เจอบนเขาหลวง ตอนไปหาสบู่เลือด เมื่อปี ๔๗ ลำตัวยาวขนาดไหนไม่รู้
แต่ใหญ่กว่ากระป๋องโค๊กแน่นอน อยู่คนละฝั่งเนิน ลำห้วยกั้นกลาง ห่างกันประมาณ ๑๕ วา
เขาเห็นผม ผมก็เห็นเขา เอาไงดี.... ปืนเหรอ..ลูกซองยาวเนี่ยนะ....
ลืมมันซะเถอะ วาดลำกล้องก็ติดเถาวัลย์แล้ว อีกอย่าง ผมไม่ได้ใส่ลูกไว้ ตอนนั้นกลัวลั่น..
เขาค่อย ๆ ชูหัว ดึงลำตัวและหางมารวมกัน หัวส่าย ซ้าย...ขวา...ซ้าย..ขวา
ผม..ค่อย ๆ ปลดเป้..พิงปืน มองซ้ายมองขวา ไปทางไหนดี...
พอเขาลดหัววูบลง ผมก็ใส่เกียร์หมาสับขึ้นเนินทันที... เขาจะไล่หรือเปล่าผมไม่ได้หันไปดู
เถาวัลย์ ไม้ผุ กิ่งไม้สด หนาม ใยแมงมุม หลุมตอไม้ผุ กิ่งไม้แห้ง... ผมวิ่งผ่ามันมาหมด..
พยายามบ่ายหน้าขึ้นเนินตลอด คนแก่ ๆ สอนไว้ "หนีช้างลงควน หนีงูขึ้นควน"
หมดแรง ... นั่งแผละ.. มาก็มา..บองหลาเหอ..ถ้าตามมาถึง จะขบก็ขบเลย.. ไปต่อไม่รอดแล้ว..
ไกลขนาดไหนไม่รู้ อยู่ตรงใหนของเขาหลวงก็ไม่รู้ เออ.. มี GPS. นี่นา อ๋อ..อยู่ในเป้..

บ่ายแก่เกือบเย็น จึงมะงุมมะงาหราหาทางกลับบ้าน (หลง

) พอตะวันตกดินพอดี...
เดินมาริมห้วย เออ นั่นร่องรอยคน ปืนกับเป้ใครตั้งอยู่.. อ้อ คนบ้านเรา นี่เป้นี้ คุ้น ๆ อ้อ เป้เราเอง

แล้วไอ้ตัวที่ทำเราวิ่งตาเหลือก มาถึงยังหว่า

คว้าเป้ ปืน ลงอ้าวรวดเดียวถึงบ้านเลย...
มาเล่าใครต่อใครฟัง บ้างว่า งูทวด งูจ้าว เจ้าที่ ฯลฯ...... แต่งูของแต่ละคน คนละสีกัน และ โตกว่าที่ผมเห็นมาทั้งนั้น
ของคนหนึ่ง โตเท่าเสาเรือน อีกคนว่า เท่าถังแก๊ส

คนสุดท้าย ย่อมกว่าหน่อย เท่าต้นหมาก แต่ยาวพาดสองลูกควน

งั้น ผมไม่ไปแล้วเขานั้น เพราะที่ผมเจอ คงจะเป็นหลาน......
ผมไม่อยากเจอญาติผู้ใหญ่ของเขา....

เรื่องจริงครับ แต่เล่าใส่เครื่องปรุงเล็กน้อย..
