เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 19, 2025, 02:36:08 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 394 395 396 [397] 398 399 400 ... 1105
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: *** หุ้ น 2 5 5 7 ***  (อ่าน 1052123 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
HOW
Hero Member
*****

คะแนน 92
ออฟไลน์

กระทู้: 1467


« ตอบ #5940 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 05:41:40 PM »

วันนี้เกรดวิชาที่ 2 ออกแล้วครับวิชา Advanced Economic ได้ B+ ก่อนเรียนจบอยากขอ A ให้ชื่นใจสักตัวก็พอแล้วครับ ปีหน้าเทอม 1 มีวิทยานิพนธ์ ว่าจะทำหัวข้อเกี่ยวกับหุ้นเทคนิคนี่แหละครับ...........Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า
HOW
Hero Member
*****

คะแนน 92
ออฟไลน์

กระทู้: 1467


« ตอบ #5941 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 05:43:49 PM »

ตอนนี้ยังถือเงินสดอยู่ครบทุกบาทเลยครับ ยังไม่ได้ซื้อตัวไหนเข้าไปเลย พี่สมชายได้ซื้อตัวไหนไว้หรือเปล่าครับ.......อยากจะขอแนวทางครับ Grin

ยังไม่ได้ซื้อเลยครับ... แต่เล็ง QH, GBX, ASIAN, AH, AP, BLS รอมันทำ New High + Volume ครับ...

ผมเล็ง CPALL กับ BEC ไว้พอไหวไหมครับ......
บันทึกการเข้า
HOW
Hero Member
*****

คะแนน 92
ออฟไลน์

กระทู้: 1467


« ตอบ #5942 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 05:48:00 PM »

วันนี้ต่างชาติขาย 603.44 ล้านบาทพรุ่งนี้ลุ้นต่อครับ.......Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5943 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 06:38:51 PM »

ตอนนี้ยังถือเงินสดอยู่ครบทุกบาทเลยครับ ยังไม่ได้ซื้อตัวไหนเข้าไปเลย พี่สมชายได้ซื้อตัวไหนไว้หรือเปล่าครับ.......อยากจะขอแนวทางครับ Grin

ยังไม่ได้ซื้อเลยครับ... แต่เล็ง QH, GBX, ASIAN, AH, AP, BLS รอมันทำ New High + Volume ครับ...

ผมเล็ง CPALL กับ BEC ไว้พอไหวไหมครับ......

CPALL ดูดีกว่า BEC ครับ... แล้วก็บังเอิญเห็น Centel เพิ่มเข้ามาอีกตัวนึง...

ดูไปดูมามันตั้งท่าขึ้นเป็นแผงเลยครับ... ตลาดเปลี่ยนเป็นกระทิงเอาวันนี้เอง เชื่อเลย... ฮา...
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5944 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 06:43:19 PM »

ASP, BLS ก็ตั้งรูปเด้งขึ้น...
บันทึกการเข้า
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #5945 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 06:55:26 PM »

ขอรบกวนพี่สมชายสักนิดนึงครับผม  ไหว้

คือว่าผมจะเปิดบัญชีเงินสดเครดิตไลท์ ATS T+3

ทางโบรกเกอร์ให้วงเงิน3เท่า จากเงินสดในบัญชีCash Balance ที่ผมใช้อยู่เดิม

คือผมสงสัยนิดนึง T+3 นี่คือถ้าเราซื้อแล้วไม่ขายหุ้นภายใน3วันทำการ เราต้องเอาเงิน(ค่าหุ้น)เข้าแบงค์ ให้ทางโบรกฯหักใช่มั้ยครับ

แต่ถ้าเราซื้อ-ขายจบภายใน1-3วัน เราก็ไม่มีภาระอะไรกับโบรกฯใช่มั้ยครับ

แต่ถ้าเราขาดทุน เราต้องโอนเข้าเพื่อจ่ายส่วนต่าง ที่ขาดทุนใช่มั้ยครับ  Huh 
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5946 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:17:12 PM »

