การประกาศใช้ พรก. จะเป็นการย้อนยุคไปสู่ "ยุคจอมพล สฤษดิ์ "รึปล่าว

มีการถกเถียงออกความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง เมื่อรัฐบาลออกพระราชกำหนด การบริหารราชการแผ่นดินในภาวะฉุกเฉิน ปี พ.ศ.2548 หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นในจังหวัดยะลา เมื่อ 14 ก.ค. 2548 โดยรัฐบาลถือว่าสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ภายใต้สภาวะฉุกเฉิน ซึ่งมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
สภาวะฉุกเฉิน คือ สภาวะที่ไม่ปกติที่คนหรือธรรมชาติทำให้เกิดขึ้น ทำให้สภาพการดำรงชีวิตของประชาชนในพื้นที่นั้นๆ ไม่อยู่ในสภาพปกติ ผู้รับผิดชอบต่อประชาชน จะต้องรีบดำเนินการแก้ไข เพื่อให้ประชาชนได้ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพปกติสุข เช่น สถานการณ์สงคราม สถานการณ์การก่อความไม่สงบ สถานการณ์การก่อการร้าย สถานการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติ เช่น ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ฯลฯ เป็นต้น
สภาวะฉุกเฉิน ตามความหมายของ พรก. ฉบับนี้ คือ
สถานการณ์ฉุกเฉิน หมายความว่า สถานการณ์อันกระทบหรืออาจจะกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรืออาจทำให้ประเทศหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศตกอยู่ในภาวะคับขัน หรือมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา การรบหรือการสงคราม ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เอกราชและบูรณภาพแห่งอาณาเขต ผลประโยชน์ของชาติ การปฏิบัติตามกฎหมาย ความปลอดภัยของประชาชน การดำรงชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ความสงบเรียบร้อยหรือประโยชน์ส่วนรวม หรือการป้องปัดหรือแก้ไขเยียวยาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะอันมีมาอย่างฉุกเฉินและร้ายแรง
เห็นด้วยว่าประเทศไทยมีความจำเป็นต้องมี พรก. การบริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน เพื่อใช้แก้ปัญหาบ้านเมือง ในสภาวะที่ไม่อยู่ในสถานการณ์ปกติ โดยเฉพาะสถานการณ์การก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเป็นการต่อสู้ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพื่อตั้งรัฐปัตตานี เป็นสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และบูรณะภาพแห่งดินแดน เป็นปัญหาใหญ่มาก ถ้าแก้ปัญหาไม่สำเร็จ หมายถึงเราต้องเสียแผ่นดินที่คนไทยทุกคนรักและหวงแหนด้วยชีวิต
สถานการณ์การก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสถานการณ์การก่อการร้าย (Terrorism) ซึ่งต้องใช้กฎหมายที่มีลักษณะพิเศษ เช่น กฎอัยการศึก เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา สถานการณ์ก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่เป็นสถานการณ์อาชญากรรม ( Criminal ) อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจว่าสามารถใช้กฎหมายอาญาที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนี้ สามารถแก้ปัญหาได้
สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสถานการณ์การก่อความไม่สงบ ซึ่งจะต้องใช้ หลัก พลเรือน ตำรวจ ทหาร เข้าไประงับปัญหา และแก้ปัญหาโดยเฉพาะ ทหารจะต้องเป็นองค์กรหลักในการแก้ปัญหา
