เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 17, 2025, 06:42:14 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 470 471 472 [473] 474 475 476 ... 1105
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: *** หุ้ น 2 5 5 7 ***  (อ่าน 1050415 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #7080 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 10:54:17 AM »

มองตลาดหุ้นแบบ VI/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร   
 

แวะมาแปะก่อนนอน...
Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=46910
Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"

------------------------------------------------
โลกในมุมมองของ Value Investor          6 มีนาคม 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

  เมื่อศึกษาการลงทุนแบบ Value Investment มากขึ้นเรื่อย ๆ  คนที่เป็น VI จำนวนไม่น้อยอาจจะได้ความรู้สึกว่าการเป็นนักลงทุนแบบ VI นั้น   เราจะไม่สนใจภาวะตลาดหุ้น  สิ่งที่เราสนใจเพียงอย่างเดียวก็คือ  ตัวหุ้นหรือบริษัทจดทะเบียน  ถ้าหุ้นตัวนั้นมีมูลค่าที่แท้จริงหรือ Intrinsic Value สูงกว่าราคาหุ้นและมีส่วนต่างหรือ  Margin of Safety สูงพอ  เราก็ซื้อหุ้น  ภาวะเศรษฐกิจหรือภาวะตลาดที่วัดโดยดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรเราไม่สน  เหตุผลก็เพราะว่าเราไม่สามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นได้  เหนือสิ่งอื่นใด  เราไม่ได้ซื้อตลาด  เราซื้อตัวหุ้น  นั่นก็คือแนวคิดและปรัชญาของ VI  แต่นี่เป็นเรื่องจริงหรือพูดกันแบบเท่ ๆ ?
  ในความเห็นของผม  เรื่องของภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนั้น  ผมคิดว่า VI จะต้องสนใจ  เพียงแต่ว่าความสนใจนั้น  จะเป็นประเด็นใหญ่ ๆ  และกว้าง ๆ  และโดยทั่วไปแล้วมักไม่เป็นประเด็นที่จะทำให้เราต้องซื้อขายหุ้น  อย่างเช่นถ้ามีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้หรือปีหน้าจะโต 5%  หรือ 4%  หรือ 6%  หรือแม้แต่ 3%  ซึ่งแสดงถึงความตกต่ำทางเศรษฐกิจ  ผมก็ไม่เห็นจำเป็นว่าจะต้องขายหุ้นหรือปรับพอร์ตอะไรเนื่องจากข้อมูลหรือความเห็นแบบนี้  และนี่ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้  “ปรมาจารย์ VI”  ทั้งหลายสอนว่าเราไม่จำเป็นต้องสนใจภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินและตลาดหุ้น
  เวลาที่มองตลาด  ผมสนใจอะไร?   สิ่งที่ผมสนใจก็คือ  ภาวะแวดล้อมที่เป็นเรื่องของ “Value”  ผมอยากรู้ว่าภาวะตลาดโดยรวมนั้นเอื้ออำนวยต่อการลงทุนแบบ Value Investment มากน้อยแค่ไหน  นั่นก็คือ  ถ้าหุ้นส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างถูก  โอกาสที่ผมจะได้หุ้นคุณภาพดีราคาถูกก็จะมีสูงขึ้นโดยที่ความเสี่ยงในการลงทุนในระยะยาวจะต่ำ   ตรงกันข้าม  ถ้าภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย  หุ้นส่วนใหญ่ราคาแพงหรือไม่ถูกแล้ว  โอกาสที่ผมจะได้หุ้นดีราคาถูกก็น้อยลง  บางคนอาจจะบอกว่าไม่เกี่ยว  เพราะตราบใดที่เราพบหุ้นคุณค่าและหุ้นมี Margin of Safety สูง  อย่างไรเสียมันก็ต้องเป็นหุ้นคุณค่าและเราก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ   แต่นี่เป็นเหตุผลที่ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าเรารู้จริงและมั่นใจเต็มร้อยว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเป็นเท่าไร  แต่ถ้าความเป็นจริงก็คือ  เราไม่รู้หรือคาดผิด  ก็มีโอกาสที่เราจะขาดทุนได้ง่าย 
ประเด็นของผมก็คือ  ในยามที่ตลาดหุ้นดีและภาวะทางเศรษฐกิจสดใส  โอกาสที่เราจะวิเคราะห์หุ้นผิดพลาดจะมีมากกว่า  เพราะในยามนั้นบริษัทธรรมดาบางแห่งอาจจะมีผลการดำเนินงานที่ดีเลิศและราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงลิ่วจนทำให้เราเข้าใจผิดว่ามันเป็นซุปเปอร์สต็อก  ถ้าจะพูดไปมันก็คงคล้าย ๆ  กับคำกล่าวที่ว่า  “ในยามที่ลมหนุนแรง  แม้แต่ไก่งวงก็บินได้  และด้วยตัวที่ใหญ่โตและในทัศนะวิสัยที่มืดมัว  เราอาจจะคิดว่ามันเป็นพญาอินทรีย์”
