อนาคตทักษิณ!

[nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย]

มนุษย์ไม่ได้มีแค่ "ขาวและดำ" ไม่มีใครขาวสะอาด บริสุทธิ์ ผมจึงไม่เชื่อทฤษฎีที่ใครมาบอกว่า ใครขาว ใครดำ เพราะมันไม่มีในชีวิตจริงของมนุษย์ธรรมดา อย่างเราท่าน

ขอขาวหม่นๆ ไม่เอาดำซีดๆ ได้ไหมครับ

[เบิ้ม]

มนุษย์ไม่ได้มีแค่ "ขาวและดำ" ไม่มีใครขาวสะอาด บริสุทธิ์ ผมจึงไม่เชื่อทฤษฎีที่ใครมาบอกว่า ใครขาว ใครดำ เพราะมันไม่มีในชีวิตจริงของมนุษย์ธรรมดา อย่างเราท่าน

ขอขาวหม่นๆ ไม่เอาดำซีดๆ ได้ไหมครับ

ก็เขาไม่เปิดให้ดูก่อนนี่ครับ ว่าขาวจิงป่าว  ตอนซื้อ....

[nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย]

งั้นเอาแค่ชั่วน้อยกว่า 7 ที ดีมากกว่า 7 หนแล้วกันครับพี่

[NaiMai>รักในหลวง]

ไม่รู้จะชอบทักษินหรือเปล่า  การค้าขายสมัยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  การเงินก็คล่องตัวดี  ไม่มีคนตกงาน  โรงงานไม่ปิด  แต่เดียวนี้ตัวกระผมเองบัตรเครดิรมีเงินจ่ายมั่งไม่จ่ายมั่งครับ  ไม่รู้จะเชื่อใครดี  ระหว่างทักษิน  คมช.  พันธมิตร  จากผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด 