เมื่อทางรัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทหารเข้าไปรับผิดชอบแก้ปัญหาในสภาวะไม่ปกติเช่นนี้ มีความจำเป็นต้องมอบอำนาจให้ทหารในการแก้ปัญหาให้เป็นไปตามกฎหมาย คือการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ที่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อทหารจะทำการแก้ไขปัญหาให้พื้นที่นั้นๆ ให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติโดยเร็ว
แต่เนื่องจากการประกาศใช้กฎอัยการศึก ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้ ประชาชนบางส่วน สื่อมวลชน องค์กรอิสระ นักวิชาการ ฯลฯ ไม่เห็นด้วย ทำให้เกิดการต่อต้าน และเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้กฎอัยการศึก รวมทั้งรัฐมนตรีบางท่านในรัฐบาลเอง กฎอัยการศึก เลยกลายเป็น เงื่อนไขสงคราม หรือ เงื่อนไขสังคม ในสงครามแย่งชิงประชาชนของรัฐบาล และของ กอส. ( คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อความสมานฉันท์ ) เห็นด้วยกับ การยกเลิกกฎอัยการศึกใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของรัฐบาล เพราะการประกาศใช้กฎอัยการศึก กับการยกเลิกไม่ใช้กฎอัยการศึก แทบจะมีค่าเท่ากัน เพียงแต่ทำให้ทหารมีอำนาจในบางประการเท่านั้น เช่น การตั้งด่าน การตรวจค้น เป็นต้น การใช้กฎอัยการศึกที่ผ่านมามีลักษณะ ปวกเปียก อ่อนแอ หน่อมแน้ม โดยเฉพาะ เมื่อกฎอัยการศึกกลายเป็นเงื่อนไขสงคราม ก็สมควรยกเลิก เพื่อลดเงื่อนไขดังกล่าว ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการแก้ปัญหาของรัฐบาล
เมื่อต้องยกเลิกกฎอัยการศึก ก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายอื่นมารองรับการทำงานของทหาร ซึ่งเป็นแกนนำ และกำลังหลัก ในการแก้ปัญหา รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องออก พรก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปี 2548 แทน ซึ่งถือว่ามีความจำเป็น และมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ตามข้อเท็จจริงทางวิชาการ กฎหมายพิเศษที่ใช้ในภาวะไม่ปกตินั้นมีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราช ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ ก่อน พ.ศ.2475 มีกฎหมายชื่อว่า พระอัยการขบฏศึก ต่อมาได้พัฒนาเปลี่ยนไปเป็น กฎอัยการศึก ในสมัยก่อนพระมหากษัตริย์ใช้กฎหมายนี้ประกอบกับการใช้หลักยุติธรรม , หลักการของพระราชาสิบประการ คือ ทศพิธราชธรรม หลักบิดาปกครองบุตร หลักเมตตาธรรม และ หลักธรรมศาสตร์ ทั้งหมดรวมเป็น หลักยุติธรรม หรือ ความยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการและเรียกร้อง
อำนาจในการออกพระราชกำหนดดังกล่าว เป็นอำนาจของรัฐบาล เพราะรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบต่อสถานการณ์ฉุกเฉินต่อประเทศ และต่อประชาชนผู้เลืกตั้งรัฐบาล ตามระบอบประชาธิปไตย แต่ในการออกพระราชกำหนดในภาวะฉุกเฉินต้องพิจารณาถึงดุลการควบคุม 3 ประการ คือ ( 1 ) การกำหนดเวลาของการใช้ อำนาจต้องกำหนดไว้แน่นอน ( 2 ) ต้องมีความเชื่อมโยงการใช้อำนาจบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ ( 3 ) ต้องผูกไว้กับศาลยุติธรรมหรืออำนาจตุลาการ กลไกเชื่อมโยงควบคุมทั้งสามประการ เป็นไปตามข้อตกลงของ คณะกรรมนิติศาสตร์สากล ปารีส และดูเหมือนรัฐบาล (รองพิษณุ) ได้คำนึงถึงเรื่องนี้เหมือนกัน