  ภาวะตลาดแบบไหนที่เป็นภาวะ  “ในฝัน” ของ VI ?  ลองมาดู “ช่วงทองของ VI” ครั้งแรกที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ  กับกำเนิดแนวความคิด VI ในปี 1934 ซึ่งเป็นปีที่หนังสือ Securities Analysis ของ เบน เกรแฮม ถูกตีพิมพ์ในตลาดหุ้นสหรัฐดู
  “ตลาดหุ้นในช่วงนั้นมีราคาถูกมากจนกระทั่งผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงเกือบ 10% ต่อปี และมันยังสูงกว่า 6% ต่อปีกว่าหนึ่งทศวรรษหลังจากนั้น  หุ้นเกือบทุกตัวมีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี (ซึ่งคร่าว ๆ  ก็คือต่ำกว่าทรัพย์สินสุทธิทั้งหมดของบริษัท)   และประมาณหนึ่งในสามของหุ้นทั้งหมดในตลาดมีราคาต่ำกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าหุ้นทางบัญชี (ถ้าจะเปรียบเทียบ ณ.วันนี้ ราคาหุ้นเฉลี่ยของหุ้นในดัชนี S&P 500 ขายกันที่ประมาณ 2.2 เท่าของมูลค่าหุ้นทางบัญชี)”
  หันกลับมาที่ตลาดหุ้นไทย  ในปี 2543 ที่เป็นปีวิกฤติของตลาดหุ้นไทยและแนวความคิดเรื่อง Value Investment เริ่มก่อตัวขึ้นส่วนหนึ่งจากหนังสือ  “ตีแตก”  ของผม  ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงเหลือเพียง 269 จุดในตอนสิ้นปี ส่งผลให้หุ้นมีราคาถูกมาก  ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีลดลงมาเหลือเพียงประมาณ 1.1 เท่า  หุ้นจำนวนมาก  ผมคิดว่ากว่าครึ่ง  มีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี  ค่า PE เฉลี่ยของหุ้นที่ยังมีกำไรอยู่นั้นต่ำเพียงประมาณ 5.5 เท่า  และนี่ก็คือภาวะ  “ตลาดหุ้นในฝันของ VI”  ช่วงหนึ่งในตลาดหุ้นไทยเช่นเดียวกับภาวะตลาดหุ้นในปี 2551 ซึ่งเป็นช่วง “วิกฤติซับไพร์ม”  ที่ดัชนีหุ้นลดลงถึงเกือบ 50% เหลือเพียง 450 จุด และหุ้นในตลาดส่วนใหญ่มีราคาถูกพอ ๆ  กับช่วงปี 2543
  เปรียบเทียบกับหุ้นในปัจจุบัน  ดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมา 2 ปีและหุ้นขึ้นมากว่า 100% แล้ว  ราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีสูงเกือบ 2 เท่า  ในขณะที่ค่า PE เท่ากับประมาณ 13-14 เท่า ซึ่งถือว่าราคาหุ้นโดยเฉลี่ยในตลาดไม่ถูกอีกต่อไป  ในสภาวะแบบนี้กอร์ปกับความนิยมในหุ้น VI ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด  ทำให้การหาหุ้นที่ยังถูกและมี Margin of Safety สูงหาได้ยากขึ้น  หรือถ้าคิดว่ายังหาได้ไม่ยากแต่ก็น่าจะมีความเสี่ยงที่จะผิดพลาดได้มากกว่าในยามที่ตลาดหุ้น “เอื้ออำนวยต่อ VI” เช่นในปี 2543 และ 2551 
  คำถามสุดท้ายก็คือ  ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะทำอย่างไร?  จะขายหุ้นถือเงินสดหรือ?  และถ้ามีเงินสดเหลืออยู่จะไม่ลงทุนซื้อหุ้นหรือ?  คำตอบของผมก็คือ  ในสภาวะที่ตลาดหุ้นไม่ได้เอื้ออำนวยแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นภัยหรืออันตรายต่อการลงทุนอย่างชัดเจนเช่นในปัจจุบัน  ผมจะลงทุนอย่างระมัดระวังขึ้น  การเลือกหุ้นอาจจะต้องเน้นกิจการที่มีความปลอดภัยของผลประกอบการสูงกว่าปกติและไม่หวังผลเลิศ  เหนือสิ่งอื่นใดการลงทุนในสถานการณ์แบบนี้ผมจะไม่รีบร้อน  บางทีผมอาจจะรอแบบใจเย็น ๆ  และแน่นอน  ผมจะไม่  “ไล่หุ้น”  หรือเล่นหุ้นที่กำลังร้อนแรง  ผมคิดว่าหุ้นที่มีคนเล่นหรือซื้อขายกันมาก ๆ  โดยเฉพาะที่คนซื้อขายเป็น VI ด้วยนั้น  ราคาของมันคงไม่ถูกอีกต่อไป  โอกาสที่มันจะกลายเป็นหุ้นที่มีราคาสูงกว่าพื้นฐานน่าจะมีมากกว่า   และทั้งหมดนี้ก็คือคำตอบของคำถามที่ว่า  VI สนใจภาวะตลาดหุ้นหรือเปล่า
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #7081 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 11:00:34 AM »