  ออกตัวก่อนนะครับ ว่าผมไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์อะไรเลย เรียนมาบ้าง (ตอนปี 1 แล้วก็ไม่จบด้วย) ลืมไปหมดแล้ว เป็นความเห็นในมุมมองส่วนตัวล้วน ๆ และผมมองเห็นมาตั้งแต่ได้ยินทักษินประกาศนโยบายนี้ครั้งแรก ถ้าท่านใดไม่เห้นด้วยกับผมวิจารณ์หรือติเตียนได้ครับก็ไม่ว่ากันครับ
  เรื่องคนตกงาน โรงงานปิด เศรษฐกิจตกต่ำ มันมีเงามาก่อนทักษินจะไปแล้วล่ะครับ แต่มันเพิ่งจะมาเห็นชัดตอนนี้ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของคำอ้างเอาชอบเข้าตัวของทักษินหรือผู้นิยมทักษิน นโยบายประชานิยมหลายอย่างของทักษินเป็นต้นเหตุของผลพวงทุกวันนี้ อย่างที่ผมบอกไว้ครับ เงินกองทุนฯ ทักษินเอาเงินมาให้ คนก็มีกำลังซื้อ มันก็เลยเหมือนว่าเศรษฐกิจดี แต่กำลังซื้อที่เกิดขึ้นมาในช่วงนั้นมันไม่ใช่กำลังที่มีพื้นฐานมั่นคง
  เหมือนร่างกายมนุษย์ไงครับ ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ไม่เหนือย สบาย ๆ ฝืนหน่อยก็ทำงาน 12 ชั่วโมงเหนื่อยมากขึ้น แต่ก็ยังไหว อีกนิดน่ะ ทำงาน 16 ชั่วโมง คราวนี้หลับเป็นตาย แต่ตื่นมาก็ทำงานได้ แต่ยังดื้อจะฝืน จะทำงาน 20 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมงไม่พักเลย ถามว่าทำได้ไหม ได้ครับ แต่ก็ต้องมีโด๊ป กาแฟ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง ขวดแรก อ่ะสดชื่น สบาย ๆ อยู่ดี ๆ มีคนเอาขวดสอง อุ๊ยได้ฟรี ได้ใจสิ ทำงานได้อีกเยอะเล่นบ้างก็ดี ผ่อนคลาย แต่สักพักเอาล่ะสิ เล่นมากไปงานไม่เดินจะโด๊ปไปหมดแล้ว ก็ไปพึ่งยายาบ้าเลย แพงหน่อยแต่ได้ผล แต่ก็จะสามารถทำงานหนักได้แค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เสร็จแล้วก็จะน๊อค หรือไม่สบายกันไป กลายเป็นว่าฝืนเกินไปงานก็ไม่ดี แถมร่างกายก็โทรมทำงานต่อได้ไม่เต็มที่อีกหลายวัน แถมถ้าทำบ่อย ๆ ติดกาแฟ ติดเครื่องดื่มชูกำลัง หรือกลายเป้นติดยาบ้าต้องกินไม่งั้นทำงานไม่ได้ หนักสุดเสพแล้วก็ยังทำงานได้ (หมายถึงคนที่พยายามฝืนตัวเองแต่เลือกใช้ทางที่ผิดเท่านั้นนะ ไม่รวมพวกที่ติดเพราะคึกคะนอง)
  กาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังนั่นก็คือกองทุนที่ว่านั่นแหละครับ ขวดแรกก็คือเงินกู้ในระบบต่าง ๆ เช่นในสถาบันการเงิน ขวดสองก็กองทุนเงินล้าน ขวดที่สามก็เตรียมจะเป็นโครงการ SME ส่วนยาเสพติดที่ผมเอ่ยถึงนั่นก็คือพวกเงินกู้นอกระบบ คือปกติก็ฝืนกันนิด ๆ อยู่แล้ว เงินกู้จากธนาคาร ธกส. มาใช้มาลงทุนทำนาทำสวนกัน ก็พออยู่ได้ พอมีกองทุนหมู่บ้านเอามาเหมือนแจก เอาเลย ไปเอามา คิดว่าตัวเองทำไหว เพราะเงื่อนไขการใช้คืนง่าย ๆ สบาย ๆ ดอกเบี้ยน้อยไม่เหมือนกู้ ธกส. แล้วก็เอาไปซื้อมือถือ ถอยมอเตอร์ไซค์ เครื่องเสียงชุดใหม่ เพลินล่ะ อ้าวถึงเวลาจ่ายคืน ไม่มีคืนสิ หมุนไม่ทันแล้ว ไหนจะธนาคาร ธกส. เอาล่ะก็ต้องไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ เสียดอกแพงหน่อยก็ยอม เอาไปจ่ายกองทุน สักพักถึงเวลาต้องจ่ายอีกก็ไปกู้นอกระบบอีกที่มาโปะอันเก่าอีก พอกไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นว่าเงินที่หามาได้ก็ต้องไปจ่ายดอกเบี้ย แทนที่จะได้เอาไปใช้จ่ายอื่น ๆ เงินก็เริ่มออกมาหมุนเวียนในตลาดน้อยลง คนที่ขายของได้ดีตอนที่เงินกองทุนฯ ออกมาใหม่ ๆ ก็เริ่มขายได้น้อยลงเรื่อย ๆ จนขายไม่ได้ สรุปแล้วตายครับ พังทั้งระบบ