เนื่องจากอำนาจการใช้อำนาจนี้เป็นของรัฐบาล พวกเราชาวบ้านทำได้แค่ วิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น และแสดงความห่วงใย และความรับผิดชอบต่อการแก้ไขภาวะฉุกเฉินตกไปอยู่ที่นายกรัฐมนตรีผู้รักษาการต่อพระราชกำหนดฉบับนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น จะโทษปี่โทษกลอง หรือจะโทษใครอื่นไม่ได้แล้ว เพราะอำนาจได้โอนจากฝ่ายทหารมาให้ท่านนายกรัฐมนตรีทั้งหมดโดยสิ้นเชิง
ปัญหาอยู่ที่การใช้อำนาจทั้ง 16 ข้อ ใน พรก. ฉบับนี้ว่า อยู่ในขอบเขตหรือไม่เท่านั้น หากมีการใช้อำนาจเกินขอบเขต ประชาชนก็จะเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล และก่อให้เกิดวิกฤติในขั้นต่อไปเช่นเดียวกับกรณี ตุลาคม ปี 2516 หรือกรณีพฤษภาทมิฬ ปี 35 รัฐบาลแม้จะมีอำนาจขนาดใหน ก็สู้พลังประชาชนไม่ได้ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า การบังคับใช้ พรก. นี้จึงมีความละเอียดอ่อน ต้องใช้มีสติ มีปัญญาและมีความรอบคอบเป็นพิเศษ
บทสรุปและความคิดเห็น
1. มีความเห็นด้วยกับรัฐบาลในการใช้ พรก. การบริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน ฉบับ ปี พ.ศ. 2548 นี้ เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
2. รัฐบาลต้องกำกับดูแลการปฏิบัติ ไม่ให้มีการใช้อำนาจเกินขอบเขต ซึ่งจะเกิดปัญหาความไม่สงบซ้ำซ้อนถึงกับทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ และหากเจ้าหน้าที่พลเรือน ตำรวจ ทหาร ระดับผู้ปฏิบัติละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง องค์กรระหว่างประเทศ หรือองค์กรสหประชาชาติจะเข้ามาแทรกแซงให้ความคุ้มครองประชาชน ใน 3 จังหวัดภาคใต้แบบกรณี ติมอร์ตะวันออก นำไปสู่การแก้ปัญหาทางการเมือง โดยการออกประชามติ รัฐบาลก็จะพ่ายแพ้ต่อขบวนการแบ่งแยกดินแดนครั้งที่ 2 หลังจากรัฐบาลพ่ายแพ้ต่อขบวนการแบ่งแยกดินแดนครั้งที่ 1 ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ที่เพิ่งจะผ่านมาหาดๆ ทั้งหมดล้วนอยู่ในแผนการต่อสู้ของขบวนการ ต่อจากแผนบันได 7 ขั้น ตามแนวทางการต่อสู้ที่ติมอร์ตะวันออกและการต่อสู้ที่อาร์เจ๊ะ
3. พรก. การบริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน ปี พ.ศ.2548 ฉบับนี้ เป็นเพียงมาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นมาตรการหนึ่งเท่านั้น ความสำเร็จในการแก้ปัญหาขึ้นอยู่กับนโยบายและแนวทางการแก้ปัญหา (Course of Action ) โดยรัฐบาลจะต้องมีความเชื่อเสียก่อนว่า ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัญหาการแบ่งแยกดินแดน โดยมีขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือขบวนการก่อการร้ายเป็นผู้ดำเนินการ
4. งานในการต่อสู้เพื่อเอาชนะขบวนการของรัฐบาล คือ (1) งานสันติวิธี (2) งานการทหาร (3) งานการพัฒนา
5. งานแรกของรัฐบาลคือ การสร้างเอกภาพ 5 ประการ คือ (1) เอกภาพในความคิด (2) เอกภาพในการวางแผน (3)เอกภาพในการปฏิบัติ (4)เอกภาพในการกำกับดูแล (5) เอกภาพในการประเมินผล
6. ความสำเร็จอยู่ที่การใช้พลเรือน ตำรวจ และทหาร อย่างเหมาะสม โดยอาศัยหลักสามัคคีธรรม
