการดำรงตำแหน่งของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา เป็นโมฆะ เพราะคณะกรรมการสรรหาได้เสนอชื่อผิดเงื่อนไข คือเสนอชื่อต่อวุฒิสภา 3 คน แทนที่จะเสนอเพียง 1 คน เป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บทั้งที่เวลาผ่านมา 2 ปีครึ่งแล้ว คนเหล่านี้มีวาระซ่อนเร้นหรือมีมูลเหตุจูงใจอยู่เบื้องหลังจึงคิดอ่านกำจัดคนดีให้พ้นจากอำนาจ แทนที่จะส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจตามพระบรมราโชวาทของในหลวง
เป็นการยกระเบียบเล็ก ๆ ขึ้นไปลบล้างเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ และในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญโดยองค์คณะข้างมากก็วินิจฉัยว่าการที่คณะกรรมการสรรหาเสนอชื่อบุคคล 3 คนเป็นการไม่ชอบ
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแต่เพียงว่าการสรรหาไม่ชอบ แต่ไม่เคยวินิจฉัยว่าการถวายคำแนะนำของวุฒิสภาไม่ชอบ หรือการมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งไม่ชอบ หรือการดำรงตำแหน่งของคุณหญิงไม่ชอบ เพราะวินิจฉัยเช่นนั้นไม่ได้ เนื่องจากการดำรงตำแหน่งของคุณหญิงชอบด้วยเงื่อนไขตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติแล้ว
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญข้างมากคนใดจะกล้าเถียงความข้อนี้หรือไม่? และแม้ถึงวันนี้มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนไหนบ้างที่กล้าพูด กล้าออกความเห็นว่าการถวายคำแนะนำไม่ชอบ หรือพระบรมราชโองการไม่ชอบ หรือการดำรงตำแหน่งของคุณหญิงไม่ชอบ
มีแต่พวกซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่และพวกเจ้าถ้อยหมอความที่ร่วมมือกันขยายความอธิบายกันอย่างสนุกสนานว่าคำวินิจิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีผลว่าการดำรงตำแหน่งของคุณหญิงไม่ชอบมาตั้งแต่ต้นจึงต้องพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งคนเหล่านี้ไม่มีอำนาจและหน้าที่ที่จะทำเช่นนั้นได้ ทั้งเป็นการทำตัวเป็นศาลรัฐธรรมนูญเสียเอง
ในขณะที่โต้เถียงกันเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าทำให้คุณหญิงต้องพ้นจากตำแหน่งหรือไม่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงใช้พระราชอำนาจบอกกล่าวตักเตือนอย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่าเรื่องนี้ควรเป็นอย่างไร
นั่นคือทรงใช้พระราชอำนาจเลื่อนชั้นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับคุณหญิงในมหามงคลสมัยวันฉัตรมงคลปีนี้ ทั้ง ๆ ที่คนดัง ๆ และคนมีอำนาจวาสนามากหลายกลับไม่ได้รับพระราชทานเลยแม้แต่คนเดียว ทรงใช้พระราชอำนาจเพื่อแสดงพระราชเจตนาให้ปรากฏว่ามุ่งส่งเสริมคนดีให้มีอำนาจ
แต่ก็มีคนแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ กลับยืนยันเสนอต่อวุฒิสภาให้พิจารณาเลือกผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินซ้ำสำทับเข้าไปอีก และวุฒิสภาโดยเสียงข้างมากก็ลงมติเห็นชอบไปตามนั้น
แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนได้สติ มีคนยั้งคิด จึงเป็นผลให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งว่าสมควรจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลหรือไม่
แล้วอย่ามาอ้างกันว่าวุฒิสภาลงมติแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นอันขาด เพราะถ้าหากว่าไม่ถูกต้องก็ย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ดังตัวอย่างซึ่งมีมาแล้วว่ามีการลงมติผ่านร่างกฎหมายฉบับหนึ่งแล้วผิดพลาด มีปัญหาว่าจะนำความกราบบังคมทูลทั้งที่ผิดพลาดหรือจะแก้ไขเสียให้ถูกก่อน
