..โครงการคัดเลือกนักบินอวกาศหญิงของจีนกำลังเข้าโปรแกรมทดสอบกับเครื่องบินฝึกแบบไอพ่น ซึ่งกองทัพอากาศจีนไม่มีนักบินขับไล่ที่เป็นผู้หญิงประจำการ อาจจะมาจากสรีระของร่างกายผู้หญิงเมื่อเจอกับแรงจีมากๆจากท่าบินต่างๆของเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงอย่าง SU-27และ J-10ที่จีนประจำการอยู่ ร่างกายผู้หญิงไม่น่าจะทนสภาพนั้นได้ ซึ่งนักบินชายบางคนยังทนไม่ได้เลย..ผมสังเกตมานานแล้วว่านักบินจากค่ายคอมมิวนิสไม่ว่าจะรัสเซีย จีนหรือประเทศอดีตสหาพโซเวียต ชุดบินไม่เห็นมีชุดจีทับ หรือว่าจะเป็นชุดจีสำเร็จรูปพร้อมกับชุดบินไปเลย.. 
ไม่จริงครับ ที่ว่า ร่างกาย ผู้หญิง ทนแรงจี ได้น้อนกว่า ผู้ชาย โครงการวิจัยของ กองทัพอากาศ สหรัฐ ได้ข้อสรุปแล้วว่า นักบินชาย ที่ตัวเตี๊ย จะทนแรง จี ได้มากกว่านักบินที่ตัวสูง และ นักบิน หญิง จะทนแรง จี ได้มากกว่า นักบิน ชาย เพราะ ขนาดตัวที่เล็กกว่า เป็นเพราะ ระยะห่างระหว่าง หัวใจ กับ สมอง ที่ใกล้กันมาก ทำให้เลือดสามารถสูบฉีดไปเลี้ยงสมองได้ง่ายกว่า และ ขนาดร่างกายที่เล็กกว่า ทำให้ทนแรงจี ได้มากกว่าด้วย
เมื่อแรงจี เพิ่มขึ้น แรงจี ก็จะดึงเอาเลือกส่วนที่ไปเลี้ยงสมองลง ทำให้เกิดอาการ แบล็คเอ้าท์ และหมดสติ (เพราะประสาทตาจะไปก่อนเป็นอันดับแรก) ดังนั้นจึงมีAnti G suit มาช่วย ซึ่งจะเป้นกางเกง มีถุงลมด้านใน
เมื่อเวลาเกิดแรงจี เครื่องก็จะทำงานโดยเป่าลมเข้าในกางเกง ทำให้กางเกงพอง คับ บีบตัว กั้นเลือดเอาไว้ไม่ให้ไหลลง ให้ยังคงเลี้ยงสมองอยู่ได้ คนตัวเล็กจะได้เปรียบครับ เนื่องจาก หัวใจกับสมอง อยู่ไม่ไกลกันเท่าไรนัก
แต่ถ้าแรงจีมากๆ ก็จะดึงเอาอวัยวะทุกส่วนในร่างกายลงมาครับ และที่สำคัญคือกระบังลมครับ
จะทำให้หายใจลำบากมาก ต้องมีการฝึกหายใจภายใต้แรงนี้ เรียกว่า M-1 Maneuver เป็นการหายใจช่วงสั้นๆ
ในการรบจริงๆ แบบสู้ประชิดตัว จะเป็นการบริหารพลังงานครับ ทั้งพลังงานศักย์ (ความสูง)และพลังงานจลย์(ความเร็ว) และนำมาใช้ในการเรียกประสิทธิภาพของเครื่องบินให้ได้มากที่สุดครับ เพื่อที่จะเข้าไปด้านหลังคู๋ตู้สู้ แล้วยิง
ดังนั้น การต่อสู้ จึงเป็นแบบ ไล่กัดหางกัน ฝรั่งเค้าเลยเรียกว่า Dog fight เพราะเวลาหมากัดกัน มันจะไล่กัดตูดของอีกฝ่าย
นักบินต้องไม่เพียงแข็งแรงอย่างเดียวในการดึงจี แต่ว่าต้องสามารถคิดไปด้วยภายใต้สภาพนั้นๆ ซึ่ง มีทั้งแรงกดดันจากคู๋ตู้สู้ แรงกดดันซึ่งเกิดจากการบินของตัวเอง