  ที่กล่าวไปนี่ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มากพอดูเลยล่ะ สำหรับคนที่กู้เงินกองทุนฯ
  ส่วนต่อมาคือ พ่อค้าแม่ค้าที่เคยขายของได้ดีเมื่อตอนเงินกองทุนฯ ออกมาใหม่ ๆ เข้าใจว่าเศรษฐกิจดี คิดจะขยายกิจการ ก็ไปกู้เงินธนาคารมาลงทุน แรก ๆ ก็ดีหรอก แต่สักพักเงินกองทุนฯ ที่จะเอามาซื้อน่ะ หมดแล้ว ก็เริ่มจะขายได้น้อยลง ถึงเวลาที่คนที่กู้กองทุนฯ ต้องใช้เงินคืนยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเงินส่วนหนึ่งที่ต้องเอามาซื้อก็ต้องเอาไปจ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบที่กู้ไปใช้คืนกองทุนฯ ก็ยิ่งไม่มีเงินออกมาหมุนเวียนในตลาดซื้อขาย ก็ขายของไม่ได้กันเป้นแถว ของขายไม่ได้ ก็ไม่มีเงินจ่ายธนาคาร กลายเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น ยึดบ้าน ยึดรถ ยึดไปก็ขายไม่ได้ เพราะคนไม่มีเงินซื้อ ธนาคารก็เริ่มปล่อยกู้น้อยลงเพราะไม่มั่นใจว่าให้กู้ไปแล้วจะได้เงินคืนหรือเปล่า กลายเป้นเงินออกมาหมุนเวียนน้อยลงไปอีก พังครับ
  มาถึงบริษัทห้างร้านกันบ้าง ลงทุนไปเยอะ พอเงินหมุนเวียนในตลาดน้อยลง ผลประกอบการแย่ลง เงินปันผล เงินโบนัสน้อยลงหรืองดไปเลย เงินก็ออกมาหมุนเวียนน้อยลงไปอีก เพราะได้เงินเดือนมาก็ต้องเขียม เพราะกู้เงินซื้อบ้านซื้อรถไปหลาย หนักหน่อยก็ปลดลดจำนวนพนักงาน หนักสุดก็คือบริษัทเจ้งไป (เห็นไหมครับเริ่มมีคนตกงานแล้ว)
  คราวนี้ราชการและลูกจ้างราชการ จากเคยมีเงินโน่นเงินนี่ได้เพิ่มมาจากเงินเดือน (หมายถึงเงินที่ใช้สิทธิ์รับเพิ่มหรือเบิกได้นะครับ ไม่ใช่เงินคอ.....) แต่ตอนหลังไม่ได้แล้ว งดหมด เพราะเงินคลังเอาไปเป้นเงินกองทุนฯ หมดแล้ว แถมไม่ได้เงินคืนกลับคลังด้วยสาเหตุที่บอกไปแล้ว เหมือกันครับ กู้ซื้อบ้านซื้อรถไปเยอะ รูดบัตรไปไม่น้อย บางส่วนกู้มาเกินตัว ก็ไปพึ่งเงินกู้นกระบบเหมือนกัน (กรณีนี้รวมถึงพวกพนักงานบริษัทด้วยครับ มีเหมือนกัน) แต่กลุ่มนี้ได้เปรียบหน่อยตรงที่อย่างน้อยคือราชการไม่มีปิดกิจการ แต่ก็มีบ้างที่งดต่อสัญญาให้กับลูกจ้างราชการ (ตกงานอีกส่วนแล้วครับ) สรุปเงินก็ออกน้อยลง ตลาดแย่อีกแล้ว
  สรุปล่ะครับ คือที่ผมเห็นเป็นแค่ปัจจัยเพียงเรื่องเดียวไม่รวมปัจจัยอื่น ๆ ยังเป้นลูกโซ่ได้ขนาดนี้ แม้ส่วนหนึ่งเป้นเพราะขาดวินัยการใช้เงิน แต่ก็วกไปได้กับคนออกนโยบาย เพราะออกนโยบายเพื่อหวังคะแนนเสียง ไม่ได้สนใจถึงพื้นฐานพฤติกรรมและค่านิยมโดยรวมของคนไทย ส่วนปัจจัยภายนอกที่เหมือนวิบากกรรมซัดเข้ามีอีกลูกก็คือราคาน้ำมันครับ อีกส่วนก็คือเรื่องค่าเงิน แต่ผมไม่ขอพูดถึงเพราะผมมองเรื่องค่าเงินไม่ออก คือแค่รู้ว่าค่าเงินมันถูกลงหรือแพงขึ้น แต่มองไม่ออกว่ามันถูกลงหรือแพงขึ้นด้วยปัจจัยอะไรเป็นตัวกำหนด (เคยฟังเขาพูดแต่งงครับ) จึงทำให้โรงงานที่ส่งออกสินค้าต้องปิดตัวลง ทำให้ภาพคนตกงานนั้นเด่นชัดขึ้นมาเท่านั้นเอง ซึ่งจริง ๆ แล้วเริ่มมีคนตกงานเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ที่ผมบอกไปข้างต้นแล้วครับ และสังเกตุไหมครับว่า ธุรกิจเงินกู้นอกระบบเติบโตขึ้นมากตั้งแต่ทักษินยังอยู่จนถึงวันนี้ ทั้ง ๆ ที่แรกเลยที่ได้เป็นนายกประกาศว่าจะปราบผุ้มีอิทธิพลรวมทั้งพวกเงินกู้นอกระบบนี้ด้วย แต่สุดท้ายทั้งผู้มีอิทธิพลกำแหงหนักกว่าเดิม และเงินกู้นอกระบบมีมากขึ้น (ก็หัวคะแนนเขาทั้งนั้น การซื้อเสียงส่วนหนึ่งใช้วิธีการให้ทำเป้นปล่อยเงินกู้นอกระบบเนียน ๆ)