เออ....EGCO จะลงไปไหนครับ ปันผลดี มั่นคง ใครพอร์ตว่าง กลุ่มไฟฟ้าน่าสนใจนะครับ  เยี่ยม
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #7082 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 11:53:16 AM »

Glow อีกตัวครับ ลงมาเยอะแล้ว ปันผลสูง  Grin
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
A B A C U S รั ก ใ น ห ล ว ง
สัตว์ โลก เดิน ไป ตาม แรง กรรม ดี ชั่ว อยู่ ที่ ใจ ตน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 206
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6399


มี ศัตรู เป็น บัณฑิต ดีกว่ามี มิตร เป็น ค น พ า ล


เว็บไซต์
« ตอบ #7083 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 12:03:09 PM »

 หลงรัก
บันทึกการเข้า

carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2329
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 84478


« ตอบ #7084 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 12:32:01 PM »

ในยามที่ตลาดหุ้นดีและภาวะทางเศรษฐกิจสดใส  โอกาสที่เราจะวิเคราะห์หุ้นผิดพลาดจะมีมากกว่า  เพราะในยามนั้นบริษัทธรรมดาบางแห่งอาจจะมีผลการดำเนินงานที่ดีเลิศและราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงลิ่วจนทำให้เราเข้าใจผิดว่ามันเป็นซุปเปอร์สต็อก 

น่าสนใจมากๆ Grin Grin Grin ตลาดตอนนี้ท่านๆ ว่ามันเป็นอย่างไร แล้วซื้อตัวไหนกันบ้างรึเปล่า
บันทึกการเข้า

เนื้อร้ายตัดทิ้ง
www.ipscthailand.com
HOW
Hero Member
*****

คะแนน 92
ออฟไลน์

กระทู้: 1467


« ตอบ #7085 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 01:42:09 PM »

Set ทะลุ 1000 จุดแล้วครับ กำลังพยายามยืนอยู่ ช่วงบ่ายมาลุ้นช่วยกันครับให้ยืนได้ ช่วงเช้า Volume น้อยไปนิด ช่วงบ่ายหวังให้ volume เข้ามาดัน Set ให้ทะลุ 1006.51 จุดครับ...Grin
บันทึกการเข้า
HOW
Hero Member
*****

คะแนน 92
ออฟไลน์

กระทู้: 1467


« ตอบ #7086 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 01:44:04 PM »

