เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
กันยายน 30, 2025, 10:15:52 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ระบบรีคอยล์ ??  (อ่าน 8930 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ญาติระอา
Jr. Member
**

คะแนน 3
ออฟไลน์

กระทู้: 72


« เมื่อ: กันยายน 14, 2008, 09:30:41 PM »

ขออภัยท่านสมาชิกครับ  มีปัญหามารบกวนกันอีกแล้ว
คือได้อ่านเจอในหนังสือ  แล้วพบว่าในปืนออโต. ที่ทำงานโดยใช้ระบบรีคอยล์
มันไม่ได้มีแบบเดียวเหมือนที่ผมคิดไว้ซะแล้ว ( 1911 )  เลยอยากจะทราบว่า

1.ในปัจจุบันนี้  ระบบรีคอยล์มีทั้งหมดกี่แบบครับ  และแต่ละแบบใช้กับยี่ห้ออะไรบ้าง
2.แรงรีคอยล์จะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน
3.ในกระสุนขนาดเดียวกัน  ยิงในปืนออโต.กับในปืนลูกโม่  แรงรีคอยล์ที่เกิดขึ้นจะเท่ากันไหม

                                                                            ขอขอบคุณทุก ๆ คำตอบที่จะเพิ่มพูนความรู้ให้ครับ ไหว้
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 14, 2008, 09:45:38 PM »

โห...
บันทึกการเข้า
มะขิ่น
Hero Member
*****

คะแนน 2453
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17813


"ทหารแก่ไม่มีวันตาย แต่จะค่อยๆเลือนหายไป"


« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 14, 2008, 09:57:54 PM »

อ่านไหวหรือเปล่าครับ ...............

ถ้าอ่านไหว ............เอาไปเลย  Grin

........................................................... ..................

ระบบปฏิบัติการของปืนพกกึ่งอัตโนมัติ

   ระบบปฏิบัติการซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของปืนกึ่งอัตโนมัติคือ “การหน่วงเวลา” เป็นระบบที่ความสำคัญมากและเป็นความเร้นลับที่นักยิงปืนเป็นจำนวนไม่น้อยยังไม่เข้าใจและมีความสับสนในการทำงานของการหน่วงเวลา

   คำถามหนึ่งที่มักถูกถามอยู่เสมอคือ ทำไมจึงต้องมีระบบหน่วงเวลา ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจขั้นตอนการทำงานของปืนออโตฯกันก่อน เพื่อจะได้เห็นถึงความจำเป็นว่าจะต้องมีระบบการทำงานหน่วงเวลา

   ในการทำงานของกระสุนปืน  เมื่อเข็มแทงชนวนพุ่งเข้ากระแทกจอกชนวนบนจานท้ายกระสุน ชนวน หรือ ไพรเมอร์ (Primer) ที่บรรจุอยู่จะเกิดปฏิกิริยาเคมี เกิดเป็นประกายไฟ  จุดดินขับที่บรรจุไว้ให้ลุกไหม้ขึ้นในปลอกกระสุน  แรงดันของแก๊สที่เกิดขึ้นจะขับดันหัวกระสุนให้หลุดออกจากปลอกที่เม้มจับเอาไว้  ให้เคลื่อนตัวผ่านสันเกลียวและร่องเกลียวภานในลำกล้องพุ่งออกไปที่ปากกระบอก

   ส่วนปลายของปลอกกระสุนที่ออกแบบไว้บางกว่าส่วนอื่น  จะขยายตัวอัดแน่นสนิทกับรังเพลิง  ป้องกันไม่ให้แก๊สรั่วไหลย้อนออกไปทางด้านหลัง  ขณะเดียวกันแรงดันในรังเพลิงก็จะพยายามดันปลอกกระสุนให้เคลื่อนตัวถอยหลังออกจากรังเพลิง

   แก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้ของดินขับที่เกิดขึ้นในรังเพลิง  ที่มีพื้นที่อันจำกัด  มีแรงดันสูงอย่างมหาศาล  เช่นในกระสุนขนาด 9 มม. พาราฯนั้นมีแรงดันในรังเพลิงสูงถึง 35,000 พีเอสไอ หรือประมาณ 1,400 บาร์  หากถูกดันออกจากรังเพลิงแบบทันทีทันใด  ปลอกกระสุนที่ทำด้วยทองเหลืองบางๆจะระเบิดฉีกขาดออกทันทีทำให้ผู้ยิงได้รับอันตราย

   ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่จะต้องมีการป้องกันไม่ให้ปลอกกระสุนถูกดันออกจากรังเพลิงในขณะที่แรงดันภายในรังเพลิงยังสูงอยู่  จนกว่าหัวกระสุนจะผ่านพ้นลำกล้องออกไปแล้วและแรงดันในรังเพลิงลดลงอยู่ในระดับที่ปลอดภัยเสียก่อน   ปลอกกระสุนจึงจะถอยออกมาจากรังเพลิงได้อย่างปลอดภัย

   การหน่วงเวลา  มีด้วยกันสองระบบ คือ

1.โบลว์แบ็ค  แอ็คชั่น (Blowback Action)  เป็นการหน่วงเวลาโดยน้ำหนัก  หรือมวลสารของสไลด์และแรงดันของรีคอล์ยสปริง

