เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
สิงหาคม 20, 2025, 12:35:02 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วันนี้เมื่อ 60 ปีที่แล้ว  (อ่าน 11045 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #15 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 12:29:04 PM »

เหตุเกิดเมื่อปี 2530 บริเวณรอยต่อตะเข็บชายแดนไทยและประเทศลาว บริเวณบ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก
ความจริงบริเวณนั้นไม่ใช่มีแต่บ้านร่มเกล้า ยังมีอีกหลาย ๆ หมู่บ้านเรียงรายเป็นแนว ไปราว ๆ 72 กิโลเมตร
ทางทิศตะวันตกของอำเภอท่าชาติตระการ

"เขียด กูถามมึงหน่อย มึงมานี่ทำไมว่ะ" สนถามเพื่อนในหมู่ทหารตัวเอง
"หัวหน้าสั่ง มึงก็ต้องทำตาม คิดอะไรมา" เขียดตอบ พร้อมกับรีดควันบุหรี่เข้าปากไป
"เออ มึงตอบง่ายดีนะ มิน่ามึงถึงได้มาเป็น ทหารพราน ไม่ได้เป็นหมอ" สนไม่ค่อยพอใจในคำตอบ
"เออ แล้วมึงทำไมไม่ไปเป็นหมอหล่ะว่ะ มานี่ทำไม"  เขียดตอบ
"แล้วมึงหล่ะสร้าง ใจคอมึงจะแบกกล้องแบกปืนไปรบพร้อมกันรึ พกอยู่ได้"
สร้างกำลังเช็ดกล้องตัวเก่งของเขาอยู่
"เออน่า เวลายิงกูก็ยิง เวลาถ่ายก็ก็ถ่าย กูไม่เอาเปรียบมึงหรอกน่า"
สร้างตอบเพื่อนสน ช่างซอกแซก

เหตุผลที่พวกเขาต้องมารบเพราะกรณีพิพาทดินแดนบริเวณดังกล่าว
ซึ่งอยู่ห่างจากประเทศลาว ราว ๆ 10 กิโลเมตร
(ลองนึกดูล้ำเข้ามา 10 กิโลเมตร?)
ด้วยเหตุเพราะแผนที่แบ่งเขตประเทศ ตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส 1907
กำหนดให้น้ำเหืองเป็นเขตแดนสยาม (ไทย)
แต่ปีถัดมาได้มีการสำรวจใหม่ปรากฏว่ามีลำน้ำ (แม่น้ำเหืองป่าหมัน) แยกออกเป็นสองสาย
(สายน้ำเปลี่ยนทิศ?) ฝรั่งเศส เลือกสายน้ำที่ทำให้ฝรั่งเศสได้พื้นที่มากขึ้น ก็อยู่มาปกติสุข

จนมาถึงวันนี้ที่เขียดและพรรคพวก มานอนคุยกันอยู่นี่แหละ
(ไม่ทราบว่าตอนนี้ผลสรุป ออกมาเป็นยังไง)

สน สร้าง เขียด เป็นทีมร่วมหัวจมท้ายกัน เสมอ ๆ เป็นทหารพราน
อาวุธของพวกเขาคือ ปืนผาหน้าไม้ธรรมดา ๆ นี่แหละ M16 มีดปลายปืน M79 น้อยหน่าคนละ 5-6 ลูก
แต่เขียดขาดไม่ได้เลย คือ ชายผ้าถุงของแม่เขียด เขาจะเอามาผูกหัวทำเป็นผ้าโพกหัว
ซึ่งหลายคนในหมู่ ก็อดขำไม่ได้บางครั้งเพราะมันเป็นลายผ้าถุงชัดเจนมาก
แต่พอต้องออกสนามบ่อย ๆ มันดูจะหมอง ๆ ลงไปเยอะ
แต่เขียดเองก็พกไปทุกครั้ง เขาบอกว่า มันเป็นเคล็ด ทำให้รอดตายมาถึงทุกวันนี้

เขียดเองไม่รู้หรอกว่าตัวเอง สังกัดกองกำลังไหน
เขียดมีหน้าที่ ทำตามคำสั่งของผู้นำหมู่ แต่ผู้เดียว

หัวหน้าลิขิต พูดง่าย ๆ ไปไหนไปกันของให้สั่งมาคำเดียว
เขียดพร้อมลุย ทีมของเขียดมี 6 คน แต่ สร้าง สน เขียด มักจะไปด้วยกันเสมอ ๆ เวลาแยกกำลังย่อย
อีกสามคนได้แก่ เปี๊ยก สุ่ย และปั้น สามคนนั้นก็มักไปด้วยกัน
แต่ทั้งหมดก็รู้จักมักคุ้นกันทั้งหมด
โดยมี หัวหน้าลิขิต เป็นคนนำทีม
ซึ่งหัวหน้าลิขิตเองมาแรก ๆ ก็ไม่ค่อยเป็นที่ชอบใจของทีมเท่าไหร่
เพราะนายร้อยจบใหม่ คงไม่ประสีประสาอะไรกับการสั่งการ
แต่หลังจากทีมได้ฝึกร่วมกัน และ ลองสนามจริงในครั้งนี้ ลงดอย ขึ้นดอยสองรอบ
หัวหน้าลิขิต บ้าดีเดือด ไม่แพ้เขียดเลย ขนาดเขียดยอมรับ แน่นอนทุก ๆ คนในทีมก็ต้องยอมรับ