ขอรบกวนพี่สมชายสักนิดนึงครับผม  ไหว้

คือว่าผมจะเปิดบัญชีเงินสดเครดิตไลท์ ATS T+3

ทางโบรกเกอร์ให้วงเงิน3เท่า จากเงินสดในบัญชีCash Balance ที่ผมใช้อยู่เดิม

คือผมสงสัยนิดนึง T+3 นี่คือถ้าเราซื้อแล้วไม่ขายหุ้นภายใน3วันทำการ เราต้องเอาเงิน(ค่าหุ้น)เข้าแบงค์ ให้ทางโบรกฯหักใช่มั้ยครับ

แต่ถ้าเราซื้อ-ขายจบภายใน1-3วัน เราก็ไม่มีภาระอะไรกับโบรกฯใช่มั้ยครับ

แต่ถ้าเราขาดทุน เราต้องโอนเข้าเพื่อจ่ายส่วนต่าง ที่ขาดทุนใช่มั้ยครับ  Huh  

ไม่รู้ว่าจะตรงกับที่นายสมชายใช้อยู่หรือเปล่านะครับ...

คือเขาให้เครดิตเราจำนวนหนึ่ง สมมติว่า 100 บาท, เราซื้อ/ขายได้ทั้งวันโดยมีมูลค่าซื้อหักมูลค่าหุ้นขายแล้วไม่เกินวงเงินเครดิต 100 บาท... T+3 คือในวันที่ 3 (นับ 1 วันพรุ่งนี้)เขาจะมาล้วงเอาเงินในบัญชีไป ซึ่งในทางตรงข้าม หากเราซื้อแล้วขายหมดในวันเดียวได้กำไร เขาก็จะเอาเงินมาใส่ในวันเดียวกันนี้ครับ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 14, 2010, 07:21:25 PM โดย นายสมชาย(ฮา) - รักในหลวง » บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5947 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:24:04 PM »

ลืมบอกครับ... เขาคิดเงินในสิ้นวันที่ซื้อขายครับ แต่จ่ายเงินอีก 3 วัน, ไม่ใช่"เราซื้อ-ขายจบภายใน1-3วัน เราก็ไม่มีภาระอะไรกับโบรกฯ"นะครับ...
บันทึกการเข้า
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #5948 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:43:26 PM »

ขอรบกวนพี่สมชายสักนิดนึงครับผม  ไหว้

คือว่าผมจะเปิดบัญชีเงินสดเครดิตไลท์ ATS T+3

ทางโบรกเกอร์ให้วงเงิน3เท่า จากเงินสดในบัญชีCash Balance ที่ผมใช้อยู่เดิม

คือผมสงสัยนิดนึง T+3 นี่คือถ้าเราซื้อแล้วไม่ขายหุ้นภายใน3วันทำการ เราต้องเอาเงิน(ค่าหุ้น)เข้าแบงค์ ให้ทางโบรกฯหักใช่มั้ยครับ

แต่ถ้าเราซื้อ-ขายจบภายใน1-3วัน เราก็ไม่มีภาระอะไรกับโบรกฯใช่มั้ยครับ

แต่ถ้าเราขาดทุน เราต้องโอนเข้าเพื่อจ่ายส่วนต่าง ที่ขาดทุนใช่มั้ยครับ  Huh 

ไม่รู้ว่าจะตรงกับที่นายสมชายใช้อยู่หรือเปล่านะครับ...

คือเขาให้เครดิตเราจำนวนหนึ่ง สมมติว่า 100 บาท, เราซื้อ/ขายได้ทั้งวันโดยมีมูลค่าซื้อหักมูลค่าหุ้นขายแล้วไม่เกินวงเงินเครดิต 100 บาท... T+3 คือในวันที่ 3 (นับ 1 วันพรุ่งนี้)เขาจะมาล้วงเอาเงินในบัญชีไป ซึ่งในทางตรงข้าม หากเราซื้อแล้วขายหมดในวันเดียวได้กำไร เขาก็จะเอาเงินมาใส่ในวันเดียวกันนี้ครับ...