2.รีคอล์ย  แอ็คชั่น (Recoil Action)  เป็นการหน่วงเวลาด้วยการขัดกลอน  ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบของปืนแต่ละกระบอก

ซึ่งทั้งสองระบบเป็นผลงานการคิดค้นของ จอห์น โมเสส เบราว์นิ่ง – บิดาแห่งปืนอัตโนมัติ  ได้รับการจดทะเบียนตราสินเอาไว้เมื่อปี ค.ศ.1897 ในขณะที่เบราว์นิ่งมีอายุ 42 ปี


การหน่วงเวลาระบบโบลว์แบ็ค

   ในระบบนี้มีการทำงานตรงตามความหมายคือ การอัดหรือเป่าให้ถอยหลัง  เป็นการหน่วงเวลาที่พื้นฐานที่สุด  มีการทำงานอย่างง่ายๆ ที่ไม่มีกลไกซับซ้อน  นิยมใช้ในปืนออโตที่ใช้กระสุนขนาดเล็กสุดขึ้นไป  จนถึงไม่เกิน .380 ACP มีการนำไปใช้ในปืนขนาด 9 มม. พาราฯบ้างเหมือนกันแต่น้อยมาก เช่น ใน HK VP70 ปืนพกกลที่มีสวิทช์ควบคุมการยิงได้ทีละนัด และทีละสามนัดเมื่อประกอบกับชุดพานท้าย

   ระบบโบลว์แบ็คไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันกับแรงกด  หรือค่าK ของรีคอล์ยสปริงมากนัก  แค่มีกำลังพอที่จะดันสไลด์ให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าจนสุดระยะ  สามารถป้อนกระสุนเข้ารังเพลิงและปิดท้ายลำกล้องได้อย่างสมบูรณ์ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว  เนื่องจาก  ระบบโบลว์แบ็ค ใช้มวลของสไลด์และแรงดันของรีคอล์ยสปริงเป็นตัวหน่วงเวลาโดยตรง  ขั้นตอนการทำงานมีดังนี้

1.ยิง

2.แรงดันของแก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้จะดันทั้งหัวกระสุนและดันทั้งปลอกให้ถอยหลัง  ช่วงเวลานี้น้ำหนัก/มวลของสไลด์ร่วมกับแรงดันของรีคอล์ยสปริงจะดันสไลด์สู้กับแรงถอยหลังของปลอกกระสุน  ช่วงจังหวะนี้เอง กระสุนก็เดินทางผ่านลำกล้องพ้นออกไปแรงดันในรังเพลิงลดลง  แรงดันของแก๊สที่ดันกระสุนถอยหลังจะดันปลอกกระสุนออกไปกระแทกกับหน้าลูกเลื่อนแบบแรงเฉื่อย  ทำให้สไลด์ได้รับแรงถอยออกมา

3.สไลด์ก็ถอยหลังออกดึงปลอกกระสุนออกทิ้งไป พร้อมกับง้างนกปืนขึ้น จนสุดระยะ และปิดกลับด้วยแรงของรีคอล์ยสปริง ไปข้างหน้าโดยป้อนกระสุนนัดใหม่เข้ารังเพลิงไปด้วย
สำหรับรีคอล์ยสปริงของปืนออโตระบบโบลว์แบ็ค  ส่วนใหญ่มักถูกออกแบบให้สวมทับลงไปบนลำกล้องหรือไม่ก็อยู่ข้างบนลำกล้อง

   ปืนออโตฯที่ใช้ระบบปฏิบัติการหน่วงเวลาแบบโบลว์แบ็ค  ตัวอย่างเช่น Walther PPK .380ACP , Walther P22 .22LR , Ruger Mark ll .22LR , S&W 2213 .22LR  , SIG 230,232 .380ACP , Browning Baby 6.35 , CZ92 6.35 เป็นต้น

ระบบขัดกลอนหน่วงเวลา

   ในปืนออโตที่ใช้กระสุนแรงสูง  แรงดันของแก๊สในรังเพลิงที่เกิดจากการเผาไหม้ของดินขับจะสูงมากทำให้สไลดืถอยหลังอย่างรวดเร็ว  การอาศัยมวลของสไลดืและแรงดันของรีคอล์ยสปริงในระบบโบลว์แบ็คจึงไม่เพียงพอสำหรับการหน่วงเวลา(หากออกแบบให้ใช้ระบบโบลว์แบ็ค ก้จะต้องใช้สไลด์ที่หนักมากและรีคอล์ยสปริงที่มีค่า K สูงมาก จนต้องออกแบให้ปืนมีน้ำหนักมากและสปริงแข็งจนดึงสไลด์ลำบาก)  ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาระบบโบลว์แบ็คให้ก้าวหน้าขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เพื่อให้ปืนที่ใช้กระสุนขนาดใหญ่ที่มีแรงดันในรังเพลิงสูง  ทำงานได้อย่างสมบูรณ์  ไม่ก่อให้ผู้ยิงได้รับอันตรายจากปลอกกระสุนที่ระเบิดออกมา