วันนี้ทีมเราถอยห่างออกมาราวๆ 5 กิโลเมตรจากจุดปะทะคือ เนิน 1428 ที่พักกองกำลังทหารพราน
ความจริงมีหลายเนิน เช่น 1730 1146

แต่เนิน 1428 เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ต้องพิชิต เพราะลักษณะเป็นเนินลาดมายังฝั่งไทย
ยากต่อการทำยุทธศาสตร์มาก

ในตอนนั้นกองกำลังต่าง ๆ ก็เข้ามาช่วยเสริม ไม่ว่า ตชด. กองกำลังจากจังหวัดทหารบกเพชรบูรณ์ 
อีกหลายร้อยนาย แต่อยู่คนละที่

ข่าวว่ากองกำลังทางอากาศ ก็มาเสริมทัพ
โดยมีกองบิน 41 เชียงใหม่ สนับสนุนทางอากาศด้วย OV-10
(ปัจจุบันเอาไปแจกฟิลิปินล์แล้ว เหลือบ้างนิดหน่อย รุ่นนี้มองไกล ๆ เหมือนของเล่น)
และ F5 จากโคราช..
ส่วนปืนใหญ่ก็มี ป.105 152

หลังจากกองกำลังไทย จากหลายหน่วย พยายามยึดเนิน 1428 แต่ไม่สำเร็จสักครั้ง
กองกำลังสูญเสียไปเยอะ
พรุ่งนี้ทีมเขียดจะลุยอีกครั้งโดย ประสานงานกับหน่วยต่าง ๆ  ซะเยอะแยะจนจำไม่หวาดไหว
แต่ที่แน่ ๆ เขียดซะอย่าง บ่อย่าน..!

"วันนี้เราจะกินมื้อเย็นบนเนิน 1428"
คำพูดนี้ดังลั่นออกมาจากหัวหน้าขิลิตขณะวางแผนการโจมตีครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้
แต่เราต้องถอยล่ามาทุกครั้ง
พอพูดจบนึกถึงหนังฝรั่งเรื่องหนึงนานละชื่อเรื่อง "สูงเสียดฟ้า ข้าฯก็จะยึด" เรื่องราวประมาณพอ ๆ กัน

"คราวนี้เราจะอ้อมไปทางทิศตะวันตกของเขา เราเป็นหน่วยหน้า อาจจะหนักหน่อย
แต่หน้าที่เราไม่ใช่หน่วยปะทะ เป็นหน่วยสอดแนมและรายงานข่าวเพื่อให้ หน่วยสนับ สนุนถล่ม"
หัวหน้าลิขิต พูดด้วยสีหน้าแบบไร้อารมณ์ แล้วชี้มือลงบนแผนที่ที่กางอยู่เบื้องหน้า

"โธ่เอ้ย…หน่วยหน้าแล้วไม่ปะทะ จะบ้ารึ" สนคิดเสียงดังแต่ก็ไม่พูดออกมาให้ใครได้ยิน
"ครับหัวหน้า" เขียดรับคำ แล้วก็รีดบุหรี่ต่อ
"หัวหน้า แล้วหน่วยอื่น ๆ หล่ะครับเขา ประสานงานกันยังไง" กลุ่มของ เปี๊ยก ถามมา
"เรื่องนั้นผม จัดการแล้วน้าเปี้ยก ไม่ต้องกังวล"  หัวหน้าลิขิตตอบ
"ใครมีคำถามอะไรไหม…..

โอเค งั้นวันนี้เราจะกินมื้อเย็นบนเนิน 1428 ขอให้ทุกคน เตรียมขนมไปฝากไอ้พวกที่อยู่บนเนินเขาด้วย"
หัวหน้าลิขิตพูดพร้อมกับเก็บแผนที่ แล้วจับปืนสั้นคู่กายเน็บข้างเอว (มีแกคนเดียวแหละ ที่มีปืนสั้น)

ส่วนสมาชิกในทีมทุกคนก็บรรจุกระสุนเข้าอู่ คนละ 5-6 ชุด ทีมเราไม่มีอาวุธหนักใดๆ

"พยายามเอาสัมภาระ ไปให้น้อยที่สุด เอาไปเท่าที่จำเป็นเท่านั้น มันคล่องตัวกว่า"
หัวหน้าลิขิตห่วงเปียกเพราะเปียกมักทำตัวพะรุงพะรังเสมอ
จะมีก็แต่เขียด ที่อยู่ในชุดที่สบายที่สุด แต่มีสิ่งเดียวคือ ชายผ้าถุงแม่ของเขียดที่ดูขวาง ๆ ตาหน่อย
"ปะ ออกเดินทางได้วันนี้เราจะอ้อมไปทางตะวันตก เลียบเขาขึ้นไป"
หัวหน้าลิขิต ก้าวออกจากเต้นก่อนแบกเป้ขึ้นหลัง สวมหมวกพรางใบเก่ง