1 คือถ้าเราถือหุ้นไม่ขาย ภายในอีก3วันทำการ เราต้องหาเงินค่าหุ้นที่ซื้อจำนวนนั้นมาให้โบรกใช่มั้ยครับพี่

2 แต่ถ้าเราขายหุ้น ได้กำไรก่อน3วัน เค้าก็จะเอากำไรโอนให้เราอีกใน3วันทำการ

3 แต่ถ้าเราซื้อ-ขายแล้วขาดทุน เราก็ต้องรีบหาเงินเข้าบัญชีให้โบรกหักเงิน(ส่วนที่ขาดทุน)ตามกำหนดT+3

ขอบคุณอีกทีครับพี่สมชาย  ไหว้

บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #5949 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 08:15:36 PM »

บัญชี3แบบ ของKT-ZMICO

ประเภทบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์

1. บัญชีวางเงินฝากล่วงหน้า (Cash Balance Basis)

ภายใต้บัญชีเงินสดประเภทนี้ ท่านจะสามารถส่งคำสั่งผ่านระบบออนไลน์ได้หลังจากโอนเงินฝากล่วงหน้ามาที่บริษัทฯแล้ว ทั้งนี้บริษัทฯมิได้กำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำในการโอนไว้แต่อย่างใด ท่านสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้ตามยอดเงินฝากหรือเงินคงเหลือในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของท่าน

ทันทีที่ท่านส่งคำสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ ระบบจะลดวงเงินการซื้อขายเท่ากับมูลค่าของคำสั่งนั้นๆ หากคำสั่งซื้อนั้นไม่ได้รับการยืนยัน (จนกระทั่งตลาดฯปิดทำการ) หรือคำสั่งถูกยกเลิก วงเงินการซื้อขายของท่านจะถูกปรับมาเท่าเดิมสำหรับคำสั่งขายนั้น ระบบจะเพิ่มวงเงินการซื้อขายหลังจากคำสั่งขายได้รับการยืนยันเท่านั้น

ระบบการรับ/ชำระราคา
ปัจจุบันการชำระค่าซื้อขายรวมถึงการส่งมอบหลักทรัพย์จะต้องอยู่ภายใต้หลักการ T+3 (จะต้องดำเนินการ ให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วันทำการหลังจากวันที่ซื้อขายหลักทรัพย์) ในการชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ บริษัทฯจะหักเงินค่าซื้อออกจากยอดเงินคงเหลือที่มีอยู่ในบัญชีออนไลน์ของท่านในวันที่ T+3 สำหรับค่าขายหลักทรัพย์ บริษัทฯจะโอนเข้าบัญชีออนไลน์ของท่านในวันที่ T+3 เช่นกัน




2. บัญชีเงินสดแบบเครดิตไลน์ (Cash Credit Limit Basis)

วงเงินในการซื้อขายหลักทรัพย์จะพิจารณาตามเอกสารทางการเงินของท่าน, ทรัพย์สินที่ท่านมีอยู่กับบริษัทฯ และประวัติการซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อวงเงินการซื้อขายหลักทรัพย์ (Credit Line) ของท่านได้รับการอนุมัติ ท่านสามารถตรวจสอบ วงเงินการซื้อขายได้จากช่อง "Buying Limit" ในหน้าจอ Trading Account

ระบบการรับ/ชำระราคา
ในการซื้อขายหลักทรัพย์แบบเครดิตไลน์ บริษัทฯจะรับ/ชำระค่าซื้อ/ขายหลักทรัพย์ จากบัญชีเงินฝาก(ธนาคาร) ตามที่ท่านแจ้งไว้ผ่านระบบ ATS ในวันที่ T +3 อาทิเช่น ค่าขายหลักทรัพย์ บริษัทฯจะโอนค่าขายหลักทรัพย์เข้าบัญชีเงินฝาก ( ธนาคาร) ผ่านระบบ ATS ในวันที่ T +3 เป็นต้น

กรณีที่ลูกค้าผิดนัดชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ จะต้องชำระค่าปรับดังนี้

ค่าปรับ 1,000 บาทต่อวันทำการ
ดอกเบี้ยค้างชำระอัตรา 21 % ต่อปี
หากท่านมีความประสงค์จะใช้ระบบบัญชีเงินสดแบบเครดิตไลน์ กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่การตลาดผู้ดูแลบัญชัี เพื่อขอทราบรายละเอียด

