ถ้านัดเดียวต่อนัดเดียว 11 ดีแน่ๆครับ... แต่ถ้าหลายนัดแยะๆในแม็กแล้ว นายสมชายไม่แน่ใจว่า 11 จะเหนือกว่า 9 มม. ได้เด็ดขาดหรือไม่ครับ...
แต่ที่เลือกเป็นปืนใกล้มือ เพราะว่าทรงด้าม 1911 และคุณลักษณะอื่นของ 1911 มันช่วยให้มั่นใจด้วยครับ... ทำนองเดียวกับหาก 1911 เป็นขนาดอื่นที่ไม่ใช่ .45 นายสมชายก็มั่นใจน้อยลง...
หากนายสมชายย้อนเวลาได้ มีเวลา"เล่น"กับมันได้เหมือนสมัยหนุ่มๆ และซื้อปืนใหม่มาให้ลอง"เล่น"ได้ทีละกระบอก... นายสมชายอาจชอบกระบอกอื่นก็ได้ โดยเฉพาะ 9 มม. ที่มีนกนอก และทรงด้ามไม่หนาทั้งหลายครับ...
เห็นด้วยกับพี่สมชายครับ เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนความเป็นจริงมานาน จากสถิติ stoping power ที่ทำโดยแมสสาด อยุบ ของกระสุนขนาด11 และ 9 หัวบอล มี% นัดเดียวจอดที่63% เท่ากัน สำหรับกระสุนหัวรูแชมป์คือ .357 แม็กนั่ม(ยิงออกชัวร์ๆไม่มีติดไม่มีขัดลำ)ของเรมิงตันและเฟเดอรัลสูงสุดเท่ากันที่ 96% รองลงมาคือ 11 มม.hydra shock ที่94% 9 มม . ยี่ห้ออะไรจำไม่ได้อยู่ที่91%ซึ่งไม่ได้ต่างกันมากมายอะไรแถม 9 มม. ยังจุได้เยอะกว่า แต่ในความเป็นจริงกระสุนที่ใช้ในงานสนามควรใช้ลูกหัวบอลเพราะโอกาสติดขัดน้อยกว่าหัวรูเพราะเวลาดวลกันเราไม่ได้ยิงแค่นัดเดียวแล้วเลิกยิงหากติดขัดคงทำใจลำบากพิลึก(ซ้อมยิงแทบตายเวลาใช้งานฉุกละหุก กริปปืนได้ไม่แน่นเท่ายิงเป้าในสนามก็มีโอกาสติดแล้ว) โดยส่วนตัวผมเลือก .38 s หัวบอล(.38s ที่ยิงจากปืน auto มีความเร็วสูงกว่า.357 แม็กนั่ม4 นิ้วอีก ส่วนตัวเลขความเร็วข้างกล่อง.357 เป็นตัวเลขที่ยิงจากลำกล้อง 6นิ้ว)เร็วแรงจุเยอะครับ
อีกอย่าง 11 มม.เป็นปืนที่โครงปืนล้าเร็วมากๆ ผมเคยทำโครงการทดลองให้หน่วยนเรศวร 261 ยิงไปแค่ สองพันกว่านัดโครงปืนกับสไลด์ก็เริ่มหลวมจนขยับได้แล้ว ในขณะที่ 9 มม. หรือ .38 s ยิงไปเป็นพันนัดโครงยังแน่นอยู่เลย
ลองคำนวนเล่นๆดู สาเหตุที่11 มม.โครงปืนหลวมเร็วน่าจะมีสาเหตุมาจาก มีแรงโมเมนตัมที่กระทำต่อโครงปืนสูงสุดในกระสุนทั้ง3 ขนาด จากสูตร p= mv
แทนค่าในสูตรคำนวนจะได้ p= (230grain)x(800ft)
แต่ให้พลังงานจลน์ในสูตร E = 1/2 (mv)2 ลองกดเครื่องคิดเลขแทนค่ากันดู11 mmให้พลังงานจลน์พอๆกับ 9 mm แต่น้อยกว่า .38 s ครับ