เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 23, 2025, 11:57:44 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เลี้ยงลูกไม่ให้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง  (อ่าน 939 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
e.k.1911
ถ้าคนดีอยู่ในหมู่บ้านของชนเหล่าใด ความสุขและผลจักมีแก่ชนเหล่านั้น
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 251
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2809


Still Loving COLT


« เมื่อ: สิงหาคม 15, 2007, 12:28:56 PM »

คุณๆท่านๆคิดและรู้สึกอย่างไรเวลาได้ยินข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงในเด็ก ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำ เป็นผู้ถูกกระทำ หรือตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงเหล่านั้นโดยทางอ้อม

นับวันข่าวคราวทำนองนี้ในบ้านเราจะมีมากขึ้น เกิดกับเด็กอายุน้อยลงเรื่อยๆ และดูเหมือนขีดขั้นของความรุนแรงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ไม่มีใครอยากให้เจ้าตัวน้อยของเราเข้าไปอยู่ในวังวนของเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะในฐานะผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ และไม่มีใครปฏิเสธว่าจุดเริ่มต้นของการตัด ลดทอนความรุนแรงของปัญหาอยู่ที่การอบรมเลี้ยงดูลูกที่ล้าน ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาพูดทุกครั้งที่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่กระนั้นปัญหาดังกล่าวก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ บ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น
อะไรเป็นสาเหตุ ?...
เพราะพ่อแม่ไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง ไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ ?
เพราะสิ่งกระตุ้นจากสังคม ?
เพราะพ่อแม่เองไม่รู้ว่าแต่ละวันๆ ที่ผ่านไปตัวเองได้บ่มเพาะให้ลูกคุ้นชินกับความรุนแรงไปโดยไม่รู้ตัว ?
อะไร อย่างไร และเราพ่อแม่จะป้องกันแก้ไขได้อย่างไร ?


อย่างนี้ใช่ “ความรุนแรง” กับลูกหรือเปล่า

ไม่ใช่แค่การดี การทำร้ายทางกายเท่านั้นนะคะ ที่เรียกว่าเป็นความรุนแรงต่อเด็ก ยังมีการกระทำอื่นที่เราอาจคิดไม่ถึงเลยว่าเป็นการสร้างความรุนแรงต่อเด็กหรือลูกที่เรารักด้วย

การทำร้ายทางใจ เช่น การเลี้ยงลูกอย่างลำเอียง รักพี่หรือน้องมากกว่า การใช้คำพูดที่กระทบกระเทือนใจไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เช่น ประโยคประเภทเกิดมาทำไม ทำไมชอบทำให้พ่อแม่ลำบาก เหล่านี้สามารถสะสมจนเกิดเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ ขาดความมั่นคงทางจิตใจ เพราะคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก นานวันเข้าก็อาจแสดงออก ด้วยการกระทำที่รุนแรงจากน้อยแล้วค่อยพัฒนาไปหามากได้

การปล่อยปละละเลย เป็นข้อที่คนไม่ค่อยนึกถึงกันค่ะ ทั้งที่เกิดขึ้นในหลายครอบครัว โดยพื้นฐานเด็กทุกคนต้องการความรัก ความเอาใจใส่จากพ่อแม่ การปล่อยปละละเลยนี้ทั้งจงใจ หรือละเลยโดยไม่รู้ตัวจึงเป็นการทำร้ายอย่างหนึ่ง เช่น ไม่มีเวลาให้ลูก หรืออยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้ใส่ใจลูกอย่างที่ควรจะเป็น อาจเพราะเหนื่อยจากงาน สนใจเรื่องตัวเองมากกว่า ยกหน้าที่ให้คนอื่นดูแลไปแล้ว คิดว่าสิ่งที่ดีและสำคัญกับชีวิตลูกแล้ว
คุณเป็นอีกคนที่กำลังมอบสิ่งเหล่านี้กับลูกอยู่หรือเปล่า ?