หมายเหตุ : บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ ในการพิจารณาอนุมัติเป็นกรณีไปตามแต่เห็นสมควร





3. บัญชีเงินกู้เครดิตบาล้านซ์ (Credit ฺBalance Basis)

ระบบเครดิตบาล้านซ์เป็นรูปแบบการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัีพย์ (Margin Loan) ซึ่งลูกค้าต้องนำเงินมาวางเป็นประกันการชำระหนี้กับบริษัทฯก่อนการซื้อหลักทรัพย์ โดยอำนาจซื้อของลูกค้าจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ลูกค้านำมาวางและมูลค่าหลักทรัพย์ที่ซื้อและที่วางเป็นประกัน ทั้งนี้บริษัทฯต้องทำการ Mark to Market หลักทรัพย์ที่เป็นประกันทุกวัน ซึ่งผลจากการ Mark to Market จะทำให้อำนาจซื้อ
ของลูกค้าเพิ่ม/ลดโดยอัตโนมัติตามมูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ของลูกค้าโดยไม่มีการคำนวณกำไร/ขาดทุน ของหลักทรัพย์แต่ละรายการเหมือนในระบบเดิม

การซื้อขายหลักทรัพย์


ก่อนการซื้อขายหลักทรัพย์  ลูกค้าจะต้องนำเงินมาวางเป็นประกัน  ซึ่งเงินที่ลูกค้าวางเป็นประกันนี้  บริษัทฯจะแยกออกจากบัญชีบริษัทฯและนำไปลงทุนตามที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.  โดยระบุเป็น “บัญชีของบริษัทฯ เพื่อลูกค้า“
ในกรณีที่ลูกค้าซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีฯ  บริษัทฯจะหักเงินที่ลูกค้าวางเป็นประกันเพื่อชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ก่อน  หากไม่พอที่จะชำระค่าซื้อ ส่วนที่เหลือจึงจะเป็นเงินให้กู้ยืม  ซึ่งบริษัทฯจะคิดดอกเบี้ยจากเงินที่ให้กู้ยืมตามอัตราที่กำหนด  ในขณะเดียวกันเงินของลูกค้าที่วางเป็นประกันในส่วนที่ยังไม่ได้นำไปชำระค่าซื้อ บริษัทฯจะให้ดอกเบี้ยเงินฝากแก่ลูกค้าตามอัตราที่กำหนด อัตราดอกเบี้ยทั้ง 2 กรณีนี้ บริษัทฯจะประกาศให้ทราบ ณ ที่ทำการของบริษัทฯ ทุกๆ ต้นเดือน
บริษัทฯ ไม่อนุญาตให้ลูกค้าซื้อเกินกว่าอำนาจซื้อที่คำนวณได้ และไม่อนุญาตให้ลูกค้าขายหลักทรัพย์โดยไม่มีหลักทรัพย์ในบัญชี
ในกรณีที่ลูกค้าขายหลักทรัพย์ หรือนำเงินมาวางเพิ่ม  บริษัทฯจะนำเงินที่ได้รับมาหักหนี้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่มีอยู่เดิมก่อน  ส่วนที่เหลือนำฝากเข้าเป็นหลักประกันในบัญชีเครดิตบาล้านซ์

หลักทรัพย์ที่อนุญาตให้ซื้อในบัญชีเครดิตบาล้านซ์


บริษัทฯจะจัดทำรายชื่อหลักทรัพย์ที่อนุญาตให้ซื้อในบัญชีมาร์จิ้น (Marginable Securities) และอัตรามาร์จิ้น ของแต่ละหลักทรัพย์  โดยจะทำการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และ ติดประกาศ ณ ที่ทำการของบริษัทฯ ทุกๆ ต้นเดือน
บริษัทฯสงวนสิทธิที่จะทำการปรับปรุงรายชื่อหลักทรัพย์ที่อนุญาตให้ซื้อในบัญชีมาร์จิ้น หรืออัตรามาร์จิ้นของแต่ละหลักทรัพย์ได้ตามความเหมาะสม
การเรียกหลักประกันเพิ่ม (Call Margin 35%)