ทีมเราถือว่าเป็นทีมแรกที่ก้าวเท้าย่ำไปในเส้นนั้นซึ่งเป็นป่าทึบ แต่ไม่สูงมากนัก
ผ่านหมู่บ้านชาวเขา เราก็สอบถามสิ่งผิดปกติต่าง ๆ เพื่อเป็นข้อมูล ก่อนเข้าเขตสีแดง
(เขตที่อาจจะโดนยิงได้ทุกขณะ)
ทุกอย่างก้าวเมื่อเข้าไปเขตข้าศึก หัวหน้าลิขิต จะเป็นผู้เดินสืบเท้าก่อน
สายตาทุกคนสอดส่ายไปมา มือกำปืนประจำกายแน่น

พร้อมลุยเมื่อมีเหตุที่ต้องทำการปะทะ เขียดเดินตามหัวหน้าลิขิต สน สร้าง เปี๊ยก สุ่ย ปั้น เรียงตามลำดับ
เขียดเป็นหัวหน้าทีมย่อยมีส้นและสร้างเป็นลูกทีม อีกทีมคือเปี๊ยกเป็นหัวหน้าทีมย่อย
การประทะตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ทุกคนอยู่ในสภาพที่อิดโรย
แต่ใจที่แกร่งของทีม ทำให้ไม่มีใคร ล้มตาย
เพราะการปะทะไม่อยู่ในระยะประชิด ก็มันขึ้นเนินไปยิงเขาไม่ได้ ขอรับ
เหมือนทีมเรายิงท้องฟ้า แล้วท้องฟ้าโรยห่ากระสุนลงมาใส่หนะ แค่ไม่ลูกกระสุนโดนตัวก็ไม่ตายละ
การต่อสู้ของเราคือพยายามเอาฐานที่มั่นคืน
ซึ่งต่างจากฝ่ายตรงข้ามคือตรึง ฐานที่มั่นให้อย่าให้ใครมารุกล้ำ
ฉะนั้น กลุ่มที่ลุยเข้าไปจะต้องแกร่งกว่า

เวลาระมาณ 10.00 น. วันไหนจำไม่ได้ ของเดือนกันยายน 2530
ขณะที่ทีมเราแทรกซึมเข้าไปยังฝั่งด้านทิศตะวันตกของเนิน 1428
ห่างจากยอดเนินอันเป็นที่มั่นของฝ่ายตรงข้ามอยู่ประมาณ 1 กิโลเมตร
วันนั้นฝนตกพร่ำๆ วันนี้เป็นวันที่เราจะต้องจดจำไปจนตาย (แต่ก็จำวันไม่ได้อยู่ดี รู้แต่ว่าวันศุกร์)

“นี่พวกเรา ผมมีเรื่องจะบอกให้ทุกคนเข้าใจ” หน้าลิขิตกล่าว
“กองกำลังทางอากาศ จะปูพรหม ทางอากาศให้กับฝ่ายโน้น
ให้เรารีบกลับออกมาก่อนเวลา 11.30 น. ไม่งั้นเราจะเดือดร้อน” หัวหน้าลิขิตพูดขึ้นมาแบบไม่ให้ทีมตั้งตัว

เพราะข่าวนี้พึ่งมารู้ตอนนี้ ทีมอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมไม่บอก ตอนวางแผน ในที่พัก
ทุกคนสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ก็ว่าไงว่ากัน
“มันจะโดนหัวเราไหม หัวหน้า” เขียดพูด พร้อมกับยิ้มให้ทีม
“ไอ้เขียด นั่นมันปากรึ นั่น” สนเสียบทันที
“ปากแบบนี้แหละ มันจะพาเราตายยกทีม” สร้าง ก็เสริมคำทันที
ทุกคนหันมามองเขียดแล้วก็ยิ้ม ๆ ส่ายหัว

ทุกคนนั่งยอง ๆ  ลงวางแผนย่อย
เพราะสภาพพื้นที่ ที่เปลี่ยนไป (การปรับตัวเข้าพื้นที่)
“เอาไงหัวหน้า มันอยู่บนนั้นเห็นไหม” เขียดถามหัวหน้าอย่าง เบา ๆ
ประมาณว่าอยากทำอะไรก็ทำตอนนี้ระยะเข้ามามันชิดเกินไป (500 เมตร)
ซึ่งมองลอดทิวไม้ขึ้นไปก็จะเจอ พลล่อเป้า
(ทหารที่รักษาการ ที่ถูกบังคับให้ยืนเพื่อเป็น เสมือนล่อเป้า ข้าศึก)

“ผมอยากเข้าไปใกล้ๆกว่านี้หน่อย อยากเห็นรายละเอียด” หัวหน้าลิขิตพูดพร้อมกับมองซ้ายขวาตลอดเวลา