ผลก็คือมีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันของสภาแล้วหาทางออก ในที่สุดก็ย้อนเรื่องกลับไปให้วุฒิสภาและสภาผู้แทนแก้ไขที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียก่อน
เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเห็นว่าการนำความขึ้นกราบบังคมทูลเป็นการบีบคั้นบังคับพระเจ้าอยู่หัวก็ดี เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็ดี วุฒิสภาก็อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดนั้นได้
เรื่องนี้ผิดพลาดอย่างไร? ผิดพลาดใหญ่สองสถาน
สถานแรก การดำรงตำแหน่งของคุณหญิงชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และยังไม่พ้นจากตำแหน่ง เพราะวุฒิสภาได้ถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์และพระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯตามคำแนะนำของวุฒิสภาครบเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญแล้ว การจะพ้นจากตำแหน่งก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯโดยเฉพาะ
ศาลรัฐธรรมนูญมิได้วินิจฉัยว่าคุณหญิงพ้นจากตำแหน่ง บรรดาพวกเจ้าถ้อยหมอความที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ ไม่มีอำนาจไปวินิจฉัยเพิ่มเติมแทนศาลรัฐธรรมนูญได้ คำอธิบายใด ๆ ไม่ว่าโดยประธาน หรือเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญก็ตามไม่มีผลเป็นการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีฐานะเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวที่ไม่พึงกระทำเสียด้วยซ้ำ และความเห็นเช่นนั้นใช้บังคับใด ๆ ไม่ได้
หากการสรรหาก่อนที่จะเสนอต่อวุฒิสภาไม่ชอบก็เป็นเรื่องของขั้นตอนนั้น และคนที่เกี่ยวข้องอาจต้องรับผิดชอบ จะไปโยนความรับผิดชอบให้ในหลวงไม่ได้เป็นอันขาด ทั้งความไม่ชอบหากจะมีนั้นเป็นเรื่องของระเบียบเล็ก ๆ ไม่สามารถลบล้างเงื่อนไขแห่งรัฐธรรมนูญได้
ทั้งต้องตระหนักว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ผูกพันพระมหากษัตริย์ ไม่สามารถลบล้างพระราชอำนาจและพระราชโองการที่ทรงแต่งตั้งคุณหญิงได้
สถานที่สอง การนำเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าฯถวายมีผลเป็นการกดดันบังคับในหลวงให้ต้องปลดคุณหญิงและแต่งตั้งคนใหม่แทนอย่างหนึ่ง และกรณีนี้คือการปลดคนดีมีฝีมือ มีคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินออกจากหน้าที่ จะไม่คิดกันบ้างหรือว่านี่คือการทำลายน้ำพระทัยที่หนักหน่วงสักปานไหน
หากไม่ทรงโปรดฯก็เท่ากับก่อความขัดแย้งขึ้นระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับวุฒิสภา ซึ่งเป็นเรื่องละเมิดต่อพระมหากษัตริย์และกระทำไม่ได้ ไม่คิดกันบ้างหรือว่าจะสร้างความทุกข์ และความลำบากในพระราชหฤทัยให้ต่อพระองค์ท่านสักปานไหน
หากไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อนหน้า เพราะความพลั้งเผลอหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เป็นเรื่องที่พออภัยได้ มาบัดนี้เสียงทักท้วงแน่นหนาดังกึกก้องทั้งแผ่นดิน ดังเสียยิ่งกว่าเสียงอสุนีบาต จะอ้างว่าไม่ได้ยิน ไม่ได้รู้อีกเห็นจะไม่ได้แล้ว หากดึงดันกระทำต่อไปก็ต้องถือว่าจงใจบีบบังคับกดดันในหลวง ซึ่งเป็นเรื่องที่ให้อภัยกันไม่ได้
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องบอกกล่าวมายังพสกนิกรที่มีความจงรักภักดีทั่วประเทศ ให้ช่วยกันติดตามและจับตามองมิให้มีการกระทำใด ๆ ที่เป็นการละเมิดในหลวงเป็นอันขาด
คนไทยทั้งประเทศจึงต้องพร้อมที่จะแสดงความจงรักภักดีและร่วมมือร่วมใจกันยับยั้งการกระทำทั้งปวงที่ละเมิดต่อในหลวงให้ทันท่วงที
from
www.manager.co.th