ด่วนมาก..ไวรัสคอมตัวร้ายแรงที่สุด
>
> ด่วนมาก ... BIG VIRUS COMING !!! PLEASE READ & FORWARD !!!
> ภายใน 2-3 วันนี้ท่านอาจได้รับ mail ที่มีไวรัสแฝงมา ห้ามเปิด mail และ
> File แนบ ( attachment)
> ที่มีชื่อเรื่องว่า 'POSTCARD FROM HALLMARK' ไม่ว่า mail นั้นจะส่งมาจาก ใครก็ตาม
> มันเป็น mail ที่มีไวรัสที่จะทำลาย Drive C ทั้งหมดของคุณ โดยการเปิด
> File ที่เป็น POSTCARD IMAGE
> ไวรัสนี้จะได้รับจากใครบางคนที่มี e-mail address ของคุณใน contact list ดังนั้นคุณ
> ควรเตือนคนที่คุณเคยติดต่อทาง e-mail
> หากคุณได้รับ mail ชื่อ ' POSTCARD ' แม้ว่าจะส่งมาจากเพื่อนของคุณ
>
> ห้ามเปิด mail และ File แนบนั้น ให้ Shut down computer ของคุณทันที
>
> ไวรัสนี้เป็นไวรัสที่เลวร้ายที่สุดที่ ประกาศเตือนโดย CNN
> มันถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ตัวทำลายล้างสุดแสบ ตลอดกาล โดย Microsoft
> มันถูกค้นพบโดย McAfee เมื่อวานนี้
> และยังไม่มี วิธีแ ก้ไข มันจะทำลาย Zero Sector ของ Hard Disc
> ซึ่งเป็นที่ที่เก็บข้อมูลสำคัญสุดยอดของ Hard Disc
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7087 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 02:57:59 PM »

Set ทะลุ 1000 เห็น New High ที่ IVL ครับ...
บันทึกการเข้า
A B A C U S รั ก ใ น ห ล ว ง
สัตว์ โลก เดิน ไป ตาม แรง กรรม ดี ชั่ว อยู่ ที่ ใจ ตน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 206
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6399


มี ศัตรู เป็น บัณฑิต ดีกว่ามี มิตร เป็น ค น พ า ล


เว็บไซต์
« ตอบ #7088 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 03:10:27 PM »

 หลงรัก
ครับ
กำลังรอ 870 ตัวใหม่
ใกล้แล้ว
 หลงรัก
บันทึกการเข้า

naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7089 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 03:17:03 PM »

มองตลาดหุ้นแบบ VI/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร   
 

แวะมาแปะก่อนนอน...
Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=46910
Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"

------------------------------------------------
โลกในมุมมองของ Value Investor          6 มีนาคม 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