“เดี๋ยวทีมเขียด ออกไปทางซ้ายเฉียงขึ้นไปบนเนินมากที่สุด เท่าที่จะทำได้
 ส่วนผมจะไปกับทีมเปี๊ยก ตรงขึ้นไปตกลงตามนี้นะ “ หัวหน้าลิขิต เอามือชี้ทางให้ทีมรู้ก่อนแยกทีม


“10.30 กลับมาเจอกันที่เดิม โอเค! เราจะลงก่อนทีมทางอากาศปูพรหม
เก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด ไปได้!” หัวหน้าย้ำนักหนาเรื่องนี้
“โอเค ตามนั้น” เขียดผงกหัวก่อนที่จะ ดึงชายผ้าถุงแม่รัดหัวให้แน่นอีกครั้ง
ทุกคนอยู่ในสภาพที่พร้อมจะปะทะมากขึ้น

ขณะที่เราเดินทางทุกก้าวที่เราเดิน คนที่สองจะพยายามเดินเหยียบบนรอยคนแรกเสมอ
และคนที่สามก็ทำตามคนที่สอง ส่ายตาสอดส่ายไปในทุกทิศทาง คนสุดท้ายจะคอยระวังหลัง

แต่ครั้งนี้เรา เกือบตายหมู่เพราะเหตุอันไม่ควรจะเกิดขึ้น
ในขณะที่เรานั่งแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อแยก ทีมเขียด และหัวหน้าลิขิตไปคนละทางนั้นเอง
ทุกคนไม่ทันระวังตัว ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ใกล้ ไม่กี่เมตร

“เฮ้ย! อย่าขยับ..!” เสียงสั่งให้อย่าขยับดังมาจากพุ่มไม้ราว 3 เมตร
ซึ่งมันคือทางที่ทีมเดินผ่านมาไม่นานนี่เอง

ทุกคนยังอยู่ในท่าทางนั่งยอง ๆ มั่ง คุกเข่ามั่ง
ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะหันหัวไปดู ตอนนั้นคิดอย่างเดียวคือโดนยิงทิ้งตรงนั้นแน่ ๆ สถานเดียว
“พวกลื้อ เป็นทหารหน่วยไหน รายงานซิ” คำพูดนี้ทำให้ทีมโล่งอก
เพราะเขารู้แล้วว่าเราเป็นทหารไทย หัวหน้าลิขิตลุกขึ้นแล้ว
รายงานต่อนายทหารผู้นั้นแล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยดี 

หัวหน้าลิขิตยกมือตะเบะ ก่อนที่ นายทหารผู้นั้น จะพาทีมเดินทางไปยังเนิน 1428
ค่อนไปทางด้านหน้าของเนิน (ซึ่งทีมเราพึ่ง วิ่งป่าราบ ลงมาเมื่อ 2-3 วันที่แล้ว
“ขอโทษทีนะ ที่ทำให้เสียขวัญ เจ้านายผมเองแหละ เขานำอีกทีมจะโจมตีเข้าทางด้านตะวันตกนี่แหละ
แต่ค่อนไปทางหน้าเนินเขาโน่น แต่ไม่รู้ทำไมมาเอา เวลานี้เพราะอีกไม่นานจะได้เวลาปูพรหมทางอากาศ”
หัวหน้าลิขิตกล่าวบอกทีม แล้วหัวหน้าบอกทุกคนปฏิบัติ ตามแผนได้

เขียด สน และสร้างก้าวเดินจากไปจากจุดนัดหมาย แล้วหายไม่ได้กลับมายังจุดนัดพบ
ขณะนั้นเป็นเวลา  11.30 น. เสียงเครื่องบิน F5 บินผ่านหัวไป
ก่อนมีเสียงระเบิดดังสนั่นบนยอดเนิน 1428
ซึ่งตอนนั้นเสียง ปตอ. 75 ก็กราดรัวสนั่น เพื่อต่อสู้เครื่องบิน

หัวหน้าลิขิต บอกขอรอ เขียดอีกสักระยะหนึ่งก่อน
ทั้ง ๆ ที่ระเบิดถูกโรยลงมาไกลจากจุดนัดพบไม่มากนักแล้ว

ในที่สุด 12.00 หัวหน้าลิขิตตัดสินใจ ลงมาจากจุดนัดพบเพราะไร้วี่แววว่าทีมเขียดจะกลับมา
ก่อนรายงานพิกัดให้กับกองกำลังภาคพื้นดิน
ทราบถึงพิกัดในการยิงปืนใหญ่ 105 / 152 ขึ้นไปยังบนดอยที่สำรวจมา
ครั้งเมื่อแยกกับเขียด

การรายงานพิกัด ยิงปืนใหญ่ภาคพื้นดินในครั้งนั้นสร้างความสูญเสียให้กับกองกำลังไทยเองไม่น้อย
เพราะ ความเหลื่อมล้ำด้านเวลา
ทำให้ทีมเจ้านายของหัวหน้าลิขิตสูญเสียกำลังพลเกือบยกทีม
การประสานงานด้านข้อมูลของกองกำลังต่าง ๆ ไม่มีความแน่นอนชัดเจนเพียงพอ
ทำให้เกิดความสูญเสียเกิดขึ้น  ในที่สุด