   การหน่วงเวลาที่สมบูรณ์  จะต้องมีการขัดกลอนของกลไกตัวปืนเข้ามาเกี่ยวข้อง  การหน่วงเวลาในระบบรีคอล์ยเป็นระบบที่ดีที่สุด  เนื่องจากมีการขัดกลอน หรือล็อคกิ้ง (Locking) ที่สมบูรณ์แบบโดยมีการทำงาน 2 ขั้นตอนควบคู่กันไปคือ  การขัดกลอนและการหน่วงเวลา เพื่อรอให้หัวกระสุนเคลื่อนตัวผ่านพ้นปากลำกล้องไปก่อน  จากนั้นปืนจึงปลดการขัดกลอนปล่อยให้สไลด์ถอยตัวถอยหลังต่อไปในระบบโบลว์แบ็ค  จนครบวงจรการทำงานของปืนกึ่งอัตโนมัติ

   ระบบการขัดกลอนนิยมใช้กับปืนที่ใช้กับกระสุนขนาดหนักตั้งแต่ 9 มม.พาราฯขึ้นไป  ซึ่งล้วนแต่เป็นกระสุนที่มีแรงดันในรังเพลิงค่อนข้างสูงทั้งสิ้น  แบ่งออกเป็นระบบย่อยได้ดังนี้

2.1Browning Action

2.2Walther Block Actio

2.3Toggle Locked Action

2.4Gas-Pressure Locking System

2.5Bolt-Locking Roller System

2.6Rotation Breech-Locked System

2.7Rotating Locked Mechanism

 
ระบบ Browning Action

   ตามที่กล่าวมาแล้วว่า จอห์น โมเสส เบราว์นิ่ง เป็นผู้คิดค้นระบบหน่วงเวลาชนิดนี้ขึ้นใช้ในปืนออโตเป็นคนแรก  และเป็นพื้นฐานของระบบหน่วงเวลาแบบอื่นๆ ซึ่งออกแบบขึ้นมาใช้กับปืน Colt M1911A1 และ  Browning Hi-Power ซึ่งเป็นที่เทียบชั้นปืนออโตอมตะที่เป็นตำนานของปืนพกไปแล้ว  ในปืนพกยุคใหม่ๆก็ยังอาศัยพื้นฐานระบบหน่วงเวลาของเบาร์นิ่งเป็นหลักในการทำงานเสมอ

   จุดเด่นของระบบนี้คือ  มีความแข็งแรงทนทานต่อสิ่งสกปรกต่างๆทั้งจากฝุ่นผงและเขม่าที่เกิดจาการเผาไหม้ของดินขับ  ใช้หลักการง่ายๆทำให้มีต้นทุนในการผลิตต่ำ  แต่เป็นระบบที่มีความเชื่อถือได้สูงสุด

   ปัจจุบันระบบรีคอยของเบาร์นิ่งก้ได้รับการนำเอามาปรับปรุงแก้ไข  เพื่อให้มีการทำงานง่ายขึ้น  ในเวลาเดียวกันก็มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นไปอีก โดยแบ่งไปได้อีก 3 ระบบย่อยๆ คือ

1.ระบบ Browning-Colt System

ในเบาร์นิ่งแอ็คชั่นทุกระบบ จะมี”ริป”(Rip) หรือ ซี่โครง บนท้ายลำกล้อง 1-2 ซี่ โดยจะทำหน้าที่ขัดกลอนกับร่องบากด้านในของสันสไลด์ในขณะที่สไลดือยู่ในตำแหน่งปิดท้ายรังเพลิง  เมื่อมีการยิง  ระหว่างที่หัวกระสุนวิ่งผ่านลำกล้องออกไปนั้น ซี่โครงของลำกล้องกับร่องบากของสไลด์ที่ขัดกันอยู่นั้นจะทำให้ทั้งสไลด์และลำกล้องเคลื่อนตัวถอยหลังมาด้วยกันในระยะสั้นๆ ด้วยแรงผลักของแก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้ของดินขับ

เมื่อกระสุนผ่านพ้นลำกล้องไปแล้ว  ท้ายลำกล้องจะถูกห่วงโตงเตงหรือ “บาร์เรลลิ้ง” (Barrel-Link) ดึงให้ยุบตัวต่ำลง  ปลดการขัดกลอนระหว่างซี่โครงลำกล้องกับร่องบากภายในสันสไลด์  ลำกล้องหยุดนิ่งอยู่กับที่  ปล่อยให้สไลด์ถอยตัวต่อไปข้างหลังอย่างอิสระ  การทำงานก็เกิดขึ้นต่อไปตามวงรอบ
ปืนที่ใช้ระบบการขัดกลอนหน่วงเวลาระบบนี้ มีแบบเดียวคือ Colt Government series และปืนอื่นๆที่ลอกเลียนแบบไปจาก Colt เช่น Kimber STI ฯลฯเป็นต้น