การเลี้ยงดู วัคซีนป้องกันลูกไกลห่างความรุนแรง

สิ่งแวดล้อมและการอบรมเลี้ยงดูตลอดจนทัศนคติของพ่อแม่ มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางบุคลิกภาพของลูกมากค่ะ เด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเหมาะสมตั้งแต่เล็กๆ จะมีทักษะในการจัดการกับปัญหาที่เกิดกับตัวเอง รู้จักการปรับตัวกับสถานการณ์ ปัญหาและผู้คน และมีอารมณ์ที่มั่นคง การเลี้ยงดูในช่วงวัยเด็ก จึงส่งผลต่อพฤติกรรม บุคลิกภาพของเด็ก เมื่อเติบโตขึ้น

เรื่องนี้ไม่ใช่พูดกันอย่างลอยๆ นะคะ แต่สามารถอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ว่า สมองส่วนที่ควบคุมดูแลเรื่องอารมณ์เริ่มทำงานตั้งแต่แรกเกิด เด็กที่ได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยน ได้รับการโอบกอดการสัมผัส มีการตอบสนองที่ดีก็จะเอื้อต่อการเจริญเติบโตของสมองส่วนนี้

การอบรมเลี้ยงดูตั้งแต่ช่วงแรกเกิดจนถึงวัย 6 ขวบ ไม่ได้มีส่วนต่อพฤติกรรมของเด็กเท่านั้น แต่มีส่วนในการกำหนดโครงสร้างและการทำงานของสมองที่ดูแลเรื่องอารมณ์ด้วย ขณะที่เด็กที่ถูกเลี้ยงดูอย่างละเลย ด้วยความรุนแรง สมองก็จะเรียนรู้การกระทำที่ถูกละเลย การกระทำที่ก้าวร้าวหรือรุนแรงนั้น และรับรู้หรือเข้าใจสังคมในทางบวกได้ยาก

ฉะนั้นทางออกของปัญหาเรื่องความรุนแรง จึงต้องเริ่มที่การดูแลปัจจัยแวดล้อมในบ้าน ไม่ให้ลูกคุ้นเคยกับความรุนแรงค่ะ
เตรียมตัวเองให้พร้อม คือพร้อมที่จะเป็นพ่อแม่ ไม่ใช่เรื่องเงินทองเท่านั้น แต่หมายถึงการเตรียมตัวเองให้พร้อมทั้งทางร่างกาย จิตใจและสังคม วางแผนการมีลูกทั้งคนแรกและคนที่สอง เพราะการมีลูกในจังหวะที่ไม่เหมาะและไม่ได้มีการเตรียมพร้อมก็อาจสร้างความวิตกกังวลทั้งกับตัวเองและลูกได้ เช่น การมีลูกติดๆ กัน โดยทั่วไปคุณหมอแนะนำให้มีลูกห่างกันประมาณ 2-3 ปี เพราะเด็กอายุ 3 ขวบ เริ่มดูแลตัวเองได้มากแล้ว เริ่มสนใจเล่นกับเพื่อน ไม่เกาะติดพ่อแม่มากเหมือนก่อน เมื่อมีน้องความรู้สึกก็ไม่กระทบกระเทือนมากเท่าไหร่ และคนน้องเองก็จะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่

อย่าให้ลูกขาดรัก เด็กทุกคนต้องการเป็นที่รักและต้องการมีคนที่เขารัก เพื่อสร้างความรู้สึกมั่นคงทางใจให้เกิดขึ้นกับใจดวงน้อย ขณะเดียวกันพ่อแม่นอกจากต้องให้ความรักกับลูกแล้ว ยังต้องรักลูกให้เป็นเพื่อไม่ให้รักนั้นหวนกลับมาทำร้ายลูก

บ่อยครั้งที่เราเห็นว่าวิธีรักของพ่อแม่ก่อปัญหาพฤติกรรมและบ่มเพาะความรู้สึกบางอย่างให้ลูก เช่น รักอย่างตามอกตามใจเต็มที่ ลูกก็จะเติบโตมาเป็นเด็กที่ปรับตัวยาก ขาดความอดทน หรือถ้ารักอย่างที่เข้าไปกะเกณฑ์จุกจิก ลูกก็จะเติบโตเป็นเด็กที่รู้สึกมีปมด้อย รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดี ซึ่งไม่เป็นผลดีกับตัวลูกเลย