กองกำลังทางอากาศ F5 ถูกสกัดด้วยจรวดแซม
ทำให้เครื่องลุกท่วมก่อนที่นักบินจะดีดตัวออกจากเครื่องบินลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย
แต่โดนจับตัวเป็นเชลย

ด้าน OV-10 เครื่องบินที่ได้ชื่อว่า เครื่องบินปราบคอมมิวนิตส์ ก็สูญเสีย
ถูกสอยกลางอากาศ
แต่นักบินดีดตัวได้ทันเวลา แต่แรงดีดของเครื่อง (แรง จี) มันรุนแรงจนทำให้นักบินสลบกลางอากาศ
ก่อนถูกจับตัวเป็นเชลย เช่นกัน (ข่าวว่านักบินทั้งหมด ได้รับเหรียญกล้าหาญด้วย)

การรบครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญของวงการทหาร
เรื่องยุทธวิธี เรื่องเทคโนโลยี เรื่องการประสานงานกองกำลัง
เรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เรื่องเศรษฐกิจ 

ผมไม่แน่ใจ บทสรุปของปัญหานึ้คืออะไร จบยังไง แต่ที่แน่ ๆ
ผมขอแสดงความเสียใจ กับผู้เสียชีวิตกับเหตุการณ์นี้ด้วย มา ณ ที่นี้
พิเศษสุด เขียด สน และ สร้าง

บทความที่ผมเขียนนี้ ไม่ได้เจตนาให้บุคคลใดองค์กรใดเสื่อมเสียหรือด่างพร้อย
เป็นเพียงจิตนาการจากความรู้สึกนึกคิด

เพื่อความบันเทิงของท่านผู้อ่าน ก็เท่านั้นเอง จึงเรียนมาเพื่อ ทราบ….(ตะเบะ)


(ปล. การสร้างสันติภาพ ด้วยความรุนแรง มักไม่ได้รับการ ยินดีปรีดา)


___________________________________________________________ ________________

และในกรณีนี้...ล่ะครับ
ยอดสูญเสีย....ก็น้อยกว่า....
เพียงต่างกันที่...สัญชาติของผู้เสียชีวิต เท่านั้น....

จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น....

บันทึกการเข้า
สุพินท์ - รักในหลวง
Guns & Games Staff
Hero Member
*****

คะแนน 3539
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 12903



« ตอบ #16 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 12:54:38 PM »

ไอสไตน์ ไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกับโครงการแมนฮัตตัน   เป็นเพียงคนเขียนจดหมายถึง ปธน.สหรัฐ ว่าโครงการระเบิดนิวเคลียร์ของเยอรมันไปถึงไหนแล้ว   ทำให้ ปธน.สหรัฐ ยอมให้ทุนค้นคว้าเพื่อผลิตระเบิดนิวเคลียร์
การทิ้งระเบิด  เท่าที่เปิดเผยมาแล้ว มีหลายสาเหตุ  เรื่องใหญ่ที่สุด คือการบล็อคโซเวียตที่กำลังเคลื่อนกำลังเข้ามาทางญี่ปุ่น   ซึ่งเป็นการคุกคามต่อมหาสมุทรแปซิฟิค ที่สหรัฐถือว่าเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวของลุงแซม
บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #17 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 01:10:00 PM »

 Cheesyคำตอบพี่Ro@d เป็นคำตอบที่ตรงใจผมและคนหลายคนที่รู้สิ้นเห็นชาติพวกตาน้ำข้าวมากที่สุดครับ
"คนที่ทำตัวเป็นพระเอกมากที่สุดนั้นแหละคนที่ร้ายที่สุด"
บันทึกการเข้า
rute - รักในหลวง
Forgive , But not Forget .
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1960
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 22591


"ผลิดอกงามแตกกิ่งใบ..."


« ตอบ #18 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 01:38:41 PM »

ไอสไตน์ ไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกับโครงการแมนฮัตตัน   เป็นเพียงคนเขียนจดหมายถึง ปธน.สหรัฐ ว่าโครงการระเบิดนิวเคลียร์ของเยอรมันไปถึงไหนแล้ว   ทำให้ ปธน.สหรัฐ ยอมให้ทุนค้นคว้าเพื่อผลิตระเบิดนิวเคลียร์
การทิ้งระเบิด  เท่าที่เปิดเผยมาแล้ว มีหลายสาเหตุ  เรื่องใหญ่ที่สุด คือการบล็อคโซเวียตที่กำลังเคลื่อนกำลังเข้ามาทางญี่ปุ่น   ซึ่งเป็นการคุกคามต่อมหาสมุทรแปซิฟิค ที่สหรัฐถือว่าเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวของลุงแซม

 Cheesy ใช่คับสนับสนุนพี่สุพินท์คับ...