2.ระบบ Browning-FN System

ระบบนี้ใช้ทางลาดของขาใต้ลำกล้องที่เรียกว่า”แชงค์”(Shank) ที่ทำมุมในแนวเฉียง หรือเป็นห่วงลูกเบี้ยวรูป “ไต” ใต้ลำกล้อง ทำงานแบบเดียวกันกับห่วงโตงเตง ในระบบ เบาร์นิ่ง-โคลท์ โดยที่ส่วนบนของท้ายลำกล้องยังมีซี่โครงและด้านในของสันสไลด์ยังคงมีร่องบากสำหรับขัดกลอนเช่นเดิม
ปืนออโตที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ Browning Hi-Power 1935 , CZ 75 , CZ 85 ฯลฯเป็นต้น

3.ระบบ Browning-Petter/Sig System

ระบบนี้มีหลักการทำงานที่คล้ายกับระบบเบาร์นิ่ง-เอ๊ฟเอ็น  แต่แตกต่างกันที่ ไม่มีซี่โครงและร่องบากที่ด้านในสันสไลด์

เบาร์นิ่ง-เพทเตอร์  ใช้ขอบด้านบนของรังเพลิงขัดกลอนโดยตรงกับช่องคายปลอกกระสุนของสไลด์  ซึ่งมีรูปทรงสัมพันธ์กันได้อย่างลงตัว  ทำให้การขัดกลอนเป็นไปด้วยความสมบูรณ์  เป็นการขัดกลอนโดยตรงระหว่างสไลด์กับลำกล้อง

ปืนออโตที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ SIG , HK USP , Glock ฯลฯเป็นต้น

ระบบ Walther Block Action

   ในบ้านเราให้คำจำกัดความของระบบขัดกอลนแบบนี้ว่า “ระบบกลอนตก”  ซึ่งส่วนประกอบจะมีชุดขัดกลอน”ล็อคกิ้ง บล็อก” ( Locking Block) อยู่ใต้ลำกล้อง ทำงานสัมพันธ์กันระหว่างลำกล้องกับสไลด์   อุปกรณีตัวนี้มีเดือยตัวเล็กๆโผล่ยื่นออกมาทางด้านหลังเรียกว่า “ไพโวติ้ง บล็อก” (Pivoting Block) มีขั้นตอนการทำงานดังนี้

ที่ชุดขัดกลอนมีปีกยื่นออกมาสองข้าง สามารถเคลื่อนที่ขึ้น-ลงได้ ตามตำแหน่งของลำกล้อง คือเมื่อลำกล้องเคลื่อนที่อยู่หน้าสุด ปีกทั้งสองนี้จะเคลื่อนขึ้นมาขัดกับร่องข้างสไลด์บริเวณข้างช่องคายปลอกกระสุนเป็นการ”ขัดกลอน” เมื่อลำกล้องถอยมาพร้อมกับสไลด์ระยะหนึ่งจนลำกล้องหยุด ปีกทั้งสองนี้จะเคลื่อนตัวลงหลุดจากร่องบากข้างสไลด์เป็นการ”ปลดกลอน

เมื่อทำการยิงและหัวกระสุนเคลื่อนตัวผ่านพ้นปากลำกล้องไปแล้ว  ลำกล้องและสไลด์จะเคลื่อนตัวไปข้างหลังด้วยกันประมาณ 8 มม. จากนั้นลำกล้องจะหยุดอยู่กับที่  เดือยเล็กๆที่ติดตั้งไว้ด้านล่างของชุดขัดกลอนจะชนอัดกับผนังของโครงปืน  แกนเดือยดังกล่าวจะยุบตัวเข้าไปกดปีกทั้งสองข้างของชุดขัดกลอนให้ตกลง ปลดกลอนจากร่องบากของสไลด์

สไลด์จะถอยหลังไปอย่างอิสระ ทำการคัดปลอกกระสุนทิ้ง ง้างนก และปิดกลับเข้าที่พร้อมป้อนกระสุนเข้ารังเพลิง เดือยของชุดขัดกลอนจะดันตัวเองและยกปีกของชุดขัดกลอนให้กลับขึ้นมาเข้าในร่องบากสไลดืเป็นการขัดกลอน  การปลดและขัดกลอนระบบนี้ แนวลำกล้องจะไม่ลดตัวลงเหมือนกับระบบของเบราว์นิ่ง ซึ่งตามทฤษฎีเชื่อว่าสามารถเอื้ออำนวยให้ปืนมีความแม่นยำกว่า

Walther แห่งเยอรมัน เป็นผู้ออกแบบระบบขัดกลอนระบบนี้ โดยใช้กับปืนตระกูล Walther ขนาด 9 มม. เช่น P38/P-1 , P38K , P4 , P5  และใช้ในปืน Beretta 95 FS  , Tuarus PT92 และ PT99 เป็นต้น

ระบบ Toggle-Locked Action

   เป็นการขัดกลอนหน่วงเวลาในปืนออโตที่ใช้กระสุนแรงสูงในยุคแรกๆ ใช้ระบบที่เรียกว่า “นี-จอยท์” (Knee-Joint)หรือ”ระบบข้อเหวี่ยง” มีการนำมาใช้เป็นครั้งแรกในปืนออโตของบอร์ชาร์ด ต่อมา จอร์จ ลูเกอร์ ได้พัฒนาให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น  โดยนำมาใช้กับปืนกึ่งอัตโนมัติ Parabellum P08 ขนาด 9 มม. พาราฯ ที่ลูเกอร์เป็นผู้แผนแบบขึ้น