  แล้วถ้าเป็นแบบนี้ถ้าทักษินยังอยู่ก็โดนด่าเหมือนกันแหละครับ แต่ในเมื่อจะโดนด่าแล้วทำไมยังดื้อดึงอยากจะกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง ก็เพราะโลภไงครับ ผมมองว่าเขายอมโดนด่า เพราะถึงเวลานั้นก็โกยเข้ากระเป๋าไปเยอะแล้ว แล้วก็ไม่ยอมลงเลือกตั้งใหม่ โดยยังเอามาเป้นประโยชน์ในการสร้างความนิยมให้กับตัวเองได้อีก โดยประกาศว่าจะอยู่ในตำแหน่งนายกเพียงสองสมัยเท่านั้น ทำให้กลายเป็นสร้างภาพได้สำเร็จไปอีก และผมเดาว่าเขาจะไม่เป้นนายกต่อจริง ๆ แล้วก็จะไปเสวยสุขอยู่ต่างประเทศด้วยเงินที่ปล้นชาติไป แถมเชื่อได้ว่ากลุ่มของทักษินก็จะยังได้เป็นรัฐบาลแล้วโกงได้ต่ออีก

  ผมคิดมากไปหรือเปล่าเนี่ย

[NPD]

ผมว่าเขาวัดจากการที่มีองกรของเราจับผิด รัฐบาลชุดเก่า ได้นะครับ

**องค์กรดังกล่าวอาศัยผลสำรวจจากสำนักต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง**

แล้วตอนนี้มันมีใครโดนหาว่าโกงมั่งละครับ

 “สนธิ”อัด“ขิงเน่า”โกงกว่ายุค“แม้ว”   

  เริ่มมีโผล่แล้ว 

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000115157

[NPD]

รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ออกอากาศทาง เอเอสทีวี วันศุกร์ที่ 28 ก.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ดำเนินรายการ โดยเริ่มแรกนายสนธิได้แสดงความรู้สึกต่อสถานการณ์ทางการเมืองว่า อาจจะไม่ได้เลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค.ปีนี้ ไม่ต้องถามว่าเป็นเพราะอะไร แต่ความรู้สึกประหลาดๆ แบบนี้มักจะเกิดขึ้น
       
       นายสนธิ กล่าวว่า ในวันนี้เป็นวันรับราชการวันสุดท้ายของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และมีการส่งมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในใจอาจคิดอะไรอยู่ ที่ผ่านมาหลายคนอาจต้องการให้ตนห้ามไม่ให้ พล.อ.สนธิลงเล่นการเมือง แต่ตนกลับสนับสนุนให้ลงมา เพราะว่าจะได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของพล.อ.สนธิเสียที เนื่องจากที่ผ่านมาได้ใช้ความเป็นชายชาติทหารมากำบังตัวเอง แท้ที่จริงแล้วเป็นนักการเมืองตัวเอ้ มีคนบอกว่าก่อนพล.อ.สนธิจะได้ตำแหน่ง ผบ.ทบ.ต้องไปเฝ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เป็นเวลานานกว่าจะได้ตำแหน่งมา
       
       นายสนธิกล่าวว่า 1 ปี กับอีก 9 วันที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนได้เข้าใจในตัว พล.อ.สนธิมากขึ้น ซึ่งความจริงแล้ว ตนเข้าใจตั้งแต่ 2 สัปดาห์แรก แต่ก็ยังคิดว่ามีคุณงามความดีอยู่ จึงได้แต่พูดเตือนสติในเรื่องต่างๆ เหมือนกับที่ตอนยอมหลับตากรณีของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ บุกรุกป่าสงวนที่เขายายเที่ยง เพราะถือว่าคนที่จะเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง แล้วไปรุกป่าสงวนโดยไม่เจตนา เมื่อเทียบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในการเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองแล้ว มันพอลืมกันได้
       
       “แต่วันนี้ผ่านมาแล้ว 1 ปีเต็มๆ ซึ่งผมก็คิดว่าพ่อแม่พี่น้องที่ดูรายการนี้อยู่ก็คงจะจำได้ ว่าผมเป็นคนแรกที่ออกมาพูดกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อย่างตรงไปตรงมา ผมยังจำได้ว่าช่วงแรกๆที่ผมพูดนั้น ท่านผู้ชมเอเอสทีวี และพันธมิตรหลายท่านนั้น ตั้งข้อสงสัยผม ทุกคนพูดบอกว่าเขาอุตส่าห์เข้ามาช่วยเรายึดอำนาจ แล้วคุณสนธิ ทำไมไปว่าเขา
       