ฉะนั้นรักของคุณควรยืนอยู่บนความมีเหตุมีผล และให้โอกาสลูกได้เรียนรู้ด้วยตัวเขาเองด้วย แม้ลูกในวัยนี้จะยังเด็กก็ควรให้เขาเริ่มเรียนรู้ขอบเขตของการกระทำ วินัยบ้างได้แล้ว ไม่ใช่ปล่อยตามใจไปเสียทุกเรื่อง

ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ถึงวัยที่ลูกเริ่มแสดงความเป็นตัวของตัวเอง อยากรู้อยากทดลอง อยากเอาชนะ ออกอาการที่เรียกว่า ดื้อ ซนให้เห็นอยู่ตลอดวัน และเนื่องจากยังสื่อสารด้วยคำพูดไม่ได้มากนักจึงแสดงความรู้สึก ความต้องการของตัวเองด้วยการกระทำ เช่น ตี หยิก ดึงเมื่อไม่พอใจ หยิบคว้าทันทีเมื่อต้องการสิ่งใด บ่อยครั้งทำให้คุณพ่อคุณแม่เกิดอารมณ์ได้ง่ายๆ และหากไม่เข้าใจลักษณะพัฒนาการตามวัยนี้ของลูกด้วยแล้ว โอกาสที่จะนำไปสู่วิธีการจัดการ การดูแลที่ไม่ถูกต้อง หรือลงเอยด้วยการลงโทษจึงมีสูง

ดังนั้นจึงควรสอนให้ลูกรู้ว่าจะแก้ปัญหายังไง โดยพยายามทำความเข้าใจกับพัฒนาการตามวัยของลูก ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีก่อน เมื่อลูกออกอาการดื้อ พูดไม่ฟัง แทนที่จะตอบโต้ด้วยการตวาด ดุ หรือทำโทษ ก็พาลูกออกจากสิ่งนั้นแล้วอธิบายเหตุผลด้วยท่าทีสงบ เช่น ถ้าลูกอยากได้ของเล่นแล้วลงไปนอนดิ้นกับพื้น แทนที่จะตีก็ต้องทำให้เขาสงบอารมณ์ลงแล้วอธิบายกับเขา แม้ลูกจะยังไม่เข้าใจเหตุผลมากนัก แต่อย่างน้อยลูกก็รับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาการแสดงออกของพ่อแม่ที่มีต่อเขา และเรียนรู้วิธีปฏิบัติของพ่อแม่เมื่อเจอปัญหาไปด้วยในตัว

พ่อแม่ ต้นแบบคนสำคัญ ในวัยที่พร้อมซึมซับและเรียนรู้จากการเลียนแบบ โดยเฉพาะจากคนที่อยู่ใกล้ตัวทั้งพ่อแม่ และคนในครอบครัว การปฏิบัติตัวของพ่อแม่ทั้งที่ปฏิบัติต่อลูก หรือปฏิบัติต่อกันเอง หรือกับผู้คนในบ้านเป็นเหมือนฉากละครที่ลูกจะต้องได้เห็นและสัมผัสอยู่ทุกวัน พ่อแม่จึงเป็นต้นแบบที่มีอิทธิพลต่อคำพูด ท่าที การกระทำและวิธีคิดของลูกมาก


ถ้าคุณเป็นคนที่รักและเอื้ออาทรกับสัตว์ลูกก็จะเรียนรู้วิธีนั้นจากคุณ

ถ้าคุณเป็นคนที่เห็นสัตว์เดินผ่านมาแล้วต้องขอดึงหางสักหน่อย เตะสักที ลูกก็จะเรียนรู้ที่จะเล่นกับสัตว์เช่นนั้น

ถ้าคุณเป็นคนที่ใครขับรถปาดหน้า พูดจาไม่เข้าหูก็พร้อมสบถ ต่อว่า ตะคอก และปฏิบัติตอบด้วยวิธีเดียวกัน ลูกก็จะเรียนรู้วิธีเหล่านั้น