   ระบบนี้ได้รับการยกย่องว่า  เป็นระบบปฏิบัติการที่มีความงดงามทางเทคนิคเป็นอย่างยิ่ง  เป็นงานฝีมือที่มีความสวยงามมากและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เด่นชัด  แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการพัฒนาในก้าวหน้าเหมือนกับระบบของเบราว์นิ่ง

   ปัญหาแรกที่ทำให้ระบบนี้ถูกมองข้ามไปก็คือ  เป็นระบบที่ค่อนข้างยุ่งยาก  ในการผลิตชิ้นส่วนต้องอาศัยความชำนาญเป็นอย่างสูง  ต้องใช้ความอดทนในการประกอบหรือปรับชิ้นส่วนต่างๆ  เพื่อให้การทำงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสมบูรณ์ จึงเป็นต้นเหตุให้ต้นทุนการผลิตสูง

   ประการที่สอง  เป้าหมายในการผลิตเป็นการผลิตเพื่อเข้าประจำการในกองทัพ  เป็นอาวุธประจำมือของทหารที่ต้องปฏิบัติงานในสนาม  ระบบนี้มีจุดอ่อนต่อฝุ่นทรายและการใช้กระสุนที่ไม่ได้มาตรฐาน

   ระบบข้อเหวี่ยงใน ทอคเกิ้ล-ล็อค แอ็คชั่น มีชิ้นส่วนหลักอยู่สามชิ้น คือ ตัวลูกเลื่อนและแขนข้อเหวี่ยงติดตั้งอยู่เหนือโครงปืน มีจุดหมุนอยู่สามจุด มีขั้นตอนการทำงานดังนี้

1.ในตำแหน่งหน้าลูกเลื่อนปิดท้ายลำกล้อง ข้อเหวี่ยงทั้งสองท่อนวางตัวอยู่ใต้แนวระนาบเหนือโครงปืนด้านหลัง

2.เมื่อยิงหัวกระสุนผ่านลำกล้อง  ลูกเลื่อนเคลื่อนตัวถอยหลังด้วยแรงดันแก๊ส ปลอกกระสุนถูกดึงออกด้วยขอรั้ง แขนทั้งสองจะกระดกสูงขึ้นไปเป็นแนวเฉียงจนสุดระยะ ปลอกกระสุนถุกคัดออกไป

3.ข้อเหวี่ยงตีกลับไปข้างหน้า ป้อนกระสุนนัดใหม่

การขัดกลอนของระบบนี้ จุดสำคัญอยู่ที่จุดหมุนตัวกลาง ที่ถูกออกแบบให้วางตัวอยู่ต่ำกว่าแนวระนาบ(เป็นการวางแบบแอ่นตัว) เมื่อมีการถอยของลุกเลื่อน ข้อเหวี่ยงต้องดันตัวขึ้นมาจากอาการแอ่นแล้วกระดก ช่วงที่แรงถอยต้องเอาชนะการแอ่นตัวของข้อเหวี่ยงนี้ก่อนที่จะกระดกตัว คือการหน่วงเวลานั่นเอง
ปืนที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ พาราเบลลั่ม พี08 และ บอร์ชาร์ดท์

ระบบ Gas-Pressure Locking System

   การขัดกลอนหน่วงเวลาด้วยแรงดันของแก๊ส  นิยมในปืนที่ใช้กระสุนขนาดหนักและแรงดันในรังเพลิงสูง  หลักการทำงานพัฒนามาจากระบบโบลว์แบ็ค แอ็คชั่น  แบ่งการขัดกลอนออกเป็นสองระบบ คือ

1.ระบบสไตเออร์  ในระบบนี้จะมีกระบอกหรือห้องกักเก็บแรงดันแก๊สสวมทับอยู่ปลายลำกล้อง  ลักษณะคล้ายๆบูชของปืน 1911 แต่มีขนาดความยาวกว่าและฟิตกับลำกล้อง  เฉพาะส่วนปลายกับส่วนกลางลำกล้องที่พอกสูงขึ้นมาเท่านั้น ตรงกลางจะมีพื้นที่ว่างสำหรับเก็บแรงดันแก๊ส สไลด์สวมครอบทับกับลำกล้องอีกชั้นหนึ่ง  โดยห้องกักเก็บแรงดันแก๊สมีขาขัดกับร่องบากภายในสไลด์

บริเวณกลางลำกล้องซึ่งยึดติดตายกับโครงปืนได้รับการพอกสูงขึ้นมา  มีขนาดฟิตพอดีกับกระบอกเก็บแรงดัน  ทำหน้าที่คล้ายลุกสูบ  เจาะรูเฉียงออกไปด้านหน้า 2 รู เป็นทางให้แรงดันของแก๊สพุ่งออกมาจากภายในลำกล้อง ส่วนปลายของลำกล้องจะพอกสูงขึ้นมาฟิตกับห้องเก็บแรงดันแก๊สเช่นเดียวกัน
ใช้หลักการเดียวกันกับลูกสูบแต่การเคลื่อนไหว เป็นการเคลื่อนไหวของกระบอกสูบแทนและลูกสูบอยู่กับที่
การทำงานมีขั้นตอนดังนี้