       “ท่านผู้ชมครับ ถ้าเรามองย้อนหลังกลับไปในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานั้น ถ้าเรามองกันอย่างลึกๆ แล้ว มองกันอย่างเป็นธรรมแล้ว ผมพูดอยู่ตลอดเวลาว่าผมตั้งข้อสงสัยว่าการยึดอำนาจนั้น ยึดอำนาจมาเพื่อตัวเอง และพวกพ้องหรือเปล่า ท่านไม่ต้องตอบผมหรอกครับ แต่ว่าผมมีคำตอบในตัวของผมอยู่แล้ว ผมเคยพูดมาตลอดว่าแนวโน้มน่าจะเป็นการยึดอำนาจเพื่อตัวเอง และก็พวกพ้องตัวเองมากกว่า”นายสนธิกล่าว
       
       **อัดยุค “ขิงแก่”โกงการบินไทยหนักกว่ายุค “แม้ว”
       
       นายสนธิ กล่าวต่อว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการรับราชการของ พล.อ.สนธิ จากวันนี้ไปก็ถอดหัวโขนในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก อะไรที่ไปแตะเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองบางพรรค คนบางคน นักการเมืองบางคนที่ท่านแอบไปพบปะมา หรือพ่อค้าบางคนที่อาจเคยรับปากว่าจะช่วยเขา วันนี้เป็นเรื่องสมมุติไปหมดแล้ว เพราะว่าท่านไม่สามารถจะมีอิทธิพลต่อการเดินของประเทศชาติต่อไปอีกแล้วจากนี้ไป
       
       “คงเหลือไว้แต่ว่า ถ้าพรรคพลังประชาชน หรือคุณทักษิณ ชินวัตร สามารถจะกลับมาได้ ด้วยเหตุที่ว่า พวกเขายังมีอำนาจทางการเมืองได้นั้น พล.อ.สนธิ และ พล.อ.สุรยุทธ์ คือ 2 พล.อ.ที่ต้องรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ไทย ที่เป็นสาเหตุทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเข้ามาด้วยเหตุผลที่ว่า ทั้ง 2 ท่านแทบจะไม่ทำอะไรให้กับประเทศชาติเลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากเอาตัวรอดไปวันๆ
       
       “คนๆ หนึ่งเอาตัวเองรอด วางแผนเพื่อเติมเต็มในความทะเยอทะยานของตัวเอง คนๆ หนึ่งเมื่อได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการในตำแหน่งแห่งที่ เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ใส่เกียร์ว่าง นั่งเฉยๆ แล้วปล่อยให้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเอง โดยท่านไม่สนใจอะไร”
       
       นายสนธิ ยังกล่าวว่า จากการที่เขาเปิดโปงและวิพากษ์วิจารณ์การทุจริตของผู้บริหารการบินไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นสาเหตุทำให้ในวันจันทร์ที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป ทางผู้บริหารการบินไทยสั่งห้ามไม่ให้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการขึ้นเครื่องการบินไทย ซึ่งไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เห็นว่าน่าสังเวช และไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย
       
       นายสนธิ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้แก้ปัญหาทุจริตในการบินไทย แต่กลับมีความพยายามในการซื้อเครื่องบินเพิ่มเติมเพื่อหวังค่าคอมมิชชั่น แม้ว่าจะต่อมาจะเปลี่ยนแปลงเป็นการเช่าซื้อหลังจากถูกตนเปิดโปงก็ตาม กลับกลายเป็นว่าแพงกว่าเดิม โดยคนที่วิ่งเต้นในการขายเครื่องบินก็เป็นคนเดียวกันกับเคยวิ่งเต้นในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และล่าสุดกำลังจะมีการความพยายามซื้อเครื่องบินเพิ่มอีก 60 ลำ
       
       “จะทำมาหารับประทานกันตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน พ่อแม่พี่น้องเห็นหรือยัง นี่มันคือภาษีอากรของประชาชน การบินไทยในยุคนี้ เผลอๆ คอร์รัปชั่นอย่างเน่าเฟะ เลวทรามต่ำช้าที่สุด จากผู้บริหารและกรรมการ มากกว่าสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”
       
       **ชี้ยึดอำนาจเพื่อ “สมบัติผลัดกันชม”
       
       นายสนธิกล่าวต่อว่า การบินไทยจะเอาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการลงจากเครื่องก็ไม่เป็นไร เพราะว่ายังจะพูดถึง ร.อ.ท.อภินันท์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้จัดการการบินไทยต่อไป จะพยายามขุดคุ้ยเรื่องราวให้มากกว่านี้ เพราะว่าการบินไทยยุคนี้เป็นยุคที่ฉ้อฉล ฉ้อราษฎร์บังหลวง
       