ถ้าคุณขัดใจ ขัดแย้งกันแล้วตัดสินด้วยการมีปากเสียง ลงไม้ลงมือลูกก็จะเรียนรู้วิธีการจัดการกับปัญหาด้วยวิธีเดียวกัน เพราะพฤติกรรมก้าวร้าวไม่ต่างอะไรจากพฤติกรรมทางสังคมอื่นๆ ที่ลูกสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ที่พบเห็น ไม่ว่าจากประสบการณ์ตรงหรือประสบการทางอ้อม

ปลูกหัวใจเกื้อกูล เอื้ออาทรให้ลูก ในสังคมเราทุกวันนี้ปลูกฝังแต่เรื่องของการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน จนแทบจะเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตกันแล้ว เราอาจต้องทานกระแสเพื่อให้ลูกได้เรียนรู้และรู้จักกับการดูแล แบ่งปันและนึกถึงผู้อื่นทั้งที่เป็นมนุษย์ด้วยกันและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย แม้วันนี้ที่ลูกยังเล็กจะยังไม่เห็นภาพชัด แต่อย่างน้อยการได้เริ่มต้นสั่งสมสิ่งเหล่านี้ในหัวใจลูกก็เป็นพื้นฐานที่ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้งอกงาม ไปพร้อมกับการเจริญเติบโตทางกาย

สื่อ...กระตุ้น สร้างความคุ้นชิน เราไม่สามารถไปกำหนดหรือกะเกณฑ์สื่อได้มากนัก ขณะเดียวกันสื่ออันหลากหลายในปัจจุบันก็บุกมาถึงห้องนอนได้ หนทางที่เราจะทำได้คือการเลือกสรร คัดกรองสื่อที่ดีมีประโยชน์ ไม่ยั่วยุ หรือกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงกับลูก เพราะการที่ได้เห็นภาพ ได้ยินเสียงการต่อสู้ ยิง เตะ ต่อยอยู่ทุกวันๆ จะเกิดเป็นความเคยชิน วันนี้อาจเลียนแบบเพื่อความสนุกสนาน แต่วันหนึ่งข้างหน้าวิธีการต่อสู้ การเข้าปะทะซึ่งเขาเห็นเป็นเรื่องธรรมดาในวันนี้ ก็อาจเป็นสิ่งที่เขาเลือกจะแสดงออกเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่มีการปะทะก็เป็นได้

และในวัย 1-3 ปีที่กำลังเริ่มต้นเรียนรู้โลกภายนอกเช่นนี้ ควรแนะนำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อพัฒนาทักษะด้านต่างๆ โดยเฉพาะกิจกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนากล้ามเนื้อ และการเคลื่อนไหวมากกว่าที่จะปล่อยให้ลูกนั่งอยู่หน้าจอ

เล่นของเล่น เด็กเรียนรู้จากการเล่น เราคงไม่อยากให้ลูกเราเรียนรู้ เรื่องความรุนแรงจากของเล่นที่เราหวังใช้เป็นสื่อในการเรียนรู้ของลูกใช่มั้ยค่ะ ดังนั้นของเล่นที่จะนำเด็กไปสู่การเล่นที่ใช้ความรุนแรงไม่ว่าจะปืนของเล่น ดาบของเล่น ไม่ควรจะให้ลูกได้เล่นมาก แต่ไม่ถึงกับห้ามเสียทีเดียว หากสิ่งที่ต้องทำคือต้องบอกและสอนว่าอันไหนเล่นได้ ไม่ได้อย่างไร อันตรายยังไง วิธีเล่นแบบไหนไม่ควรเล่น และต้องมีกลวิธีในการยับยั้ง

ห้ามปรามเมื่อลูกรบเร้าจะเอาของเล่นเหล่านี้และชักจูง เชิญชวนให้ลูกอยากลองเล่นของเล่น ที่จะช่วยสร้างเสริมพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ของเขา เช่น บล็อกไม้ตุ๊กตา เกมสนุกๆ แป้งปั้น เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่ยากเกินความสามารถของคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้ว

อุดช่องว่างของตัวเอง

วิธีอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งจากลักษณะเฉพาะของลูก สภาพแวดล้อมในครอบครัว เช่น เศรษฐกิจ เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หรือแม้แต่ลักษณะของตัวพ่อแม่เอง ซึ่งหากเราสามารถควบคุมทุกปัจจัย ให้เอื้อต่อการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับลูกได้ ก็เป็นเรื่องที่ดีและควรทำควบคู่กันไป แต่การควบคุมปัจจัยภายนอกอาจเป็นเรื่องยาก