  เมื่อศึกษาการลงทุนแบบ Value Investment มากขึ้นเรื่อย ๆ  คนที่เป็น VI จำนวนไม่น้อยอาจจะได้ความรู้สึกว่าการเป็นนักลงทุนแบบ VI นั้น   เราจะไม่สนใจภาวะตลาดหุ้น  สิ่งที่เราสนใจเพียงอย่างเดียวก็คือ  ตัวหุ้นหรือบริษัทจดทะเบียน  ถ้าหุ้นตัวนั้นมีมูลค่าที่แท้จริงหรือ Intrinsic Value สูงกว่าราคาหุ้นและมีส่วนต่างหรือ  Margin of Safety สูงพอ  เราก็ซื้อหุ้น  ภาวะเศรษฐกิจหรือภาวะตลาดที่วัดโดยดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรเราไม่สน  เหตุผลก็เพราะว่าเราไม่สามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นได้  เหนือสิ่งอื่นใด  เราไม่ได้ซื้อตลาด  เราซื้อตัวหุ้น  นั่นก็คือแนวคิดและปรัชญาของ VI  แต่นี่เป็นเรื่องจริงหรือพูดกันแบบเท่ ๆ ?
  ในความเห็นของผม  เรื่องของภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนั้น  ผมคิดว่า VI จะต้องสนใจ  เพียงแต่ว่าความสนใจนั้น  จะเป็นประเด็นใหญ่ ๆ  และกว้าง ๆ  และโดยทั่วไปแล้วมักไม่เป็นประเด็นที่จะทำให้เราต้องซื้อขายหุ้น  อย่างเช่นถ้ามีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้หรือปีหน้าจะโต 5%  หรือ 4%  หรือ 6%  หรือแม้แต่ 3%  ซึ่งแสดงถึงความตกต่ำทางเศรษฐกิจ  ผมก็ไม่เห็นจำเป็นว่าจะต้องขายหุ้นหรือปรับพอร์ตอะไรเนื่องจากข้อมูลหรือความเห็นแบบนี้  และนี่ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้  “ปรมาจารย์ VI”  ทั้งหลายสอนว่าเราไม่จำเป็นต้องสนใจภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินและตลาดหุ้น
  เวลาที่มองตลาด  ผมสนใจอะไร?   สิ่งที่ผมสนใจก็คือ  ภาวะแวดล้อมที่เป็นเรื่องของ “Value”  ผมอยากรู้ว่าภาวะตลาดโดยรวมนั้นเอื้ออำนวยต่อการลงทุนแบบ Value Investment มากน้อยแค่ไหน  นั่นก็คือ  ถ้าหุ้นส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างถูก  โอกาสที่ผมจะได้หุ้นคุณภาพดีราคาถูกก็จะมีสูงขึ้นโดยที่ความเสี่ยงในการลงทุนในระยะยาวจะต่ำ   ตรงกันข้าม  ถ้าภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย  หุ้นส่วนใหญ่ราคาแพงหรือไม่ถูกแล้ว  โอกาสที่ผมจะได้หุ้นดีราคาถูกก็น้อยลง  บางคนอาจจะบอกว่าไม่เกี่ยว  เพราะตราบใดที่เราพบหุ้นคุณค่าและหุ้นมี Margin of Safety สูง  อย่างไรเสียมันก็ต้องเป็นหุ้นคุณค่าและเราก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ   แต่นี่เป็นเหตุผลที่ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าเรารู้จริงและมั่นใจเต็มร้อยว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเป็นเท่าไร  แต่ถ้าความเป็นจริงก็คือ  เราไม่รู้หรือคาดผิด  ก็มีโอกาสที่เราจะขาดทุนได้ง่าย 
ประเด็นของผมก็คือ  ในยามที่ตลาดหุ้นดีและภาวะทางเศรษฐกิจสดใส  โอกาสที่เราจะวิเคราะห์หุ้นผิดพลาดจะมีมากกว่า  เพราะในยามนั้นบริษัทธรรมดาบางแห่งอาจจะมีผลการดำเนินงานที่ดีเลิศและราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงลิ่วจนทำให้เราเข้าใจผิดว่ามันเป็นซุปเปอร์สต็อก  ถ้าจะพูดไปมันก็คงคล้าย ๆ  กับคำกล่าวที่ว่า  “ในยามที่ลมหนุนแรง  แม้แต่ไก่งวงก็บินได้  และด้วยตัวที่ใหญ่โตและในทัศนะวิสัยที่มืดมัว  เราอาจจะคิดว่ามันเป็นพญาอินทรีย์”
  ภาวะตลาดแบบไหนที่เป็นภาวะ  “ในฝัน” ของ VI ?  ลองมาดู “ช่วงทองของ VI” ครั้งแรกที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ  กับกำเนิดแนวความคิด VI ในปี 1934 ซึ่งเป็นปีที่หนังสือ Securities Analysis ของ เบน เกรแฮม ถูกตีพิมพ์ในตลาดหุ้นสหรัฐดู
  “ตลาดหุ้นในช่วงนั้นมีราคาถูกมากจนกระทั่งผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงเกือบ 10% ต่อปี และมันยังสูงกว่า 6% ต่อปีกว่าหนึ่งทศวรรษหลังจากนั้น  หุ้นเกือบทุกตัวมีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี (ซึ่งคร่าว ๆ  ก็คือต่ำกว่าทรัพย์สินสุทธิทั้งหมดของบริษัท)   และประมาณหนึ่งในสามของหุ้นทั้งหมดในตลาดมีราคาต่ำกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าหุ้นทางบัญชี (ถ้าจะเปรียบเทียบ ณ.วันนี้ ราคาหุ้นเฉลี่ยของหุ้นในดัชนี S&P 500 ขายกันที่ประมาณ 2.2 เท่าของมูลค่าหุ้นทางบัญชี)”
  หันกลับมาที่ตลาดหุ้นไทย  ในปี 2543 ที่เป็นปีวิกฤติของตลาดหุ้นไทยและแนวความคิดเรื่อง Value Investment เริ่มก่อตัวขึ้นส่วนหนึ่งจากหนังสือ  “ตีแตก”  ของผม  ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงเหลือเพียง 269 จุดในตอนสิ้นปี ส่งผลให้หุ้นมีราคาถูกมาก  ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีลดลงมาเหลือเพียงประมาณ 1.1 เท่า  หุ้นจำนวนมาก  ผมคิดว่ากว่าครึ่ง  มีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี  ค่า PE เฉลี่ยของหุ้นที่ยังมีกำไรอยู่นั้นต่ำเพียงประมาณ 5.5 เท่า  และนี่ก็คือภาวะ  “ตลาดหุ้นในฝันของ VI”  ช่วงหนึ่งในตลาดหุ้นไทยเช่นเดียวกับภาวะตลาดหุ้นในปี 2551 ซึ่งเป็นช่วง “วิกฤติซับไพร์ม”  ที่ดัชนีหุ้นลดลงถึงเกือบ 50% เหลือเพียง 450 จุด และหุ้นในตลาดส่วนใหญ่มีราคาถูกพอ ๆ  กับช่วงปี 2543
  เปรียบเทียบกับหุ้นในปัจจุบัน  ดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมา 2 ปีและหุ้นขึ้นมากว่า 100% แล้ว  ราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีสูงเกือบ 2 เท่า  ในขณะที่ค่า PE เท่ากับประมาณ 13-14 เท่า ซึ่งถือว่าราคาหุ้นโดยเฉลี่ยในตลาดไม่ถูกอีกต่อไป  ในสภาวะแบบนี้กอร์ปกับความนิยมในหุ้น VI ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด  ทำให้การหาหุ้นที่ยังถูกและมี Margin of Safety สูงหาได้ยากขึ้น  หรือถ้าคิดว่ายังหาได้ไม่ยากแต่ก็น่าจะมีความเสี่ยงที่จะผิดพลาดได้มากกว่าในยามที่ตลาดหุ้น “เอื้ออำนวยต่อ VI” เช่นในปี 2543 และ 2551 
  คำถามสุดท้ายก็คือ  ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะทำอย่างไร?  จะขายหุ้นถือเงินสดหรือ?  และถ้ามีเงินสดเหลืออยู่จะไม่ลงทุนซื้อหุ้นหรือ?  คำตอบของผมก็คือ  ในสภาวะที่ตลาดหุ้นไม่ได้เอื้ออำนวยแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นภัยหรืออันตรายต่อการลงทุนอย่างชัดเจนเช่นในปัจจุบัน  ผมจะลงทุนอย่างระมัดระวังขึ้น  การเลือกหุ้นอาจจะต้องเน้นกิจการที่มีความปลอดภัยของผลประกอบการสูงกว่าปกติและไม่หวังผลเลิศ  เหนือสิ่งอื่นใดการลงทุนในสถานการณ์แบบนี้ผมจะไม่รีบร้อน  บางทีผมอาจจะรอแบบใจเย็น ๆ  และแน่นอน  ผมจะไม่  “ไล่หุ้น”  หรือเล่นหุ้นที่กำลังร้อนแรง  ผมคิดว่าหุ้นที่มีคนเล่นหรือซื้อขายกันมาก ๆ  โดยเฉพาะที่คนซื้อขายเป็น VI ด้วยนั้น  ราคาของมันคงไม่ถูกอีกต่อไป  โอกาสที่มันจะกลายเป็นหุ้นที่มีราคาสูงกว่าพื้นฐานน่าจะมีมากกว่า   และทั้งหมดนี้ก็คือคำตอบของคำถามที่ว่า  VI สนใจภาวะตลาดหุ้นหรือเปล่า


