ในปี 2530 นั้นอยู่ในต่างประเทศ จึงไม่ทราบรายละเอียดของการรบ อย่างไรก็ดี บังเอิญว่าก่อนหน้านั้น เคยตระเวณอยู่บริเวณที่เป็นสนามรบ รู้สภาพพื้นที่และรู้สภาพทหารลาวพอสมควร กล่าวได้ว่าสภาพภูมิประเทศแถวนั้นเป็นภูเขาและป่าทั้งนั้น ไม่มีทางรถหรือสนามบิน ต้องใช้เท้าเดินตลอด ทางลาวตัองใช้ความอุตสาหะวิริยะอย่างมหาศาลในการลำเลียงอาวุธ (หนัก) ขึ้นไปบนเขา ซึ่งผมก็เชื่อว่าเขาทำได้ด้วยตัวเขาเอง เพราะเขาต่อสู้ด้วยความยากลำบากมาหลายปี แต่ผมไม่เชื่อว่าจะมีหน่วยรบพิเศษของต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเวียตนาม คิวบา หรือโซเวียตไปรบอยู่ที่นั่น การพูดว่ามีหน่วยรบพิเศษของต่างชาติไปช่วยลาวรบที่ร่มเกล้า ไม่ผิดกับที่พูดว่ามีทหารเวียตนามอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในเหตุการณ์เมื่อ 6 ตุลาคม 2519
น่าดีใจที่ไทยและลาวกลับมามีไมตรีกัน เพราะว่าผมยังมีญาติพี่น้องอยู่ที่ฝั่งลาว คนไทยกับคนลาวมีเชื้อสายเดียวกันแท้ๆ แต่มาแยกกันอยู่คนละประเทศเพียงเพราะผู้มีอำนาจมาขีดเส้นแบ่งแผ่นดินเอาตามอำเภอใจเท่านั้น ทำให้คนที่อยู่ฝั่งหนึ่งเป็นคนลาว คนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเป็นคนไทย ไม่ทราบว่าคนที่เรียกตนเองว่า "คนไทย" จะเข้าใจสิ่งที่พูดมานี้หรือไม่
เห็นด้วยทั้งหมด
ส่วนเรื่องทหารต่างชาติ น่าจะเป็นคณะที่ปรึกษาทางทหารที่ขอเข้าไปสังเกตุการณ์ แต่ไม่ได้เข้าร่วมรบด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องปกติ และเจ้าบ้านก็มักจะยอมให้เข้าไป เพราะจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจช่วยเหลือทางอาวุธในอนาคต
คนไทยกับคนลาว มีบรรพบรุษร่วมกัน ประวัติศาสตร์จีนบันทึกไว้ว่าอาณาจักรน่านเจ้า หรือหนองแส เป็นของลาวที่ถูกจีนรุกรานในสมัยสามก๊ก ทำให้คนส่วนใหญ่อพยพมาอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขง กับลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ปัจจุบันก็ยังคงมีคนไทย/ลาวอยู่ในถิ่นเดิม ที่อยู่ในจีนตอนใต้ และจีนจัดให้เป็นเขตปกครองพิเศษ ยังมีการสอนหนังสือภาษาไทยเดิม แต่เอาสระกับวรรณยุกต์ที่เป็นตัวยก กับตัวห้อย มาไว้ในบรรทัดเดียวกัน
ส่วนตำราสมัยเด็ก ๆ ที่บอกว่าคนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต ผมไม่เชื่อหรอกครับ เขาอัลไตอยู่ในมองโกเลียใน ห่างจากแหลมทองเป็นหมื่นกิโล อากาศเย็นจัด แห้ง และสะอาดมาก ระยะเวลาเพียงสองสามพันปี คนไทยไม่มีทางปรับตัวให้เข้ากับภูมิประเทศแบบที่ราบลุ่ม ที่มีแต่เชื้อไข้ป่าแบบนี้ได้หรอกครับ
ลองอ่านสามก็ก ตอนท้าย ๆ ที่เล่าปี่ยึดครองเสฉวน และขยายอาณาจักรลงใต้ ผมเชื่อว่านั่นคือการเข้าตีน่านเจ้า และที่บอกว่าทหารเจ็บป่วยล้มตายมาก จนกระทั่งต้องแก้ไข โดยมีคนท้องถิ่น แนะนำเอาใบไม้ชนิดหนึ่งมาปิดจมูกปิดปาก ผมเชื่อว่าเรื่องจริง ๆ ก็คงเป็นการเคี้ยวใบควินิน กันไปตลอดทาง