หัวหน้าแมนฮัตตันโปรเจ็ครู้สึกจะเป็นอีตาออฟเพนไฮเมอร์(คุ้นๆนะคับ)...  Grin
บันทึกการเข้า
สุพินท์ - รักในหลวง
Guns & Games Staff
Hero Member
*****

คะแนน 3539
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 12903



« ตอบ #19 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 02:15:07 PM »

หัวหน้าแมนฮัตตันโปรเจ็ครู้สึกจะเป็นอีตาออฟเพนไฮเมอร์(คุ้นๆนะคับ)... Grin

รู้สึกว่าจะเป็นทหาร  อาจจะเป็น พล.อ.มาแชล   ส่วนออฟเพนไฮเมอร์ เป็นคนให้ทุนระยะแรก  ต่อมาคล้าย ๆ กับจะเป็นหัวหน้าทางฝ่ายพลเรือน   ที่แน่ ๆ คือโครงการแมนฮัตตัน เฟสสุดท้าย  เงินไม่พอ  พล.อ.มาแชล เป็นคนไปขอเงินสภา   โดยไม่บอกว่าเอาเงินมาทำอะไร  แต่สภาก็ยอมให้เงิน เพราะไว้ใจ พล.อ.มาแชล
นักวิทยาศาสตร์ ที่เป็นคีย์แมน  เป็นชาวยิวที่หนีมาจากยุโรป ๔ คน
บันทึกการเข้า
mary
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #20 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 03:11:21 PM »

ถึงผมเป็นผู้ขับเครื่องบินที่ทิ้งระเบิด ลงนั้น ผมก็ไม่คิดว่ากระผมทำผิดนะครับ
เนื่องจาก หากผมไม่ขับไป อาจจะมีคนอื่นขับแทน ซึ่งอาจจะมีฝืมือแย่กว่าผม (การกิจแบบนี้ผิดพลาดไม่ได้จึงต้องเลือกมือดีที่หนึ่งขับ) และหาก ภาระกิจนั้นล้มเหลว ต้องมีผู้คนที่ถูกญี่ปุ่นรุกรานอีกเท่าไร
บันทึกการเข้า
ออด
Hero Member
*****

คะแนน 17
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2870


« ตอบ #21 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 03:36:49 PM »

สงครามมีแต่ความสูญเสีย
บันทึกการเข้า

"..รักปืน ชอบปืน หมั่นฝึกซ้อมและดูแลรักษาให้ดี.."
                    "..มีปืน ต้องมีสติ.."
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #22 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 04:57:22 PM »

อือม์ ความย่อยยับของระเบิดนิวเคลียร์เป็นเรื่องในทางสัญลักษณ์มากกว่าในทางปฏิบัติ เวลาเยอรมันโดนบอร์มหนักๆ ชาวบ้านก็ตามเป็นแสนเหมือนกัน อย่างที่เดรสเดน วันที่ 15 กพ. 1945 โดนบอร์มทั้งที่เยอรทฃมันจะแพ้อยู่แล้ว ตัวเลยประชากรในเมืองตาย 120,000-140,000 คน แต่ที่จริงมีแรงงานต่างถิ่น กับแรงงานเชลยอีกมาก ตอนฮัมบูรโดนบอร์มก็พอกัน รวมแล้วชาวบ้านเยอรมันตายประมาฯ 600,000 คน ด้านโซเวียตชาวบ้านตายอย่างน้อย 20 กว่าล้านคน อย่างน้อยประชากรชายตอนปี 1945 เหลือแค่ร้อยละ 5 ของตอนปี 1939

การบอร์มที่นางาซากิอาจเป็นแค่การขู่โซเวียตมากกว่าการโจมตีญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามตอนนั้นฝ่ายตะวันตกกลัวโซเวียตเข้าไปยึกญี่ปุ่นมาก เพราะโซเวียตฉวยโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น "หลัง" ญี่ปุ่นโดนบอร์มที่ฮิโรชิม่าด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรกับเยอรมันแค่โซเวียตก็รบกับเยอรมันฝ่ายเดียว ไม่เคยประกาศสงครามกับอักษะแบบรวมมิตร

ที่แน่ๆ คือถ้าไม่ใช้นิวเคลียร์บอร์ม ตอนเมกันยกพลขึ้นบกบนเกาะใหญ่ๆ ชาวบ้านญี่ปุ่นจะตายมากกว่านี้หลายสิบเท่า ทั้งพยายามสู้กับทหารเมกัน ทั้งฆ่าตัวตายเอง

สุดท้ายก็คือระเบิดนิวเคลียร์และภาพฮิโรชิม่ากับนางาซากิโดนบอร์มนี่แหละครับที่ทำให้เรายังไม่มีสงครามโลกครั้งที่สาม... (เพราะเราไม่ค่อยเอาภาพเมืองเยอรมันที่เสียหายจากระเบิดธรรมดามากกว่ามาดู บ้านเมืองญี่ปุ่นสร้างด้วยไม้มากเลยเรียบไปหมด เมืองเยอรมันเป็นปูนเป็นหินถึงไม่เรียบก็เห็นได้ว่าย่อยยับกว่า)
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
aniki
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 232
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3074