ในกรณีที่ทรัพย์สินรวมของลูกค้า (Equity) ลดลงจนต่ำกว่ามูลค่าหลักประกันที่ต้องดำรงไว้ (Maintenance Margin Requirement) บริษัทฯจะห้ามไม่ให้ลูกค้าทำการซื้อหลักทรัพย์ และลูกค้าต้องนำทรัพย์สินมาวางเป็นหลักประกันเพิ่ม จนทำให้ทรัพย์สินรวมของลูกค้า (Equity) เท่ากับหรือสูงกว่ามูลค่าหลักประกันที่ต้องดำรงไว้ หากลูกค้าไม่นำทรัพย์สินมาวางเป็นหลักประกันเพิ่มภายใน 5 วันทำการ  บริษัทฯอาจบังคับชำระหนี้เงินกู้จากทรัยพ์สินที่วางเป็นประกันได้ในวันทำการถัดไป จนทำให้ทรัพย์สินรวมของลูกค้าสูงกว่ามูลค่าหลักประกันที่ต้องดำรงไว้ (Maintenance Margin Requirement)
อนึ่งทรัพย์สินที่นำมาวางเป็นหลักประกันได้นั้นต้องเป็นทรัพย์สินตามบัญชีรายชื่อที่บริษัทฯประกาศไว้ ณ ที่ทำการของบริษัทฯ และลูกค้าจะต้องดำเนินการให้บริษัทฯมีบุริมสิทธิเหนือหลักประกันดังกล่าว
การบังคับชำระหนี้ (Force Sell 25%)

ในกรณีที่ทรัพย์สินรวมของลูกค้า (Equity)  ลดลงจนเท่ากับหรือต่ำกว่ามูลค่าหลักประกันขั้นต่ำ (Minimum Margin Requirement)  บริษัทฯจะทำการบังคับชำระหนี้เงินกู้จากทรัพย์สินที่วางเป็นประกันในวันทำการถัดไป  จนทำให้ทรัพย์สินรวมของลูกค้าสูงกว่ามูลค่าหลักประกันขั้นต่ำ
หากท่านมีความประสงค์จะใช้ระบบบัญชีเงินกู้เครกิตบาล้านซ์ กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่การตลาดผู้ดูแลบัญชี เพื่อขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม 

หมายเหตุ : บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ ในการพิจารณาอนุมัติเป็นกรณีไปตามแต่เห็นสมควร
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5950 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 08:18:12 PM »

ตอบข้อ 1 ... สมมติว่าวันที่ 1 ม.ค. ซื้อหุ้นเป็นเงิน 100 บาท, 16.30 น. ไม่ขายทิ้ง ถือข้ามคืน, วันที่ 4 ม.ค. เขาจะมาล้วงเอาเงินไปครับ...

ตอบข้อ 2 ... หุ้นที่ซื้อในข้อ 1 หากขายหุ้นไปในวันที่ 2 ม.ค. ,วันที่ 5 ม.ค. เขาจะโอนเงินมาใส่แบงค์ให้เราครับ...

ตอบข้อ 3 ... หุ้นที่ซื้อในข้อ 1 หากขายก่อนปิดตลาดเย็น(Net Settlement) หากกำไรเขาจะเอาเงินมาใส่ในวันที่ 4 ม.ค, แต่ถ้าขาดทุนเขาจะมาล้วงเอาเงินไปครับ...
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5951 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 08:19:49 PM »

นายสมชายใช้แบบที่ 2 ครับ...
บันทึกการเข้า
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #5952 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 08:24:59 PM »

ตอบข้อ 1 ... สมมติว่าวันที่ 1 ม.ค. ซื้อหุ้นเป็นเงิน 100 บาท, 16.30 น. ไม่ขายทิ้ง ถือข้ามคืน, วันที่ 4 ม.ค. เขาจะมาล้วงเอาเงินไปครับ...

ตอบข้อ 2 ... หุ้นที่ซื้อในข้อ 1 หากขายหุ้นไปในวันที่ 2 ม.ค. ,วันที่ 5 ม.ค. เขาจะโอนเงินมาใส่แบงค์ให้เราครับ...

ตอบข้อ 3 ... หุ้นที่ซื้อในข้อ 1 หากขายก่อนปิดตลาดเย็น(Net Settlement) หากกำไรเขาจะเอาเงินมาใส่ในวันที่ 4 ม.ค, แต่ถ้าขาดทุนเขาจะมาล้วงเอาเงินไปครับ...

 ไหว้ขอบคุณครับพี่สมชาย แจ่มแจ้งแล้ว (ผมหัวไม่ค่อยดีครับ)  คิก คิก


วงเงินสะใจดีนะครับ ถ้าเสียล่ะสยองเลย เอาไว้เวลามั่นๆครับ ช่วงนี้กระสุนหมด รถแจ๊สติดบนดอย ไม่มีน้ำมัน รอจ้าวมาช่วยครับ  Grin

สไตล์พี่สมชายคงชอบ อย่างบางตัววันนี้นะครับ แรงจริงๆ เครดิตเยอะๆ ตามน้ำเก่งๆ  เยี่ยม
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #5953 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 09:11:10 PM »

จ้าวมาแล้ว มาช่วยซื้อหน่อย มันลงมาหลายวันแร้วววว  หัวเราะร่าน้ำตาริน 

บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #5954 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2010, 10:43:14 AM »

วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 17:33:12 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


เปิดทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทย′53 "ทองมา" พฤกษาครองแชมป์คนใหม่ ตระกูล"มาลีนนท์"รวยสุด4.4หมื่นล้าน

ทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทย 2010 ต้อนรับแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยคนใหม่ ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ รวยสูงสุด 3.1 หมื่นล้าน ตามด้วยอันดับ 2 คีรี กาญจนพาสน์ ครองหุ้นรวม 1.78 หมื่นล้าน รวยขึ้นกว่า 5 หมื่นเปอร์เซ็นต์ ด้าน อนันต์ อัศวโภคิน ร่วงนั่งที่ 3 รวย 1.76 หมื่นล้าน ส่วนมาลีนนท์ครองแชมป์ตระกูลเศรษฐีหุ้น 12 ปีซ้อน 10 เครือญาติครองหุ้นรวม 4.4 หมื่นล้าน

         นับเป็นปีที่ 17 แล้ว ที่วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการจัดอันดับ"เศรษฐีหุ้นไทย"มาอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของเศรษฐีหุ้นในปี 2553 ซึ่งวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดก่อนวันที่ 30 กันยายน 2553 จำนวน 5,495 ราย มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวมทั้งสิ้น 690,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ถึง 235,771 ล้านบาท หรือ 51.88% .