เมื่อกระสุนเคลื่อนตัวผ่านลำกล้อง ผ่านรู 2 รู ที่เจาะเอาไว้ แก๊สจะผ่านรูทั้งสองเข้ามาเก็บไว้ในห้องกักเก็บแรงดันแก๊สด้วนแรงดันที่เท่ากันกับแรงดันภายในลำกล้อง
ในขณะที่กระสุนยังเคลื่อนในลำกล้อง  จะมีแรงกระทำต่อสไลด์สองแรงคือ แรงหนึ่งพยายามดันให้สไลด์ถอย  อีกแรงหนึ่งก็พยายามดันให้ห้องเก็บแรงดันแก๊สพุ่งไปข้างหน้า แรงกระทำทั้งสองมีปริมาณเท่ากัน จึงหักล้างกันเอง สไลด์จึงหยุดนิ่งไม่เคลื่อนตัว นี่คือการขัดกลอนหน่วงเวลา
ทันทีที่หัวกระสุนพ้นปากลำกล้องออกไป  แรงดันทั้งในลำกล้องและในห้องเก็บแก๊สก็จะถูกระบายออกไปทางปากลำกล้อง อยู่ในระดับที่ปลอดภัย จากนั้นสไลด์และห้องเก็บแก๊สที่อยู่ด้วยกันจะเริ่มถอยหลังด้วยแรงกระทำที่สะสมอยู่ในตัว  ทำงานต่อไป

2.ระบบ HK P7 

มีหลักการคล้ายคลึงกัน แต่ทำงานตรงกันข้าม คือ ใช้ลูกสูบเป็นตัวขัดกลอนหน่วงเวลา โดยลุกสูบเป็นชิ้นส่วนเคลื่อนที่ ห้องเก็บแก๊สอยู่กับที่

ระบบนี้ลำกล้องยึดติดตายตัวกับโครงปืน รีคอล์ยสปริงสวมทับลงไปบนลำกล้อง มีสไลด์สวมทับลงไปอีกชั้นหนึ่ง คล้ายกับปืนระบบโบลว์แบ็ค ธรรมดา ที่ปลายสไลด์ด้านล่างมีลูกสูบติดตั้งเอาไว้  ลูกสูบจะสวมเข้าไปในห้องเก็บแก๊สลักษณะกระบอกสูบที่ติดตังตายตัวบริเวณใต้ลำกล้อง ซึ่งเจาะรูเล้กๆเอาไว้ที่ด้านหน้าของรังเพลิงเชื่อมต่อลงมาที่กระบอกสูบ เพื่อให้แก๊สระบบายลงมาที่ห้องเก็บแก๊สได้
หลักการทำงานมีดังนี้

เมื่อหัวกระสุนเคลื่อนตัวในลำกล้องผ่านรูที่เจาะเอาไว้ แก๊สจะไหลเข้ามาเก็บไว้ในกระบอกสูบส่วนหนึ่ง โดยมีแรงดันเท่ากับในรังเพลิง ขณะเดียวกันสไลด์ก็พยายามถอยหลังด้วยแรงดันแก๊สในรังเพลิงด้วย
แต่ในขณะเดียวกัน แรงดันแก๊สที่ไหลเข้าไปในกระบอกสูบก็จะยันลูกสูบที่ติดอยู่กับสไลด์ไม่ให้ถอยหลังเข้ามา เกิดการหักล้างกันของแรงกระทำเท่ากับศูนย์  เหมือนกับระบบสไตเออร์  นี่คือการขัดกลอนหน่วงเวลา
เมื่อหัวกระสุนพ้นปากลำกล้องออกไป แรงดันแก๊สก็ลดลงเพราะไหลตามหัวกระสุนออกไป  สไลด์ก็ถอยหลังด้วยแรงกระทำสะสม ทำงานต่อไป

ระบบการขัดกลอนหน่วงเวลาระบบนี้ เป็นการออกแบบที่มีความคิดแยบยลน่าทึ่งเป็นอันมาก แต่มีจุดอ่อนในตัวเองคืออาจมีเศษตะกั่วจากหัวกระสุนอุดตันรูระบายแก๊สได้  ปืนที่ใช้ระบบนี้จึงไม่ควรใช้กระสุนหัวตะกั่วล้วนๆมายิง ควรใช้กระสุนเคลือบเปลือกแข็งเท่านั้น  แต่จากการสังเกตุและทดสอบปืนระบบนี้มานาน ยังไม่พบปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น

ปืนที่ใช้ระบบนี้ คือ เอชเค พี7 และ สไตเออร์ จีบี

ระบบ Bolt-Locking Roller System

      ระบบปฏิบัติการนี้ส่งผลให้บริษัทแฮ้คเลอร์แอนด์ค็อช แห่งเยอรมัน กลายเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยอมรับกันในวงการผลิตอาวุธ  โดยนำไปใช้ในปืนพกลำกล้องโตๆ ปืนกลหนัก ปืนกลมือ ปืนไรเฟิลอัตโนมัต ฯลฯ

