... บทความ ... วิถีทหารกล้าจากดินแดนที่ราบสูง ณ ริมฝั่งแม่น้ำบางนรา
Written by pom
Nov 05, 2007 at 12:16 PM
ฝนโปรยสายบางเบาตั้งแต่เช้าจรดเที่ยง ทว่าการแข่งขันเรือกอและหน้าพระที่นั่งชิงถ้วยพระราชทาน ของจังหวัดนราธิวาสก็ยังดำเนินไปอย่างสนุกสนานท่ามกลางม่านฝนนั้นขณะที่การประชันของเหล่าฝีพายดำเนินไปอย่างเข้มข้นกลางแม่น้ำบางนรา ขณะที่ผู้คนยืนกรำฝนคอยชมและตะโกนเชียร์เนืองแน่นตลอดแนวริมฝั่งเขื่อนท่าพระยาสาย ทำให้บรรยากาศความรื่นเริงแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ แต่ก็ยังมีชายกลุ่มหนึ่งยังคงเคร่งครัดกับหน้าที่แห่งตน
จากภาพที่ดูภายนอก ..เครื่องแบบเขียวลายพรางที่เข้มขลัง มือที่กระชับอาวุธคู่กายแน่น ดวงตาที่กวาดมองอย่างระแวดระวังขณะทำหน้าที่รักษาการณ์และดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อย แม้ทหารหลายคนจะมีรอยยิ้มส่งให้ชาวบ้านบ้างแต่ด้วยภาพลักษณ์ที่มี อาจทำให้พวกเขา-เหล่าทหารหาญดูเหมือนจะแปลกแยกไปจากบรรยากาศรอบข้างไปบ้าง แต่ภาพภายในเล่า ใครเล่าจะรู้ว่า ความคิดและจิตใจของพวกเขาเป็นเช่นใดบ้าง
จากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ทหารจะถูกยกย่องในด้านการรักษาความมั่นคงและสงบเรียบร้อย แต่ก็ยังมีเสียงห่วงใยว่า ทหารบางส่วนอาจจะเครียดและกดดันจากการทำงาน โดยเฉพาะทหารที่มาจากต่างถิ่นเช่นภาคเหนือและภาคอีสานที่ต้องจากบ้านมาไกลทำให้เกิดอาการคิดถึงบ้าน บางส่วนก็มีปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมประเพณีของชายแดนใต้ ฯลฯ ข้อห่วงใยเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเหล่านี้ที่ส่งผลกระทบถึงการทำงานของพวกเขาไม่น้อย
ข้อห่วงใยเหล่านี้ เป็นความจริงแค่ไหน วันนี้ เราจะไปสัมผัสกับความรู้สึกของ ทหารไกลบ้านบางส่วนกันดู
โคราชครับ ทหารเรือสวมปลอกแขน น.ย. นายหนึ่งตอบเมื่อเราถามไถ่ถึงภูมิลำเนา แต่ก็ไม่ขอเปิดเผยชื่อและไม่ยอมให้บันทึกภาพ เขาคนนี้มาอยู่นราธิวาสได้ไม่ถึงปี ถึงเวลาได้หยุดพักก็มักจะเดินทางไปหาเพื่อนที่กรุงเทพโดยไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่ แค่นี้นะครับ วันนี้คนเยอะ ต้องคอยระวัง เขาขอตัวด้วยรอยยิ้มจางๆ เมื่อเราพยายามจะล้วงลึกความในใจว่าคิดถึงบ้านแค่ไหน
เอาเถิด ยังมีทหารรักษาการณ์อีกตั้งหลายจุด คงมีสักคนหรอกน่าที่จะพอคุยกับเราได้ เพราะเราไม่ได้อยากรู้เรื่องราวความลับของราชการ หรือเรื่องยุทธการอะไรที่ลึกซึ้งสักหน่อย แค่อยากคุยด้วยในฐานะเพื่อนมนุษย์เท่านั้น
หลังจากยืนยันกับหัวหน้าของเขาว่า จะขอคุยแค่เรื่องราวที่สบายๆไม่เกี่ยวกับหน้าที่ทหาร เราจึงได้คุยกับทหารเรือรูปหล่อนิสัยดี จ่าเอกสุวิชัย ตรวจมรรคา สังกัดกองพันทหารปืนใหญ่เบากระสุนวิถีโค้ง จังหวัดนราธิวาส ผู้มีถิ่นฐานบ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์