สังคมดีไม่มีขาย...ถ้าอยากได้ต้องร่วมสร้าง


« ตอบ #23 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 06:00:51 PM »

เช้าของวันนี้เวลา8.15น.  ตามเวลาท้องถิ่น  เจ้าลิตเติลบอย  หนัก3ตัน ก็ถูกปล่อยลงชานเมืองฮิโรชิมา....ญี่ปุ่นถึงกับตาค้างตกใจในความหายนะแห่งสงคราม
แล้วมันก็จบ..ท่ามกลางความพินาศทั้งผู้คนและทรัพย์สิน  คนรอบข้างผมมีคุณยายของเมียผมเสียชีวิตไปกับสงครามครั้งนี้ หัวเราะร่าน้ำตาริน  ในความเห็นของผม
เป็นเรื่องที่น่าศึกษามากที่ญี่ปุ่นยอมแพ้ชนิดไม่มีการต้าน  จนทุกวันนี้ทั้งประชาชน..สื่อมวลชล..การเมือง  ไม่มีการตำหนิเมกาและผู้นำของตัวเอง  ไม่มีการฟื้นฝอยหา
ตะเข็บ   ทุกคนก้มหน้าก้มตาสร้างตัวและประเทศ  60ปีผ่านมาญี่ปุ่นเติบโตและเข้มแข็งมาก   หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า

ขอคืนคุณสู่แผ่นดิน  รักในหลวง
JarengkaBOW
Dog in Thailand
Hero Member
*****

คะแนน 18
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6150

By physically, the object couldn't lit by itself.


เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 06:57:01 PM »

ทุกคนก้มหน้าก้มตาสร้างตัวและประเทศ  60ปีผ่านมาญี่ปุ่นเติบโตและเข้มแข็งมาก 

ทำไมมนุษย์ถึงทำอะไรแบบนี้ได้หลังจากเกิดความสูญเสียแล้ว
บันทึกการเข้า

I am dying... -*-


anna
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 7
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 102



« ตอบ #25 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 08:17:20 PM »

เอ..แล้วตอนญี่ปุ่นกามิกาเช่นี่เค้าเสียใจมั๊ยคะ?

ทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ.
บันทึกการเข้า

ปืนธีรพงษ์ 081797 5099  สนามยิงปืนจังหวัดชุมพร 077 658 111-2
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #26 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 08:30:37 PM »

อือม์ ข้อมูลที่น่าสนใจคือทหารที่ไปเป็นกามิกาเซ่ ทั้งขับเครื่องบินธรรมดา ขับจรวดระเบิด "โอก้า" ขับ ตอร์ปิโดมนุษย์ "ไคเต็น" อายุต่ำกว่า 30 ทั้งนั้นครับ ในบริเวณศาลเจ้ายากุซุนิที่เป็น "วัลฮัลล่า" ที่อยู่ของวิญญาณฮีโร่ที่รบและตายเพื่อชาติของญี่ปุ่นจะมีพิพิธภัณฑ์ทหารซึ่งเป็นพิพิธภัณธ์ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นอยู่ด้วย เขาทำไว้ดีจัดเป็นช่วงต่างๆ ตั้งแต่รบกันเองตอนปฏิรูปประเทศ ช่วงในเรื่อง The Last Samurai นั่นละครับ ซึ่งหลังจากยุคนั้นเขาก็ประกาศว่าทหารทุกฝ่ายที่รบในสงครามกลางเมืองถือเป็นฮีโร่ของชาติวิญญาณมาอยู่ที่นี่ทั้งหมด

ตอนญี่ปุ้นจะยอมแพ้บางพวกก็ไม่ยอมครับ มีนายทหารกลุ่มนึงวางแผนจะบุกเข้าวังเพื่อแย่งเทปที่อัดดำรัสของเอมเปอเรอที่ประกาศยอมแพ้มาทำลาย แต่แผนนี้ล้มเหลวพวกนั้นเลยฆ่าตัวตายหมู่ (ตามระเบียบ) ทหารหลายคนก็ไปฆ่าตัวตายเล่นๆ ที่ลานหน้าวังเอมเปอเรอในโตเกียวเหมือนกัน

ที่จริงตอนเยอรมันแพ้สงครามก็มีทหารฆ่าตัวตายพอควร จำไม่ได้ว่าอ่านจากไหรเขาว่ามีนายทหารรัดับนายพลฆ่าตัวตายเกือบ 100 คน

บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #27 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 08:48:39 PM »

ขออนุญาตช่วยเพื่อนคร้าบบบบ...........