      ระบบนี้ ใช้การยุบตัวของลูกเลื่อนที่มีสองส่วน คือส่วนหน้าและส่วนหลัง โดยที่ลูกเลื่อนส่วนหน้า ที่มีลูกปืนแบบแท่งฝังตัวอยู่ด้านข้างบิดตัวขัดกับร่องบากภายในเสื้อของลูกเลื่อนส่วนหลัง เป็นการขัดกลอน

      เมื่อทำการยิง แรงดันแก๊สจะดันลูกเลื่อนทั้งสองส่วนให้ถอยหลัง ระหว่างนั้นลูกเลื่อนส่วนหน้าจะหยุดตัว ในขณะที่ลูกเลื่อนส่วนหลังถอยหลังต่อ เป็นการหน่วงเวลา  เมื่อลูกเลื่อนส่วนหลังถอยตัวไปอีก ร่องบากที่จับลูกปืนแบบแท่งของลูกเลื่อนส่วนหน้าไว้ จะบังคับให้ลูกปืนวิ่งภายในร่อง ซึ่งจะบิดตัวลูกเลื่อนส่วนหน้าออกจนสุด แล้วถอยตามลูกเลื่อนส่วนหลังตามกันไป เป็นการปลดกลอน และทำงานต่อไป

      ปืนที่ใช้ระบบนี้ คือ HK และ HK MP5

ระบบ Rotation Breech-Locked System

   ระบบนี้พัฒนามาจากระบบของปืนไรเฟิลแบบลูกเลื่อน ในปืนไรเฟิลจะใช้การขัดกลอนโดยตรงระหว่างลูกเลื่อนกับท้ายลำกล้อง  แต่ระบบนี้เป็นการขัดกลอนระหว่างลูกเลื่อนกับสไลด์แทน

   ในปืนพกส่วนใหญ่ใช้ปีกของลูกเลื่อนซึ่งอาจจะติดตั้งอยู่บริเวณหน้า กลาง หรือหลังลูกเลื่อนบิดตัวขัดกับท้ายลำกล้องหรือโครงสไลด์ วึ่งแล้วแต่การออกแบบ   ระบบนี้เอาแบบของการขัดกลอนในปืนไรเฟิลลุกเลื่อนมาใช้ แต่นำเอาพลังงานจากแก๊สมาบริหารกลไกในการให้สไลด์ถอยหลังปลดกลอน 

   ปืนที่ในระบบนี้ ได้แก่ โคลท์2000 และ เดสเสิร์ท อีเกิ้ล ซึ่งเรียกระบบของตนเองว่า Gas-Operated Rotating Bolt

ระบบ Rotating Locked Mechanism System

   ล่าสุด Bereta นำระบบนี้ไปใช้กับรุ่นคูก้าร์ เอ็ม 8000 โดยคูก้าร์ ใช้ปีกข้างลำกล้องหมุนตัวขัดกลอนกับสไลด์โดยตรง มีเดือยสวมอยู่กับร่องที่วางตัวในแนวเฉียงกับบล็อคหน่วงเวลา เป็นตัวบังคับให้ลำกล้องบิดตัวเพื่อทำการปลดกลอน

.....................

พอได้ไหมครับ  Grin

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 14, 2008, 09:59:28 PM โดย มะขิ่น » บันทึกการเข้า

อย่าดึงฟ้าต่ำ  อย่าทำหินแตก  อย่าแยกแผ่นดิน
AeoLis
Jr. Member
**

คะแนน 2
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 27



« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 14, 2008, 10:01:44 PM »

เข้ามารับความรู้ครับ ได้ของแถม คือ ความมึนตัวหนังสือเยอะ   ตกใจหน้าซีด
บันทึกการเข้า
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 14, 2008, 10:04:40 PM »

 คิก คิก คิก คิก คิก คิก
บันทึกการเข้า

nick357 "รักในหลวง"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 197
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1843


no!!! conflict.let'sit and talk!!!!


« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 14, 2008, 11:10:08 PM »

อ่านไหวหรือเปล่าครับ ...............

ถ้าอ่านไหว ............เอาไปเลย  Grin

........................................................... ..................