          สาเหตุที่ความมั่งคั่งของเศรษฐีหุ้นไทยในปีนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงสุดถึงกว่า 235,000 ล้านบาท เนื่องจากตลาดหุ้นไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความโดดเด่นในภูมิภาค ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ณ วันที่ 30 กันยายน 2553 ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณมูลค่าการถือครองหุ้นของบรรดาเศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2553 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 258.23 จุดจากช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 975.30 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึง 36.01%
          สำหรับผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม 2553 ปรากฏว่า ตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2553 ตกเป็นของ "ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์" ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) หลังจากครองตำแหน่งเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 2 ติดต่อกันมาถึง 4 ปี โดยปีนี้ ทองมา ถือครองหุ้นมูลค่ารวม 31,422.25 ล้านบาท จากการถือหุ้น PS ในสัดส่วน 58.60% รวยเพิ่มขึ้น 15,591.83 ล้านบาท หรือ 98.49% เนื่องจากราคาหุ้น PS ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.60 บาท หรือ 107.69% จาก 11.70 บาท มาอยู่ที่ 24.30 บาท เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2553
          ความมั่งคั่งของแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยคนล่าสุด “ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์” เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งที่นำ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 6 ธันวาคม 2548 โดยราคาหุ้น PS ในตอนนั้นอยู่ที่ 6.55 บาท ส่งผลให้ทองมา ก้าวเข้ามาติดอยู่ในทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในปี 2549 โดยเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ที่มีมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 8,848.33 ล้านบาท
          จากนั้นทองมาก็ยึดตำแหน่งเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ติดต่อกันอีก 3 ปี โดยในปี 2550 ถือครองหุ้นมูลค่า 11,153.95 ล้านบาท ปี 2251 ถือครองหุ้นมูลค่า 9,599.16 ล้านบาท และปี 2552 ถือครองมูลค่า 15,830.43 ล้านบาท
          เศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ในปีนี้ ได้แก่ คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) โดยถือหุ้น BTS ในสัดส่วน 38.69% รวมมูลค่า 17,816.15 ล้านบาท ก้าวกระโดดจากอันดับ 1,631 ในปีที่แล้วที่ คีรี ถือหุ้น บมจ.ธนายง (TYONG) มูลค่าเพียง 34.07 ล้านบาท คิดเป็นความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 17,782.08 ล้านบาท หรือ 52,194.11% ส่งผลให้ คีรี รั้งตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยที่มีมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นสูงสุดไปอีกตำแหน่งในปีนี้
          สำหรับแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย 7 ปีซ้อน อนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ปีนี้ร่วงมาอยู่ในอันดับ 3 ถึงแม้ว่าหุ้นที่ถือครองจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนก็ตาม โดยปีนี้ อนันต์ ถือครองหุ้นมูลค่ารวม 17,635.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,667.96 ล้านบาท หรือ 10.45% ประกอบด้วยหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ (LH) 23.76% มูลค่า 17,631.53 ล้านบาท และ บมจ.แมนดาริน โฮเต็ล (MANRIN) 1.67% มูลค่า 3.77 ล้านบาท
          ด้าน ประวิทย์ มาลีนนท์ แห่งช่อง 3 ยังคงยึดตำแหน่งเศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ไว้ได้อีกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยหุ้น บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) ที่ประวิทย์ถือในสัดส่วน 11.42% มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 3,688.66 ล้านบาท หรือ 71.46% ความมั่งคั่งของประวิทย์ในปีนี้จึงเพิ่มขึ้นเป็น 8,850.50 ล้านบาท
          ส่วนเศรษฐีหุ้นอันดับ 5 ได้แก่ วรวิทย์ วีรบวรพงศ์ เจ้าของสยามแก๊ส เศรษฐีหุ้นที่เพิ่งเข้ามาติดทำเนียบในอันดับ 6 เมื่อปีที่แล้วเป็นครั้งแรก โดย วรวิทย์ ถือหุ้น บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) 54.13% รวมมูลค่า 8,793.67 ล้านบาท รวยขึ้นถึง 4,473.97 ล้านบาท หรือ 103.57%
          ด้านทายาทโอสถสภา นิติ โอสถานุเคราะห์ ถูกเบียดร่วงลงจากอันดับ 3 มาอยู่ในอันดับ 6 ในปีนี้ แม้ว่าราคาหุ้นในพอร์ตโดยรวมจะปรับเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม โดยนิติถือครองหุ้นมูลค่ารวม 7,701.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,967.69 ล้านบาท หรือ 34.32%
          ส่วนเศรษฐีหุ้นอันดับ 7 ตกลงมาจากอันดับ 5 เมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ วิโรจน์ ธนาลงกรณ์ เจ้าของธุรกิจเสื้อชั้นในยี่ห้อ “ซาบีนา” โดยมีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวม 6,328.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,947.88 ล้านบาท หรือ 44.47%
          เศรษฐีหุ้นอันดับ 8-10 ปีนี้ตกเป็นของ 3 พี่น้องแห่งตระกูลมาลีนนท์ซึ่งมีมูลค่าหุ้นที่ถือครอง หุ้น บมจ.บีอีซี เวิล์ด (BEC) ใกล้เคียงกัน โดยเศรษฐีหุ้นอันดับ 8 ได้แก่ ประชุม มาลีนนท์ ถือครองหุ้นมูลค่า 6,148.51 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 2,550.20 ล้านบาท หรือ 70.87% เศรษฐีหุ้นอันดับ 9 ได้แก่ รัตนา มาลีนนท์ ถือหุ้นครองหุ้นมูลค่า 6,130.08 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 2,548.27 ล้านบาท หรือ 71.14% และเศรษฐีหุ้นอันดับ 10 ได้แก่ อัมพร มาลีนนท์ ถือครองหุ้นรวมมูลค่า 6,129.31 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 2,548.44 ล้านบาท หรือ 71.17%



