ปริมาณ แปรเปลี่ยนเป็นคุณภาพมั่งครับพี่.....
.....แบบเมกาสมัยWW II มีแนวความคิดว่าความหนาแน่นของกระสุนต่อพื้นที่เน้นสาดเข้าไปแยะ ๆ เดี๋ยวก็โดนเองส่วนเยอรมันเน้นคุณภาพแม่นเข้าว่า....... 
ครับ แนวคิดอำนาจการใช้อาวุธ/ยิงสูงสุดต่อพื้นที่มีมาตั้งแต่สมัยเริ่มจัดกระบวนทัพหนาแน่นเลย ก่อนยุคมีปืนเสียอีก แถวฟาลังก์กรีกหน้ากว้าง 10 เมตร จัดให้มีหอกทิ่มออกไปข้างหน้าได้ 30 เล่ม 3 แถวหน้าพุ่งตรงไปทั้งหมด ย่อมได้เปรียบในการปะทะมากกว่าแนว 10 เมตรที่มีหอกทิ่มออกไปแค่ 10 เล่ม เมื่อเริ่มมีปืนยิงช้ายุคแรกก็คล้ายกัน แนว 10 เมตร ปืน 10 กระบอก ยิงได้นาทีละ 2 นัด อัดกระสุนไปได้ 20 นัดต่อนาทีย่อมดีกว่าแนวปืน 5 กระบอก อัดกระสุนไปได้ 10 นัดต่อนาที ฟอน เคลาวิทส์ ก็ชอบเน้นเรื่องอำนาจการยิง/พื้นที่ ว่าต้องเคลื่อนกำลังไประดมยิงแนวที่ต้องการให้ได้มากกว่าการยิงของข้าศึก
ในการรบด้วนอาวุธสั้นจริงๆ ขบวนจะหนาแน่นมาก อย่างที่เห็นในหนัง เอลซิด ไม่ใช่แตกแถวออกมาดวลกันเป็นคู่ๆ อย่างในหนังหลายเรื่อง แถวหน้าเท่านั้นที่จะปะทะกัน แถวหลังรอให้คนหน้าล้มถึงจะเข้าถึงตัวข้าศึกได้ข้างไหนกระจายเป็นตัวบุคคลก็คือแตกทัพแล้ว เมื่อกองทัพครูเสดรบเข้าเมืองเยรูซาเล็ม บันทึกไว้ว่า แนวหน้าอัดกันแน่นมาก ทหารใช้ดาบเหวี่ยงฟันไม่ได้ต้องใช้ด้ามดาบทุบหน้าข้าศึก
จุดนี้เป็นความได้เปรียบของการล้อมแนวข้าศึก
โดยที่ฝ่ายล้อมต้องเป็นขบวนความหนาแน่นของแนวหน้าเท่าเดิม เมื่อแนวหน้ากว้างเท่ากัน ยิงได้เร็วเท่ากัน เวลาเราล้อม 2 ด้าน 3 ด้าน แนวโค้งโอบศูนย์กลาง แนวหน้าปะทะเรายาวกว่าฟันแทงได้มากกว่า ยิงใส่ได้มากกว่า
เทคนิกนี้ล้าสมัยไปเมื่อมีปืนยาวแมกกาซีนที่ยิงได้เร็วขนาดที่ไม่จำเป็นต้องเอาทหารมาเรียงแถวเป็นขบวนแน่น เพราะการกระจายขบวนก็ยิงคลุมพื้นที่ได้เพียงพอ และไม่ทำให้โดนยิงตายหมดก่อน อย่างไรก็ตาม เป็นเวลาหลายสิบปีกว่ายุทธวิธีจากตามอาวุธทัน มีการรบประจัญหน้าแบบเดิมๆ ไม่เน้นการกำบังตัว จนทหารตายไปเกินความจำเป็นมากๆ ครับ