ดร.นิเวศน์ แกเพิ่งมาบอกตอนนี้ หรือว่าแกบอกมานานแล้ว แต่คุณ little wing เพิ่งเอามา Post หรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ...

แต่ถ้าแกเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้ บอกเอาอีตอนที่ PTL ไหลลงนรกอย่างนี้, แสดงว่า ดร. แกเลือดเย็นน่ะครับ... เม่าตายเป็นเบือแล้วค่อยมาเฉลยทีหลัง, ทำไมไม่ออกมาบอกมาเตือนกันเสียตั้งแต่แรก... โห...
บันทึกการเข้า
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #7090 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 08:03:12 PM »

PTL ที่เจ๊งกันหนัก เพราะบอร์ดVIช่วยปั่นด้วยจริงๆครับพี่สมชาย ในห้องร้อยคนร้อยหุ้น บอร์ดThaiVI จนต้องปิดไม่ให้คนนอกเข้าดูตอนหลัง หลังจากที่คนแห่เล่นตาม จากนั้นมา มันก็พาคนเจ๊งเยอะแยะไปหมด บ่นกันระงม  Grin

บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
HOW
Hero Member
*****

คะแนน 92
ออฟไลน์

กระทู้: 1467


« ตอบ #7091 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 11:30:59 PM »

กรีซเจอ‘มูดี้ส์’หั่นเรตติ้ง3ขั้นรวด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 มีนาคม 2554 22:25 น.

      มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส์ เซอร์วิส สถาบันระดับโลกด้านการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ ประกาศลดเรตติ้งพันธบัตรรัฐบาลประเทศกรีซลงรวดเดียว 3 ขั้น เมื่อวันวันจันทร์ (7) ส่งผลให้มองกันว่าประเทศเจ้าปัญหาด้านฐานะการเงินการคลังแห่งยูโรโซนเจ้านี้ อาจถูกบีบให้ยอมปรับโครงสร้างหนี้ โดยอาจเกิดให้เห็นกันก่อนปี 2013 ทีเดียว
     
      นอกจากนั้น ปัจจัยใหม่ประการนี้ยังทวีแรงกดดันต่อบรรดาประเทศชั้นนำของยุโรปให้ต้องยอมผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระคืนหนี้ที่ให้กรีซไปประคองฐานะจากการล้มละลายเมื่อก่อนหน้านี้ ถึงแม้ที่ผ่านมา เยอรมนีและบรรดาชาติพันธมิตรมีท่าทีว่าจะไม่ยอมใช้วิธีแรงๆ เช่นเข้าซื้อพันธบัตรกรีซ ในการช่วยรัฐบาลเอเธนส์ลดภาระหนี้
     
      ทั้งนี้ มูดี้ส์ลดอันดับพันธบัตรรัฐบาลกรีกลงเหลือ B1 จากเดิม Ba1 พร้อมบอกระบุว่าทิศทางแนวโน้มยังเป็น “ลบ” ซึ่งแปลว่าอาจลดลงต่ำกว่านี้ได้อีก โดยชี้ถึงความเสี่ยงสำคัญหลายประการในโครงการเสริมความแข็งแกร่งด้านฐานะการคลังของรัฐบาลกรีก อาทิ การเก็บรายได้เข้ารัฐได้ไม่มากเพียงพอ, ปัญหาในการปฏิรูปการรักษาพยาบาล กับปฏิรูปฐานะของบรรดารัฐวิสาหกิจทั้งหลาย
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7092 เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 08:46:18 AM »

PTL ที่เจ๊งกันหนัก เพราะบอร์ดVIช่วยปั่นด้วยจริงๆครับพี่สมชาย ในห้องร้อยคนร้อยหุ้น บอร์ดThaiVI จนต้องปิดไม่ให้คนนอกเข้าดูตอนหลัง หลังจากที่คนแห่เล่นตาม จากนั้นมา มันก็พาคนเจ๊งเยอะแยะไปหมด บ่นกันระงม  Grin

นายสมชายมองเห็นเหตุผลแท้จริงของพวก VI ว่าตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า"ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อไหร่หุ้นจะขึ้นหรือจะลง", ดังนั้นเมื่อไม่สามารถคาดการณ์ได้ จึงใช้วิธี"ซื้อหุ้นกิจการดีเมื่อตลาดแย่ๆ"... งานนี้ VI เจ็บหนักเพราะไปซื้อหุ้นเอาเมื่อตลาดดี(สรุปจากที่ด๊อกเตอร์ แกบอกฯ)...

ข้างบนนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับพวกอ่านกราฟครับ... เพราะพวกอ่านกราฟมีสมมติฐานว่า"หุ้นขาขึ้นต้อง New High, ขาลงต้อง New Low และถ้าเป็นขาขึ้นต้องถือหุ้น ขาลงต้องทิ้งหุ้น ไม่สนข่าว ไม่สนงบดุล ไม่สนอินดิเคเตอร์"...

พวกอ่านกราฟมีจุดอ่อนแค่ 2 ประการเท่านั้นครับ คือ 1) เวลาหุ้นขึ้นต้องซื้อ แล้วเวลาลงต้องคัตลอส ทั้งสอง Actions ต้องเป็นแบบหุ่นยนต์ ซึ่งบางทีคนมีเลือดเนื้อจะทำใจไม่ได้, 2) ต้องอาศัยประสบการณ์อ่านและเลือกกราฟให้ถูกตัว โดยเฉพาะหุ้นที่ยึกยักเป็นฟันเลื่อยซ้อนๆกันมีแนวรับแนวต้านถี่ยิบ... ซึ่งจุดอ่อนทั้งสองประการนี่ต้องอาศัยชั่วโมงบินสะสมประสบการณ์ครับ และใช้คอมพิวเตอร์ช่วยเหลือได้ยาก แม้แต่ใช้ปัญญาประดิษฐ์(AI - Artificial Intelligence) ก็ยังทำไม่ได้เท่าสมองมนุษย์...