           สำหรับตระกูลเศรษฐีหุ้นไทย ปีนี้นับเป็นปีที่ 12 แล้ว ที่ตระกูลมาลีนนท์ ยังคงครองตำแหน่งแชมป์ตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยเครือญาติในตระกูลมาลีนนท์จำนวน 10 คน ได้แก่ ประวิทย์ ประชุม ประสาร รัตนา อัมพร สกลศรี ปิยวดี นิภา เทรซีแอน และแคทลีน มาลีนนท์ ถือครองหุ้นรวมกันมีมูลค่าทั้งสิ้น 44,176.45 ล้านบาท คิดเป็นความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นถึง 18,306.34 ล้านบาท หรือ 70.76% ตระกูลมาลีนนท์ก้าวเข้ามาเป็นแชมป์ตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2540 หลังจากที่นำ บมจ.บีอีซี เวิล์ด (BEC) เจ้าของไทยทีวีสี ช่อง 3 เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2539 ซึ่งนอกเหนือจากหุ้น BEC แล้ว ยังมีหุ้นที่เครือญาติในตระกูลมาลีนนท์ถือครองอีก 3 บริษัทคือ บมจ.ศิครินทร์ (SKR) บมจ.เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE) และบมจ.โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา (CENTEL)


            ส่วนตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ได้แก่ ตระกูลวิจิตรพงศ์พันธุ์ ของแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยประจำปีนี้ โดยครอบครัววิจิตรพงศ์พันธ์ นำโดย ทองมา และภรรยา ทิพย์สุดา รวมทั้งทายาท มาลินี-ชัญญา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ถือครองหุ้น PS ที่ทำโครงการหมู่บ้านจัดสรรแบรนด์ “พฤกษา” รวมมูลค่า 37,618.75 ล้านบาท รวยขึ้นถึง 18,804.83 ล้านบาท หรือ 99.95%     

             ตระกูลอัศวโภคิน ปีนี้ตกลงไปอยู่อันดับ 3 โดย 6 เครือญาติ อนันต์ อนุพงษ์ ทรงพล บุญทรง สุดา และอภิชิต ถือครองหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) บมจ.แมนดาริน โฮเต็ล (MANRIN) และ บมจ.เอพี พร๊อพเพอร์ตี้ (AP) รวมมูลค่าทั้งสิ้น 21,868.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,753.46 ล้านบาท หรือ 8.72% ตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ได้แก่ กาญจนพาสน์ โดยมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นถึง 1,135.90% หรือ 18,629.49 ล้านบาท จากการถือครองหุ้น บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ของ คีรี และกวิน กาญจนพาสต์ และการถือครองหุ้น บมจ.บางกอกแลนด์ (BLAND) ของอนันต์ และ สาคร กาญจนพาสน์ คิดเป็นมูลค่าหุ้นที่ตระกูลกาญจนพาสน์ถือครองรวมทั้งสิ้น 20,269.56 ล้านบาท
          ส่วนตระกูลจิราธิวัฒน์ แห่งเซ็นทรัล ปีนี้อยู่ในอันดับ 5 โดยมีเครือญาติในตระกูลที่ติดอันดับเศรษฐีหุ้นมากที่สุดถึง 30 คน ถือครองหุ้นรวมกันทั้งสิ้น 18,325.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,039.41 ล้านบาท หรือ 37.93%
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
หน้า: 1 ... 394 395 396 [397] 398 399 400 ... 1105
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.068 วินาที กับ 21 คำสั่ง