7. พูดน้อย ทำมาก เสียสละ ทำสิ่งที่ประชาชนอยากได้ จาก พรก.นี้คือ ความยุติธรรม ซึ่งรัฐบาลต้องสร้างขึ้นให้ได้ รัฐบาลจึงสอบผ่าน
8. รัฐบาลต้องให้ความรู้เรื่อง พรก. การบริหารราชการแผ่นดินในภาวะฉุกเฉิน ฉบับ พ.ศ.2548 แก่ประชาชน ทุกสาขาอาชีพ แก่องค์กรของรัฐและองค์กรเอกชน ให้เข้าใจในหลักการ และเหตุผล และต้องทำอย่างจริงจัง กว้างขวาง ทั่วถึง อย่าให้เกิดความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ อย่างเช่น กฎหมายกฎอัยการศึกที่ผ่านมา การให้ความรู้เรื่องนี้จะทำให้แรงต่อต้าน พรก. ลดลงได้ระดับหนึ่ง
สรุปของสรุป คือ ปัญหาของประเทศในขณะนี้ คือ ปัญหาความเชื่อ
ขบวนการแบ่งแยกดินแดน เชื่อว่า การต่อสู้กับรัฐบาลครั้งนี้ ขบวนการจะเป็นผู้ชนะ ตามแผนบันได 7 ขั้น ทางการทหาร และจะชนะทางการเมืองโดยอาศัยองค์กรทางการเมืองระหว่างประเทศ ตามแนวทางการต่อสู้ของติมอร์ตะวันออก และตามแนวทางของอาร์เจ๊ะ
ขบวนการเชื่อว่า มีความสามารถปลุกระดม บิดเบือนหลักศาสนา จนทำให้ชาวไทยมุสลิม ร่วมทำจิฮาดด้วยความเข้าใจผิด โดยถือว่าได้บุญสูงสุดได้
รัฐบาลเชื่อว่า สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ปัญหาการแบ่งแยกดินแดน ขบวนการมีส่วนเกี่ยวข้องเพียงบางส่วน แม้ยังมีขบวนการก็จริง แต่มีจำนวนน้อย ไม่มีขีดความสามารถที่จะดำเนินการแบ่งแยกดินแดน ตั้งรัฐปัตตานีได้ตามเป้าหมาย
รัฐบาลเชื่อว่า ปัญหาทั้งหมดเป็นปัญหาการก่ออาชญากรรมโจรผู้ร้ายธรรมดา ตำรวจก็เพียงพอในการแก้ปัญหา
ขบวนการเชื่อว่า หากรัฐใช้การตำรวจ แก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นตัวเร่งให้เกิดความสำเร็จตามแผนเร็วขึ้น
รัฐบาลเชื่อว่า พรก. นี้แก้ปัญหาได้ รัฐบาลมีความสุจริตใจ แต่ประชาชนบางส่วนไม่เชื่อเช่นนั้น
ผู้คัดค้านเชื่อว่า พรก. จะเกิดปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นการแก้ปัญหาตามแนวทางเผด็จการ เป็นการทำลายระบบประชาธิปไตย และไม่สุจริตใจ
ขบวนการใช้กลยุทธในการทำให้รัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึก เพื่อไม่ให้ทหารซึ่งเป็นกำลังหลัก มีอำนาจในการต่อสู้เพื่อเอาชนะขบวนการ อยู่ในแผนการต่อสู้เพื่อตั้งรัฐปัตตานี ของขบวนการ โดยชี้นำประชาชนให้เข้าใจว่าทหารใช้อำนาจเกินขอบเขต ไม่น่าไว้วางใจ ทำให้สถานการณ์เลวร้าย ฯลฯ เป็นไปตามแนวทางการต่อต้านข่าวกรอง และการโฆษณาชวนเชื่อของขบวนการประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย และทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิด ในสังคมไทย และแสดงความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลในเรื่อง พรก. การบริหารราชการแผ่นดินในภาวะฉุกเฉิน การใช้ พรก.ฉบับนี้ในสถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหาที่แท้จริง คือ ปัญหาเรื่องความเชื่อ โดยที่รัฐบาลและองค์กรที่เกี่ยวข้องไม่เชื่อเรื่องการแบ่งแยกดินแดน จึงแก้ปัญหาไม่ได้
ประชาชนเชื่อว่า การใช้กฎอัยการศึกของทหาร ทำให้สถานการณ์เลวร้าย
ประชาชนเชื่อว่า พรก.การบริหารราชการในภาวะฉุกเฉินของรัฐบาล หมกเม็ด มีเป้าหมายซ่อนเร้น ฯลฯ ทั้งหมดล้วนเป็นปัญหา ความเชื่อทั้งสิ้น ต้องใช้สติปัญญา ดังนั้น รัฐบาลจะต้องพิจารณาแก้ไขโดยด่วน เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมือง