


เสื้อเกราะ กันกระสุน พิทักษ์ชีวิต ลดการสูญเสีย
[/b] [/color]
ปัง...ปัง...ปัง...สิ้นเสียงนี้เมื่อไหร่
เจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ
พร้อมรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่และฝ่ายตรงข้าม
เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีให้เห็นกันแทบทุกวัน
การลอบยิงข้าราชการหรือแม้กระทั่งผู้บริสุทธิ์
ยังคงมีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ค่อย ๆ ลดน้อยลงไปทุกที ๆ
ทุกคนรู้อยู่แก่ใจถึงความเสี่ยงที่ตนเองอาจจะถูกลอบยิงเมื่อไหร่ก็ได้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นรายต่อไปเท่านั้นเอง...
เสื้อเกราะ จึงเป็นอุปกรณ์ป้องกันชีวิต
ที่ครูและเจ้าหน้าที่ของรัฐอุ่นใจได้ว่า...ชีวิตจะมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม
เสื้อเกราะ หรือเสื้อเกราะกันกระสุน หมายถึง
เสื้อหรือสิ่งใด ๆ ที่ผลิตหรือประกอบรวมขึ้นด้วยแผ่นเกราะ เพื่อป้องกันหรือ
ลดอันตรายจากกระสุนปืนที่ยิง บริเวณลำตัวของผู้ที่สวมใส่
ส่วนประกอบของเสื้อเกราะนั้น โดยทั่วไปจะประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ
เสื้อนอก (Outside Shell Carrier)
เป็นส่วนที่ใช้สำหรับรับแรงกระแทกอาจจะมีส่วนที่ใช้แผ่นเหล็ก หรือเซรามิก
เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับแรงกระแทก
ส่วนที่สองเรียก ว่า ส่วนยึดรั้ง (Fastening Sys- tem)
ใช้ยึดเสื้อเกราะกับร่างกายทำให้เกิดความกระชับ
และส่วนที่สาม แผ่นรับแรงกระแทก (Ballistic Panel)
ลักษณะเป็นใย ทอจากใยสังเคราะห์ เมื่อถูกแรงกระแทกจะเกิดการยึดตัว
ช่วยดูดซับพลังงาน เพื่อลดความเร็วของกระสุนที่ผ่านเข้ามา
มีการนำวัสดุประเภทใยสังเคราะห์มาผลิตเสื้อเกราะเพิ่มมากขึ้น
เพราะมีน้ำหนักเบา และมีความแข็งแรงกว่าโลหะ
วัสดุที่ใช้ในปัจจุบัน คือ เส้นใย อะรามิด(Aramid Fiber)
เป็นเส้นใยประเภท อลิเอไมด์ หรือไนลอน
มีความแข็งแกร่ง และแข็งแรงสูง สามารถคงรูปได้ดี
ทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 370 องศาเซลเซียส
หรืออาจจะเป็นเส้นใยโพลิเอทิลีน
ชนิดความแข็งแรงสูงยิ่งยวด (Ultra High Strength Polyethylene Fiber)
เป็นเส้นใยโพลีเอทิลีน ซึ่งกระบวนการผลิตต้องใช้เทคนิคพิเศษ
ทำให้มีความแกร่ง แข็งแรง น้ำหนักเบาและราคาถูกกว่าเส้นใย อะรามิด
แต่อุณหภูมิที่ใช้งานต่ำกว่า
เมื่อกระสุนวิ่งมากระทบกับเสื้อเกราะจะถูกยึดจับไว้ด้วยเส้นใยที่แข็งแรงมาก
เรียกกันว่า เว็บ (Web) เส้นใยเหล่านี้
จะดูดซับและกระจายพลังงานการกระแทกของกระสุนที่ส่งผ่านมายังตัวเสื้อ
เป็นผลให้กระสุนนั้นเกิดการบิดเบี้ยวหรือเสียรูปไป
พลังงานที่เกิดขึ้นนั้นจะถูกดูดซับไว้ด้วยแต่ละชั้นของเส้นใย
จนกระทั่งกระสุนนั้นหยุดลงในที่สุด
ดังนั้นการทอเส้นใยให้ยิ่งหนาแน่นมากเท่าไรก็
จะยิ่งมีความทนทานต่อแรงกระสุนมากขึ้นเท่านั้น
นี่คือลักษณะการทำงานของเสื้อเกราะ
ในขณะที่กระสุนมากระทบกับเสื้อเกราะ
พลังงานจากกระสุนจะถูกดูดซับและแพร่กระจายไปตามชั้นของเส้นใยเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุด
คือร่างกาย การกระแทกร่างกายจะเรียกว่า บลันท์ ทรอมา (Blunt Trauma)
หมายถึง อาการฟกช้ำ
ซึ่งอาการดังกล่าวจะต้องอยู่ในระดับที่ไม่ปรากฏอาการออกมาให้เห็น
ร่างกายของคนเราจะสามารถทนทานต่ออาการ บลันท์ ทรอมา ได้ปริมาณหนึ่ง
ซึ่งเราสามารถทดสอบ และคิดค่าออกมาได้เรียกว่า Back Face Signature
มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
ในปัจจุบันมีมาตรฐานการทดสอบเสื้อเกราะ อยู่หลายมาตรฐาน ที่นิยมใช้กัน
โดยมาตรฐานที่เก่าแก่ที่สุดได้แก่ มาตรฐานของ NIJ (U.S. National Institute of Justice)
เรียกว่า มาตรฐาน U.S. NIJ.0101. 03
มาตรฐานนี้ กำหนดค่า Back Face Signature เท่ากับ 44 มิลลิเมตร
ในปัจจุบันมีการปรับปรุงเป็น U.S. NIJ.0101.04
นอกจากนี้ยังมีมาตรฐาน U.S. PPAA 1989-05 กำหนดค่า 44 มิลลิเมตร เช่นเดียวกัน
แต่จำนวนนัดของกระสุนที่ยิงใส่เสื้อเกราะน้อยกว่า
ดังนั้นเสื้อเกราะบางชนิดสามารถผ่านมาตรฐาน PPAA ได้
แต่ไม่ผ่านมาตรฐาน NIJ.
ถือได้ว่ามาตรฐาน NIJ. เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุด
ทั้งในสหรัฐ ออสเตรเลีย เอเชีย ตะวันออกกลาง
และประเทศในยุโรปบางประเทศ เช่น ฟินแลนด์ และอังกฤษ
มาตรฐาน NIJ. กำหนดค่าระดับการป้องกัน ออกเป็น 6 ระดับ
เริ่มจากระดับ 1 สำหรับกระสุนขนาด .38 รีวอลเวอร์
ไปจนถึงระดับ 4 สำหรับกระสุนเจาะเกราะไรเฟิล ขนาด .30-06
ส่วนมาตรฐาน PPAA กำหนดค่าระดับการป้องกันออกเป็นเพียง 5 ระดับ (ไม่มีระดับ 1)
สำหรับประเทศไทยมีร่างมาตรฐานยุทโธปกรณ์
ที่จัดทำโดยคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์กระทรวงกลาโหม (กมย.กห.)
ว่าด้วยเกราะกันกระสุน
ซึ่งได้แปล วิเคราะห์ ประยุกต์ และเรียบเรียง ให้เหมาะสมกับประเทศไทย
โดยอิงมาตรฐาน U.S. NIJ.0101.04 ตามความจำเป็น
และเหมาะสมเพื่อมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยเป็นหลัก
ในคราวประชุมครั้งที่ 4/47 เมื่อ 25 ส.ค. 47 และครั้งที่ 5/47 เมื่อ 1 ก.ย. 47
ได้พิจาราณาแล้ว มีมติเห็นชอบให้การรับรองมาตรฐานยุทโธปกรณ์ฉบับนี้
เป็นมาตรฐานยุทโธปกรณ์กระทรวงกลาโหม
และยกเลิกมาตรฐานเสื้อเกราะกันกระสุน กห. ที่กำหนดตาม U.S. NIJ.0101.03
โดยสามารถจำแนกตามระดับความสามารถในการกันกระสุน ปืนได้เป็น 6 ระดับ
ระดับที่ 1 เป็นระดับที่สามารถกันกระสุนที่เป็นภัยคุกคามที่มีหัวกระสุนขนาด .22LR และ .380ACP ได้
ระดับที่ 2A สามารถป้องกันกระสุนในขนาด 9 มม. พาราฯ และกระสุนขนาด .40 S&W และระดับ 1 ได้
ระดับที่ 2 เสื้อเกราะแบบมาตรฐานใช้กันอย่างกว้างขวางทั่วโลก
เป็นเสื้อเกราะมาตรฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐ กันกระสุนได้เกือบทุกชนิด
ยกเว้นกระสุนปืนพกที่มีอำนาจการทะลุทะลวงสูง
ระดับที่ 3A เป็นระดับที่สามารถกันกระสุนปืนพกโดยทั่วไปได้
เป็นเสื้อเกราะที่ออกแบบโดยการรวมคุณสมบัติการป้องกันกระสุน
และป้องกันการเสียบแทงด้วยวัตถุมีคมเข้าด้วยกัน
สามารถป้องกันวัตถุมีคมได้ทุกชนิดที่มีแรง ไม่เกิน 81.2 ฟุต/ปอนด์
ระดับที่ 3 เสื้อเกราะชนิดพิเศษถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันกระสุนปืน 44 แมกนั่ม รีวอลเวอร์
ซึ่งโดยปกติ กระสุนชนิดนี้ สามารถทะลุทะลวงผ่านเสื้อเกราะคุณภาพต่ำได้
นอกจากนี้ยังสามารถกันกระสุนความเร็วสูงจำพวกกระสุนปืนพก
และปืนกลเบาขนาด 9 มิลลิเมตรได้ดี
และสุดท้าย ระดับที่ 4 เสื้อเกราะชนิดนี้
ถูกออกแบบมาสามารถกันกระสุนปืนเล็กยาวชนิดเจาะเกราะขนาด 30-40
และที่รุนแรงน้อยกว่าทั้งหมด
..........การมีเสื้อเกราะไว้ในครอบครองนั้น
จะต้องขอรับใบอนุญาตจากกรมการอุตสาหกรรมทหารเสียก่อนจึงจะนำมาใช้งานได้
ตาม พ.ร.บ. ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530
........เสื้อเกราะ คงช่วยให้เสียงร้องไห้และคราบน้ำตา เบาบางลงไปได้บ้าง...