จ่าเอกสุวิชัยมาทำงานที่นราธิวาสในปี 2547 หลังจากเรียนจบโรงเรียนจ่าทหารเรือ เขาไม่เคยมาภาคใต้มาก่อน ต้องปรับตัวทุกอย่างตั้งแต่เรื่องอาหาร และชีวิตความเป็นอยู่ ส่วนในเรื่องวัฒนธรรมและศาสนานั้น เขาบอกว่าทางกองทัพได้ฝึกอบรมให้มีความรู้ความเข้าใจเป็นพื้นฐานมาก่อนแล้ว
ตอนผมมาปี 47 มีปัญหาเรื่องอาหารบ้าง มันไม่ค่อยชิน ไม่แซ่บเหมือนบ้านเฮา ก็ต้องทำกินเอง แต่ต่อมาก็ปรับลิ้นได้ กินอาหารพื้นเมืองได้มากขึ้น
หมดปัญหาเรื่องอาหารไปเรื่องหนึ่ง แต่ปัญหาสำคัญที่รบกวนจิตใจเขาตลอดก็คือ การคิดถึงคนทางบ้าน โดยเฉพาะพ่อแม่ และคนรัก พ่อแม่ยังอยู่ที่บุรีรัมย์ พอวันหยุดปั๊บผมก็กลับไปบ้านเลย แล้วเลยไปหาแฟนด้วย ทหารเรือหนุ่มยิ้มอายๆขณะบอกเล่า คนรักของเขาเป็นสาวงามชาวสุรินทร์ที่เพิ่งเพาะต้นรักด้วยกันได้ระยะหนึ่ง แต่แล้วเขาก็ต้องมารับราชการทหารไกลถึงนราธิวาส รักแท้จะแพ้ระยะทางหรือเปล่าเป็นสิ่งที่เขากังวลตลอดมา ชีวิตประจำวันก็ไม่มีอะไรมาก ช่วงเข้าเวรรักษาการณ์ ต้องไปเฝ้าตามจุดสำคัญๆต่างๆในเมือง ตลาดบ้าง หน่วงงานราชการบ้าง ธนาคารบ้าง ก็เริ่มปรับตัวไป สิ่งสำคัญคือต้องระวังตัวตลอด เวลาทำงานหรือไปไหนต้องไปเป็นคู่ มีบั๊ดดี้ดูแลกันตลอด แต่อย่างช่วงพักผ่อนในค่ายก็ผ่อนคลายหน่อย แต่ตอนปี 47 นั้นยอมรับว่าคิดถึงบ้านบ่อยมาก
หนึ่งปีต่อมา เมื่อสบช่องทางโดยเฉพาะนโยบายของกองทัพที่สนับสนุนให้กำลังพลสามารถสับเปลี่ยนกำลังได้เพื่อให้หายล้าจากการทำงานหนักในพื้นที่เสี่ยงภัย จ่าเอกสุวิชัยก็ทำเรื่องขอย้ายออกนอกพื้นที่ และได้รับการโยกย้ายไปอยู่ที่ภาคตะวันออกในหน่วยงานทัพเรือแห่งหนึ่งที่จังหวัดตราด ทำให้เขากลับไปเยี่ยมบ้านได้บ่อยขึ้นและสามารถถักทอสายใยรักกับคู่รักได้แน่นแฟ้นขึ้น
สองปีที่ตราดเขาได้ผ่อนคลายขึ้น และยามว่างสุวิชัยได้มองย้อนหลังครั้งสมัยมาทำงานที่นราธิวาสและค้นพบว่า ดินแดนแถบนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป เพราะหลายสิ่งหลายอย่างยังประทับอยู่ในความทรงจำ โดยเฉพาะอาหารพื้นเมืองที่เขาเคยปฏิเสธมาก่อน
ไปๆมาๆ กลายเป็นว่า ผมชอบกินโรตีนะ (หัวเราะ) และที่ชอบมากๆคือ อาหารทะเล เพราะราคาถูกมาก ผมกับเพื่อนทหารชอบไปซื้อมาจากชาวบ้านแล้วมาทำกินกันในค่าย สุดยอดเลย
หลังจากแน่ใจแล้วว่า ความรักจะยังมั่นคงต่อไปแม้กายไกลห่าง พ่อแม่สามารถดูแลตัวเองได้ และนราธิวาสก็คือพื้นที่ซึ่งไม่น่ากลัวอีกต่อไป สุวิชัยตัดสินใจขอย้ายกลับมาทำงานที่นราธิวาสเหมือนเดิม วันเวลาที่ผ่านไปทำให้เขาสุขุมและเข้าใจเงื่อนไขของชีวิตมากขึ้น เพราะตอนนี้สุวิชัยได้ยศจ่าเอกแล้ว เป็นความก้าวหน้าที่เป็นผลมาจากการทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย
ผมกลับมานราธิวาสรอบหลังนี่เมื่อวันที่ 25 กันยายน ปี2550 นี่เอง เดือนกว่าๆเอง ไม่รู้สึกเกร็งอะไร ไม่ต้องปรับตัวอะไรแล้วครับ เริ่มชินแล้ว จะไปไหนหรือกินอะไรก็ปรับตัวได้หมดแล้วครับ ของกินส่วนใหญ่ผมชอบไปซื้อที่ตลาดบางนาคครับ
ที่บอกว่า เขาปรับตัวได้แล้วนั้น คงไม่สามารถบอกได้เป็นคำพูด เราจึงขออนุญาตตามจ่าเอกสุวิชัยไปซื้อของที่ตลาดบางนาคด้วย แล้วเราก็พบว่า เขามีความกลมกลืนกับพื้นที่นราธิวาสได้อย่างน่าทึ่งทีเดียว
อากัปกิริยาของทหารหาญร่างใหญ่สะพายปืนคล้องไหล่ขณะเลือกซื้อลองกองพวงสวย ข้าวโพดหวานแสนอร่อย และสะตอฝักงามจากบรรดาแม่ค้ามุสลิมสาวใหญ่ชาวบ้านนราธิวาสผู้สวมชุดคลุมฮิญาบในตลาดบางนาคนั้นแม้จะมีความขัดเขินบ้างแต่ก็ดูเป็นธรรมชาติทีเดียว ทหารดูเขินๆส่วนแม่ค้าก็ดูอายๆขณะหยิบของและเงินทองให้กัน
พวกเขาไม่ได้สนทนาวิสาสะกันมากแต่รอยยิ้มที่ทั้งสองฝ่ายมีให้กันอย่างจริงใจนั้นบ่งบอกสัมพันธภาพอันดีระหว่างกันได้เป็นอย่างดี เน้นย้ำเสริมข้อมูลที่ว่าบรรดาแม่ค้าในตลาดชายแดนใต้ส่วนใหญ่ล้วนเอื้อเอ็นดูทหารไกลบ้านห่างถิ่นเหล่านี้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ขายให้ในราคาถูกจนถึงแจกแถมกันอุตลุด ข้อมูลตรงนี้จ่าเอกสุวิชัยก็ยืนยันอีกเสียงหนึ่งว่า ส่วนใหญ่เขาจะซื้อของได้ในราคาถูก เพราะแม่ค้าสงสารว่าทหารเงินเดือนน้อย
ออกจากตลาด สุวิชัยกับเพื่อนแวะที่ร้านหนังสือฝั่งตรงข้าม ก่อนเลือกซื้อหนังสือไปอ่านเล่น ภาพขณะทหารเรือหนุ่มยืนเลือกหนังสือนั้น ในแง่มุมหนึ่งก็ให้อารมณ์เหงาของคนไกลบ้าน แต่แง่หนึ่งก็สะท้อนว่า โลกยุคปัจจุบัน เรายังโชคดีนักที่ยังมีทางเลือกมากมายในการคลายเหงายามอยู่ไกลบ้าน โดยเฉพาะการพึ่งพาสื่อสารมวลชน เช่น หนังสือ และ โทรศัพท์
ผมโทรศัพท์ทุกวันแหละพี่ หาพ่อ หาแม่ และหาแฟน เดือนละหลายร้อยนะ แต่เป็นระบบเหมาจ่ายก็คุ้มดี โทรไปเลยเท่าไหร่ก็ได้ เราอยู่ไกลก็ต้องใช้วิธีนี้ ชีวิตที่นี่ก็ไม่ค่อยเหงาแล้ว เพราะปรับตัวได้แล้ว
หลายครั้งหลายหนที่คนเราอาจจำต้องออกเดินทางไกลแล้วห่างไกลจากบ้านเกิดบ้างเพื่อภาระหน้าที่การงานที่สำคัญและจำเป็น แต่ทว่าการ ไกลบ้าน แต่..ไม่ห่างรัก ก็สามารถทำได้ หากเราสามารถสืบสานความรักนั้นให้เป็นมั่นคงต่อไป รวมทั้งการปรับตัวและใจให้ รัก ในถิ่นฐานที่ไปทำงานนั้นด้วย
ดังเช่นเรื่องราวของ จ่าเอกสุวิชัย ตรวจมรรคา ทหารเรือหนุ่มวัยเบญจเพศที่บอกกับเราด้วยสีหน้ากึ่งอายกึ่งภูมิใจว่า ผมรอเก็บตังค์อีกนิด แล้วจะไปขอแฟนแต่งงานแล้วครับ
Last Updated ( Nov 05, 2007 at 02:07 PM )
... ขอขอบพระคุณ ... ท่านเจ้าของบทความ ... ที่ได้นำเสนออีกหนึ่งแง่มุมของชีวิตทหารหาญในดินแดนใต้ ... ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ...