       “ผมสงสารพนักงาน ผมสงสารลูกเรือ ที่เป็นคนตัวเล็กๆ ทำงาน อุปกรณ์ก็ไม่พร้อมเพราะโกงกัน ของก็ไม่มีคุณภาพก็เพราะโกงกัน ทุกสิ่งทุกอย่างโกงหมดในการบินไทย และโกงกันไม่กี่คน เมียนายพลก็วิ่งเต้นให้ซื้ออันโน้นอันนี้ เขารู้กันหมดในวงการ
       
       “เพราะฉะนั้นผมก็เลยมาถอยหลัง และผมก็ลองมาดูตัวผมเอง ผมบอกว่า สนธิจำได้หรือเปล่าว่าคุณเคยพูดอะไรไว้ ผมว่าการยึดอำนาจครั้งนี้ก็คือการผ่องถ่ายสมบัติผลัดกันชม เพียงแต่ว่าในยุค 1 ปี ที่ผ่านมานั้น เป็นยุคที่ทุกคนกำลังมุ่งเน้นทางการเมือง พวกนี้ก็เลยทำมาหารับประทานกันอย่างสนุกสนาน ไม่จบไม่สิ้น”
       
       นายสนธิ ได้ตำหนิ พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ไม่ได้ดำเนินการกับบริษัทแอร์เอเชียที่ทำผิดกฎหมายเพราะเป็นบริษัทของคนต่างด้าว ทั้งที่อธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศได้ไปแจ้งความไว้แล้ว ไม่แก้ปัญหาเรื่องบริษัทไทยเดินเรือทะเล กรณีแอร์พอร์ตลิ้งที่มีการต่อสัญญา หรือกรณีต่อสัญญาให้ห้างเซ็นทรัลต่อสัญญาเช่าที่ของการรถไฟโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งตนสัญญาว่า จะต้องเอา นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าคุกให้ได้ หรือล่าสุดกำลังมีการเจรจากับบริษัทคิง พาวเวอร์ ในสนามบินสุวรรณภูมิ จะเห็นได้ว่าทุกโครงการล้วนมีผลประโยชน์แอบแฝง
       
       นอกจากนี้ นายสนธิ ได้ตำหนินายเกริกไกร จิระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ไม่ดูแลผู้ค้าปลีกรายย่อยในประเทศปล่อยให้ทุนค้าปลีกยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเข้ามาทำลาย ซึ่งถ้าไม่มีการเข้ามาโอบอุ้มช่วยเหลือแล้วต่อไปอาชีพการค้าขายอิสระเล็กๆ น้อยๆ ก็จะหมดไป ลูกหลานของ บรรดาร้านโชวห่วยเรียนหนังสือจบมาก็จะไปเป็นลูกจ้างของกลุ่มทุนข้ามชาติเหล่านี้ทั้งสิ้น
       
       "ผมถึงบอกว่า รัฐบาลชุดนี้ ที่เขาบอกเป็นขิงแก่ ผมว่าไม่ใช่ขิงแก่ เป็นขิงเน่า เป็นขิงเน่าจริงๆ ถ้าผมเสียใจ ผมจะเสียใจเรื่องนี้มากๆ คนพวกนี้ไม่เคยรักชาติ รักบ้าน รักเมือง เพราะถ้ารักชาติ รักบ้าน รักเมือง ต้องรักประชาชน รักผู้ประกอบการ จริงๆ แล้วชนชั้นกลาง คนพวกนี้คือชนชั้นกลาง คนพวกนี้คือกระดูกสันหลังของประเทศ รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบนพื้นฐานของการต่อสู้ของประชาชน”
       
       นายสนธิ ยังตำหนิรัฐบาลชุดนี้ ที่ไม่สะสางปัญหาที่ตกค้างมา ไม่ว่าจะเป็น ปตท.ที่ปล่อยให้ผู้ถือหุ้นต่างชาติ หรือเอกชนเข้ามาใช้ความเป็นรัฐวิสาหกิจ กิจการของรัฐมาเอาเปรียบคนไทย กรณีทีไอทีวียังเหมือนเดิม ซ้ำล่าสุดกระทรวงกลาโหมซื้ออาวุธทิ้งทวนจำนวนกว่า 7 พันล้านมีการซื้อรถหุ้มเกราะของยูเครนที่ตกรุ่นได้ค่าค่าคอมมิชชั่นเป็นพันล้าน
       