ในอดีตมนุษย์ได้นำวัสดุหลากหลายมาทำเป็นเสื้อเกราะ
เพื่อใช้ในการป้องกันตัวเองจากอันตราย
เมื่ออยู่ในภาวะสงครามหรือสถานการณ์ที่เสี่ยงต่ออันตราย
โดยแรกเริ่มนั้น ชุดเกราะและโล่ถูกทำขึ้นจากหนังสัตว์
จากนั้นพัฒนาเป็นเกราะไม้และเกราะโลหะ
โดยโลหะมักใช้กับร่างกายดังที่เราคุ้นเคยกันดีกับภาพบรรดาอัศวินทั้งหลายในยุคกลาง
สวมใส่ขณะออกรบ
เมื่อเวลาผ่านไปเสื้อเกราะดังกล่าวก็ใช้ไม่ได้ผลกับอาวุธสมัยใหม่
จำพวกกระสุนปืนต่าง ๆ ซึ่งในเวลานั้นสิ่งที่ป้องกันกระสุนปืนได้ดีที่สุด
คือ ที่กำบังที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น กำแพงหินหรืออิฐ หรือที่กำบังธรรมชาติ
มีหลักฐานบันทึกไว้ว่าเสื้อเกราะอ่อนได้ถูกใช้เป็นครั้งแรก
โดยชาวญี่ปุ่นในยุคกลาง เป็นเสื้อเกราะที่ทำจากผ้าไหม
แต่ผลจากการศึกษาพบว่าเสื้อเกราะผ้าไหมนั้น
สามารถกันได้แต่กระสุนที่มีความเร็วต่ำ (400 ฟุต/วินาทีหรือน้อยกว่า)
โดยที่ไม่สามารถกันกระสุนปืนสมัยใหม่ที่มีความเร็วเกิน กว่า 600 ฟุต/ วินาทีได้
ดังนั้นเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการผลิตแล้วเสื้อเกราะผ้าไหมมีราคาสูงถึงตัวละ 800 ดอลลาร์สหรัฐ
(เทียบกับค่าของเงินใน ค.ศ. 1998 เท่ากับ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐ)
ทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับ
เสื้อเกราะกันกระสุนรุ่นต่อมาเกิดขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ถูกเรียกว่า แฟลค แจ๊กเกต ผลิตขึ้นจากไนลอนสามารถกันสะเก็ดระเบิด
และใช้ได้ผลอย่างดีกับการคุกคามของปืนพกและปืนไรเฟิล
แต่เสื้อเกราะชนิดนี้มีข้อจำกัด คือ มีขนาดใหญ่เทอะทะและใช้ได้แต่ในวงการทหารเท่านั้น
จนกระทั่งปลายยุค 1960 ค้นพบเส้นใยสังเคราะห์ชนิดใหม่เรียกว่า เคฟล่าร์ (Kevlar) ของดูปอง
ที่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นับจากนั้นเสื้อเกราะถูกผลิตขึ้นจากวัสดุต่าง ๆ จากหลายบริษัท
ข้อมูล : นาวาโทหญิงสุรวรรณ ลิ้มสัมพันธ์ หัวหน้าแผนกการวัตถุระเบิด
กองศึกษาและวิจัย กรมสรรพาวุธทหารเรือ Copy จาก นสพ. เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 25 ก.ค. 2548