คำว่ากามิกาเซ่ มาจากคำสองคำต่อกัน คือ kami หมายถึง พระเจ้า (god) และ kaze หมายถึง ลม (wind)
รวมกันมีความหมายว่า ลมแห่งสวรรค์ หรือ divine wind ในภาษาอังกฤษ
และยังหมายถึงลมสลาตัน ( typhoon)
ซึ่งช่วยให้ญี่ปุ่นรอดพ้นจากการรุกรานจากกองทัพมองโกลภายใต้การนำของกุบไลข่าน เมื่อปี 1281

อย่างไรก็ตาม คำว่า กามิกาเซ่ในภาษาญี่ปุ่น ถูกนำมาใช้เรียกลมสลาตัน
และนำมาใช้เป็นชื่อฝูงบินและนักบินกามิกาเซ่ เท่านั้น

ต่างไปจากในภาษาอังกฤษ ที่ชาวตะวันตกนำคำ ๆ นี้มาใช้เรียก
การโจมตีแบบพลีชีพ (suicide attacks) ในหลายรูปแบบอย่างกว้างขวาง
นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
เช่น Selbstopfer ของนาซีเยอรมันนี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง


ปฏิบัติการณ์ของฝูงบินกามิกาเซ่
นับได้ว่าเป็นการรบทางอากาศที่มีอิทธิพลและเป็นที่รู้จักมากกว่าการรบทางอากาศรูปแบบอื่น ๆ ของญีปุ่น
กามิกาเซ่ใช้นักบิน รวมไปถึงทหารบนเครื่องถือวัตถุระเบิด และลูกเรือ
หน่วยทหารที่รับผิดชอบในเรื่องนี้
มีชื่อเรียกเป็นภาษาญีปุ่น ว่า “โทคูเบตสุ โคกิคิ ไท” แปลว่า หน่วยโจมตีพิเศษ (special attack unit)





กองทัพญี่ปุ่น ไม่เคยขาดแคลนอาสาสมัครนักบินที่จะมาทำงานให้กับหน่วยโจมตีพิเศษพลีชีพ กามิกาเซ่
จริง ๆ แล้ว จำนวนคนที่ต้องการจะมาเป็นนักบินพลีชีพ มากกว่าจำนวนเครื่องบินที่มีอยู่ถึงสามเท่าด้วยซ้ำไป
ในการคัดเลือกตัวนักบิน
พวกนักบินมากประสบการณ์ เสืออากาศต่าง ๆ จะถูกกีดกันออกไป
เนื่องจากนักบินเหล่านี้มีคุณค่าในการรบเชิงป้องกัน (defensive) และในการฝึกสอนนักบินรุ่นใหม่ ๆ
ซึ่งทางกองทัพจะต้องอาศัยนักบินมากประสบการณ์เหล่านี้ในระยะยาว



นักบินพลีชีพกามิกาเซ่ส่วนใหญ่จะมีอายุอยู่ในช่วง 20 ปี เป็นนักศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย
แรงจูงใจที่ทำให้นักศึกษาเหล่านี้เข้าร่วมเป็นนักบินพลีชีพของกองกองทัพมาจากความรักชาติ (patriotism)
ความปรารถนาที่จะนำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูลของตนเองด้วยการสละชีพเป็นชาติพลี
และเพื่อพิสูจน์คุณค่าของความเป็นลูกผู้ชาย
ซึ่งกลายเป็นความนิยมที่ร้อนแรงในหมู่วัยรุ่นรักชาติของญี่ปุ่นในขณะนั้น





ก่อนที่นักบินกามิกาเซ่จะออกปฏิบัติการณ์เพียงเล็กน้อย
ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทางหน่วยจะจัดพิธีพิเศษ (special ceremony) ให้กับนักบินเหล่านี้
มีการสวดมนต์ให้พรนักบินพร้อมด้วยญาติมิตรของนักบินที่มาร่วมในงาน
และเหล่านักบินจะได้รับเครื่องยศทางทหาร (military decoration)
พิธีดังกล่าวมีผลต่อขวัญและกำลังใจของนักบินที่จะออกไปปฏิบัติการณ์
และทำให้เกิดภาพพจน์และแรงจูงใจที่ดีต่ออาสาสมัครที่ต้องการจะมาเป็นนักบินกามิกาเซ่รุ่นต่อ ๆ ไป


ข้อมูลจาก Royal Thai Naval Academy ครับ....

จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 06, 2005, 09:20:16 PM โดย 51 » บันทึกการเข้า
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 08:57:44 PM »

"สาเก" เนี่ยเก็บลืมไว้นานข้ามปีจะเสียหรือเปล่าครับ? พอดีนึกขึ้นมาได้ จะเปิดจิบเองเผื่อเจอว่ายังดีเดี๋ยวจิบต่อไม่หมด...
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #29 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2005, 09:03:24 PM »

"สาเก" เนี่ยเก็บลืมไว้นานข้ามปีจะเสียหรือเปล่าครับ?
พอดีนึกขึ้นมาได้ จะเปิดจิบเองเผื่อเจอว่ายังดีเดี๋ยวจิบต่อไม่หมด...

หอบมาได้เลย....ร่วมก๊ง...กัน....
ผมไม่อยากเชื่อว่า....สาเกขวดเดียว...
จะสามารถรับมือ...ท่านจอมยุทธ จนท. ได้เกินสามเพลงยุทธ ง่ะครับ อิ อิ

จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น....

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 06, 2005, 09:12:04 PM โดย 51 » บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.074 วินาที กับ 21 คำสั่ง