       นายสนธิ ยังได้เปรียบเทียบ กรณีการลาออกของ 3 รัฐมนตรี กรณีมีปัญหาเรื่องการถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นมารยาททางการเมือง แต่กรณีการบุกรุกที่ดินเขายายเที่ยงของ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นเรื่องของจริยธรรม เพราะเป็นความผิดที่ไปรุกป่าสงวน แล้วนายกฯจะรับผิดชอบอย่างไร ถ้านายกฯ ทำผิดจริยธรรมแล้วไม่ลาออก หรือไม่ยอมทำอะไรเลย ก็เท่ากับว่ารัฐมนตรี 3 คนที่ลาออกแค่เล่นลิเกให้ประชาชนดู หรือว่าข้อครหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นในรัฐบาลชุดนี้เป็นเรื่องจริง

[andaman]

นายสนธิ นี่แกเก่งจริงๆ น่าจะเข้าไปช่วยคลีคลายสถานการณ์ในพม่าบ้าง

[Don Quixote]

อนาคตทักษิณเป็นไงผมไม่ทราบรู้เพียงอนาคตคนไทยเริ่มที่จะสูญเสียอะไรๆหลายๆอย่างแล้ว  เรื่องแบบนี้ต้องคุยกันยาวอย่าเอาคำพูดเพียงไม่กี่คำมาตัดสิน

อ้าว โชคดีจัง ส่วนตัวผมสูญเสียอะไรๆ ในฐานะที่เป็นคนไทยมาตั้งนานแล้ว รู้สึกว่าเริ่มปี 2543

[เบิ้ม]

    นายสนธิ  อะไรกุลๆๆเนี่ย เป็นตัวก่อหวอดล้มล้าง แทนที่จะเป็นนกน้อยในไร่ส้มกลับทำตัวเป็นนกใหญ่ แล้วตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นสีอื่นอีกแล้ว เอาแต่ทำตัวดัง เอาแต่ยอดขายหรือเปล่า ตอนนี้น่าจะลงไปเล่นการเมืองบ้างนะ เปลี่ยนสีเก่งจัง อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเขาเลย

ผมว่าสื่อเขาต้องปรับตัวเกาะกระแสนะ เพื่อให้ขายได้ นสพ.ฉบับอื่นก็เริ่มเปลี่ยนข้างแล้ว อ่านไปอ่านมาก็ชักงง...อะไรหว่า ไม่กี่เดือนก่อนยังเชียร์ฝ่ายหนึ่งอยู่ ไหงหลังๆกลับลำหน้าตาเฉย เลยคิดได้ ว่าสื่อก็คือธุรกิจอย่างหนึ่งเหมือนกัน ต้องเอาตัวรอดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรารับสื่อ ต้องใช้วิจารณญาณใคร่ครวญ ก่อนที่จะเชื่อ...

[andaman]

ธรรมชาติของสื่อไทยครับ คุณGlock_pk


แล้วท่าน Corporal LE >> สูญเสียอะไรไปบ้างครับ

[Don Quixote]

ธรรมชาติของสื่อไทยครับ คุณGlock_pk


แล้วท่าน Corporal LE >> สูญเสียอะไรไปบ้างครับ
 
 
..........


ผมขอลองคุยกับ สหายแป๋ง ครับ

คุณกับคุณ อันดามัน ต่างคนก็ต่างรู้เรื่องกันเท่าเดิม เสียเวลา

[แจ็ค]

..... ผมว่ามีคนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ดีนะครับ  มีการสืบเสาะ และที่แกพูดมามันก็เป็นข้อมูลที่นำมาอ้างได้เช่นกัน  เป็นการเปิดหูเปิดตาให้ประชาชนได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง  ส่วนที่เสียนั้น คิดหักกลบลบกันแล้วก็ยังคงเหลือส่วนดีอีกมากไว้ให้ได้ติดตามอยู่ (ความเห็นส่วนตัวครับผม) ... 

[<<Z80>>]

..... ผมว่ามีคนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ดีนะครับ  มีการสืบเสาะ และที่แกพูดมามันก็เป็นข้อมูลที่นำมาอ้างได้เช่นกัน  เป็นการเปิดหูเปิดตาให้ประชาชนได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง  ส่วนที่เสียนั้น คิดหักกลบลบกันแล้วก็ยังคงเหลือส่วนดีอีกมากไว้ให้ได้ติดตามอยู่ (ความเห็นส่วนตัวครับผม) ... 