ที่จริงหากพูดภาษาชาวบ้านแล้ว พวกเล่นกราฟก็เหมือนกับคนหิ้วกระเป๋าดักขึ้นรถทัวร์ไงครับ... รถทัวร์สายอิสานต้องผ่าน อ.ปากช่อง โคราชฯ เมื่อไหร่ผ่าน อ.ปากช่องปุ๊บ ฉันขอไปด้วยคน, แล้วถ้าคนขับเปลี่ยนใจไม่ไปอิสาน มันก็ผ่านปากช่องกลับภาคกลางอยู่ดี เราก็ลงที่ อ.ปากช่องนั่นแหละ, ดังนั้นเจ็บตัวก็แค่ 2 - 3 ช่อง(ช่องราคาหุ้น)ช่วงขลุกขลิก แต่จะไม่เข้าเนื้อแยะ...
บันทึกการเข้า
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #7093 เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 10:24:32 AM »

PTL ที่เจ๊งกันหนัก เพราะบอร์ดVIช่วยปั่นด้วยจริงๆครับพี่สมชาย ในห้องร้อยคนร้อยหุ้น บอร์ดThaiVI จนต้องปิดไม่ให้คนนอกเข้าดูตอนหลัง หลังจากที่คนแห่เล่นตาม จากนั้นมา มันก็พาคนเจ๊งเยอะแยะไปหมด บ่นกันระงม  Grin

นายสมชายมองเห็นเหตุผลแท้จริงของพวก VI ว่าตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า"ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อไหร่หุ้นจะขึ้นหรือจะลง", ดังนั้นเมื่อไม่สามารถคาดการณ์ได้ จึงใช้วิธี"ซื้อหุ้นกิจการดีเมื่อตลาดแย่ๆ"... งานนี้ VI เจ็บหนักเพราะไปซื้อหุ้นเอาเมื่อตลาดดี(สรุปจากที่ด๊อกเตอร์ แกบอกฯ)...

ข้างบนนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับพวกอ่านกราฟครับ... เพราะพวกอ่านกราฟมีสมมติฐานว่า"หุ้นขาขึ้นต้อง New High, ขาลงต้อง New Low และถ้าเป็นขาขึ้นต้องถือหุ้น ขาลงต้องทิ้งหุ้น ไม่สนข่าว ไม่สนงบดุล ไม่สนอินดิเคเตอร์"...

พวกอ่านกราฟมีจุดอ่อนแค่ 2 ประการเท่านั้นครับ คือ 1) เวลาหุ้นขึ้นต้องซื้อ แล้วเวลาลงต้องคัตลอส ทั้งสอง Actions ต้องเป็นแบบหุ่นยนต์ ซึ่งบางทีคนมีเลือดเนื้อจะทำใจไม่ได้, 2) ต้องอาศัยประสบการณ์อ่านและเลือกกราฟให้ถูกตัว โดยเฉพาะหุ้นที่ยึกยักเป็นฟันเลื่อยซ้อนๆกันมีแนวรับแนวต้านถี่ยิบ... ซึ่งจุดอ่อนทั้งสองประการนี่ต้องอาศัยชั่วโมงบินสะสมประสบการณ์ครับ และใช้คอมพิวเตอร์ช่วยเหลือได้ยาก แม้แต่ใช้ปัญญาประดิษฐ์(AI - Artificial Intelligence) ก็ยังทำไม่ได้เท่าสมองมนุษย์...

ที่จริงหากพูดภาษาชาวบ้านแล้ว พวกเล่นกราฟก็เหมือนกับคนหิ้วกระเป๋าดักขึ้นรถทัวร์ไงครับ... รถทัวร์สายอิสานต้องผ่าน อ.ปากช่อง โคราชฯ เมื่อไหร่ผ่าน อ.ปากช่องปุ๊บ ฉันขอไปด้วยคน, แล้วถ้าคนขับเปลี่ยนใจไม่ไปอิสาน มันก็ผ่านปากช่องกลับภาคกลางอยู่ดี เราก็ลงที่ อ.ปากช่องนั่นแหละ, ดังนั้นเจ็บตัวก็แค่ 2 - 3 ช่อง(ช่องราคาหุ้น)ช่วงขลุกขลิก แต่จะไม่เข้าเนื้อแยะ...

 ไหว้  เยี่ยม
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7094 เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 10:29:53 AM »

เพิ่งขาย IVL ไปครับ... มีท่านใดเห็นตัวไหน New High บ้างครับ...
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 470 471 472 [473] 474 475 476 ... 1105
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.101 วินาที กับ 18 คำสั่ง