ดังนั้นขณะที่คุณกำลังพยายามควบคุมปัจจัยภายนอกอื่นๆ อยู่นั้น ลองเริ่มต้นควบคุมปัจจัยภายในจากตัวเองก่อน ว่าเรามีช่องว่างใดที่อาจนำความรุนแรงไปสู่ครอบครัวได้ แล้วปรับให้ตัวเองพร้อมเผชิญกับการมีครอบครัวและเลี้ยงดูลูกท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง ที่เราต้องสร้างความเข้มแข็งทางอารมณ์และจิตใจให้ตัวเองและลูก

การปรับตัวเองนี้ไม่ได้ดีต่อลูกและครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นผลดีกับตัวเองด้วยค่ะที่ได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนตัวเอง
ลักษณะ สภาพอารมณ์ของตัวเองและคู่ เช่น ถ้าเป็นคนอารมณ์ร้อนก็ต้องหาวิธีควบคุมอารมณ์ตนเอง เตือนสติซึ่งกันและกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างตัวคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างไร เพราะความสุขในชีวิตแต่งงานของพ่อแม่ การปฏิบัติต่อกันของพ่อแม่ด้วยความรัก ความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกัน จะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น มั่นคง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้ลูกเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข

ประสบการณ์ที่ได้รับจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก อย่าให้ประสบการณ์เหล่านั้นมาทำร้ายลูก แต่ใช้ประสบการณ์เหล่านั้นบวกกับความรัก ความเข้าใจที่คุณมีต่อลูก แล้วสร้างสรรค์เป็นวิธีการเลี้ยงดูลูกในแบบฉบับของตัวคุณเอง สิ่งไหนควรหรือไม่ควรทำคุณรู้ได้ด้วยหัวใจตัวเองอยู่แล้ว เพราะคุณเองก็เคยมีหัวใจของความเป็นลูกอยู่ในตัวนี่นา


สิ่งที่ถูกบ่มเพาะในหัวใจลูกเราในวันนี้เป็นได้ทั้งแรงบันดาลใจ พลังผลักดันหรือแรงกดดันให้เกิดพฤติกรรมได้ทั้งดีและไม่ดีในวันข้างหน้า เรามาทำให้ทุกวันในวัยเด็กของลูกวันนี้เป็นแรงบันดาลใจในการกระทำสิ่งดีในวันข้างหน้ากันเถอะ หลงรัก




                                                                                                                                ที่มา.. นิตยสารรักลูก
บันทึกการเข้า

โปรดจงเอาดอกไม้เสียบไว้ที่ปลายปืน  แล้วหยิบยื่นไมตรีมิตรให้แก่กัน
yod - รักในหลวง ครับ
ความรัก - เริ่ม - จากความรู้สึก หรือ ความคิด กันแน่นะ ..... ประวัติศาสตร์อาจจะย้อนรอยเดิม แต่คนไม่อาจย้อนอดีตได้
Hero Member
*****

คะแนน 1628
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 18173



« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2007, 01:18:17 PM »

ขอบคุณครับ...

โดยส่วนมาก มักจะเป็นคำพูด ที่ออกมาโดยไม่ตั้งใจ

และการรับรู้ทางสื่อ ที่ปล่อยละเลย ให้เหมือนเป็นเรื่องปกติวิสัย
บันทึกการเข้า

..สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า...วันนี้เขาอยู่หรือจากไป
สำคัญที่ว่า...ช่วงที่เรามีเวลาอยู่ด้วยกัน
ขอให้มีความทรงจำที่ดี...ก็เพียงพอแล้ว
อย่างน้อย เราก็ยังมีอะไรดีดีให้นึกถึง
และยิ้มให้ความทรงจำนั้นได้ ...

..กรอบใดกักขังแค่กาย แต่ใจอย่าหมายกั้นได้
โซ่ตรวนรัดรึงตรึงไว้  แต่ใจนั้นใฝ่เสรี..
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.055 วินาที กับ 20 คำสั่ง