ผมก็ดูASTVบ่อย แต่ดูๆ ฟังๆ ปก็คล้ายๆกับเป็นการมอมเมา.......เมาน้ำลาย  คุณสนธิก็พูดแต่เรื่องเดิมๆวนไปเวียนมา รู้หมดรู้ทุกอย่าง เก่งคนเดียว ใครคิดและเห็นด้วยกับแก แกจะบอกว่าเป็นคนฉลาด จนหลงตัวเองเหมือนใครบางคนหรือหลายๆคน 

[at75]

ผมว่า สาร ต่างๆที่เราได้รับ จากศื่อ ต่างๆ ควรกรองเสียก่อน ที่จะเชื่อ ผมเองเลิกเชื่อ สื่อ ต่างๆมากนานมาก แล้วถ้าฟังต้องพิจารณา คนเรามีทั้งดีไม่ดี การวิภาก วิจาร์ณอ่ะไร ควรเป้นไปตาม จริง แต่สื่อ ชวนเชื่อมักเชื่อได้บางส่วนเท่านั้น จริงๆ อย่างคุณสนธิ กล่าวมา บางอย่างเป้นจริงหรือไม่ ผมเองยังไม่เชื่อ ไม่ว่า ก่อนหรือ หลังปฎิวัติ เพราะตัวของคุณสนธิเอง ก็ขึ้นศาลแล้วแพ้คดี หลายคดี แต่ไม่เป้น ข่าวหรือเป็นข่าวแต่ ไม่มีคนสนใจ ต้องยอมขอโทษ โจท์ ที่ยื่นฟ้องเพื่อรอมชอม ถ้าคุณสนธิพูด จริงทุกอย่าง ทำไมต้องไปขอโทษเค้า  ผมอยากให้ลองคิดดูนะครับ ว่า บางครั้งคนที่เอาเรื่อง จริงบางอย่างมาพูด ไม่จำเป้นว่าทุกคำพูดของเขาต้องเป็นเรื่องจริง ลองพิจารณาดูครับ ไม่ใช่แต่เรื่องคุณสนธิ แต่ทุกๆ เรื่อง ผมชอบคำกล่าว ของ ค.ต.ส ท่านนึงกล่าวไว้ว่า

                           "เราต้องแยกให้ออก ระหว่า ความถูกต้อง กับความชอบ"

ลองฟังแล้วลองคิดดูครับ ผมเองฟังแล้วรู้สึกชอบมากครับ สั้นๆแต่ความหมายดี

[at75]

ขอ อีกนิดนึงครับ ทุกวันนี้ ประชาชนอย่างเราๆ ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองกลุ่ม ต่างๆในการหาผลประโยชน์ โดย ทำให้พวก เราเชื่อเสียก่อนว่า สิ่งที่เค้ากำลังบอกหรือ ที่พยายามจะบอกนั้นเป้นเรื่องจริง แล้ว และก็ชี้นำให้เราทำตาม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนๆก้เหมือนกัน ซึ่ง การที่ใครเชื่ออ่ะไรแล้ว เป้นเรื่องยาก ที่แยกผิดถูก ออกจากความเชื่อ ซึ่งเรื่องนี้อันตราย เพราะถ้าเราตกเป้นเครื่องมือ ของกลุ่มคนเหล่านี้ เราทั้งหลายก็จะถูกแบ่ง และแยกจากกันเป็นส่วนๆ ตามที่ว่าใครจะเชื่อกลุ่มไหน ทีนี้ประเทศเราจะ แตกแยก ถ้าเราหลงหรือเชื่อโดยขาด สติ ยั้งคิดเราจะกลายเป็นเบี้ย เป็นหมากให้เขาใช้เดิน
  บางทีเราอาจลืมไปแล้วว่านักการเมืองเหล่านี้เข้ามาเพื่อรับใช้เรา ไม่ใช่ให้เราไปรับใช้เขา แต่จนแล้วจนรอด พวกเราก้เข้าตกอยู่ในวังวน ของเล่ห์ เหลี่ยมของนักการเมือง เชื่อ โฆษณาชวนเชื่อ เชื่อความฝันในอากาศ กว่าจะรู้สึกตัว ก้ฝันสลาย เป้นมาทุกยุคทุกสมัย ผมว่า เราควรเปลี่ยนทัศนะคติ เกียวกับการเมืองใหม่เสียทีครับ ถ้าเราไม่แยกความชอบ ออกจาก ความถูกต้อง เมื่อนั้น ระบบต่างๆก้จะถูกบิดเบือน โดยที่ท่านจะถูก นักการเมืองเหล่านี้แหล่ะครับที่ใช้ท่านเป้นเครื่องมือ ลองคิดทบทวนดูครับ