ระบบปฏิบัติการของปืนพกกึ่งอัตโนมัติ

   ระบบปฏิบัติการซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของปืนกึ่งอัตโนมัติคือ “การหน่วงเวลา” เป็นระบบที่ความสำคัญมากและเป็นความเร้นลับที่นักยิงปืนเป็นจำนวนไม่น้อยยังไม่เข้าใจและมีความสับสนในการทำงานของการหน่วงเวลา

   คำถามหนึ่งที่มักถูกถามอยู่เสมอคือ ทำไมจึงต้องมีระบบหน่วงเวลา ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจขั้นตอนการทำงานของปืนออโตฯกันก่อน เพื่อจะได้เห็นถึงความจำเป็นว่าจะต้องมีระบบการทำงานหน่วงเวลา

   ในการทำงานของกระสุนปืน  เมื่อเข็มแทงชนวนพุ่งเข้ากระแทกจอกชนวนบนจานท้ายกระสุน ชนวน หรือ ไพรเมอร์ (Primer) ที่บรรจุอยู่จะเกิดปฏิกิริยาเคมี เกิดเป็นประกายไฟ  จุดดินขับที่บรรจุไว้ให้ลุกไหม้ขึ้นในปลอกกระสุน  แรงดันของแก๊สที่เกิดขึ้นจะขับดันหัวกระสุนให้หลุดออกจากปลอกที่เม้มจับเอาไว้  ให้เคลื่อนตัวผ่านสันเกลียวและร่องเกลียวภานในลำกล้องพุ่งออกไปที่ปากกระบอก

   ส่วนปลายของปลอกกระสุนที่ออกแบบไว้บางกว่าส่วนอื่น  จะขยายตัวอัดแน่นสนิทกับรังเพลิง  ป้องกันไม่ให้แก๊สรั่วไหลย้อนออกไปทางด้านหลัง  ขณะเดียวกันแรงดันในรังเพลิงก็จะพยายามดันปลอกกระสุนให้เคลื่อนตัวถอยหลังออกจากรังเพลิง

   แก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้ของดินขับที่เกิดขึ้นในรังเพลิง  ที่มีพื้นที่อันจำกัด  มีแรงดันสูงอย่างมหาศาล  เช่นในกระสุนขนาด 9 มม. พาราฯนั้นมีแรงดันในรังเพลิงสูงถึง 35,000 พีเอสไอ หรือประมาณ 1,400 บาร์  หากถูกดันออกจากรังเพลิงแบบทันทีทันใด  ปลอกกระสุนที่ทำด้วยทองเหลืองบางๆจะระเบิดฉีกขาดออกทันทีทำให้ผู้ยิงได้รับอันตราย

   ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่จะต้องมีการป้องกันไม่ให้ปลอกกระสุนถูกดันออกจากรังเพลิงในขณะที่แรงดันภายในรังเพลิงยังสูงอยู่  จนกว่าหัวกระสุนจะผ่านพ้นลำกล้องออกไปแล้วและแรงดันในรังเพลิงลดลงอยู่ในระดับที่ปลอดภัยเสียก่อน   ปลอกกระสุนจึงจะถอยออกมาจากรังเพลิงได้อย่างปลอดภัย

   การหน่วงเวลา  มีด้วยกันสองระบบ คือ

1.โบลว์แบ็ค  แอ็คชั่น (Blowback Action)  เป็นการหน่วงเวลาโดยน้ำหนัก  หรือมวลสารของสไลด์และแรงดันของรีคอล์ยสปริง

2.รีคอล์ย  แอ็คชั่น (Recoil Action)  เป็นการหน่วงเวลาด้วยการขัดกลอน  ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบของปืนแต่ละกระบอก

ซึ่งทั้งสองระบบเป็นผลงานการคิดค้นของ จอห์น โมเสส เบราว์นิ่ง – บิดาแห่งปืนอัตโนมัติ  ได้รับการจดทะเบียนตราสินเอาไว้เมื่อปี ค.ศ.1897 ในขณะที่เบราว์นิ่งมีอายุ 42 ปี


การหน่วงเวลาระบบโบลว์แบ็ค

   ในระบบนี้มีการทำงานตรงตามความหมายคือ การอัดหรือเป่าให้ถอยหลัง  เป็นการหน่วงเวลาที่พื้นฐานที่สุด  มีการทำงานอย่างง่ายๆ ที่ไม่มีกลไกซับซ้อน  นิยมใช้ในปืนออโตที่ใช้กระสุนขนาดเล็กสุดขึ้นไป  จนถึงไม่เกิน .380 ACP มีการนำไปใช้ในปืนขนาด 9 มม. พาราฯบ้างเหมือนกันแต่น้อยมาก เช่น ใน HK VP70 ปืนพกกลที่มีสวิทช์ควบคุมการยิงได้ทีละนัด และทีละสามนัดเมื่อประกอบกับชุดพานท้าย

   ระบบโบลว์แบ็คไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันกับแรงกด  หรือค่าK ของรีคอล์ยสปริงมากนัก  แค่มีกำลังพอที่จะดันสไลด์ให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าจนสุดระยะ  สามารถป้อนกระสุนเข้ารังเพลิงและปิดท้ายลำกล้องได้อย่างสมบูรณ์ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว  เนื่องจาก  ระบบโบลว์แบ็ค ใช้มวลของสไลด์และแรงดันของรีคอล์ยสปริงเป็นตัวหน่วงเวลาโดยตรง  ขั้นตอนการทำงานมีดังนี้

1.ยิง

2.แรงดันของแก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้จะดันทั้งหัวกระสุนและดันทั้งปลอกให้ถอยหลัง  ช่วงเวลานี้น้ำหนัก/มวลของสไลด์ร่วมกับแรงดันของรีคอล์ยสปริงจะดันสไลด์สู้กับแรงถอยหลังของปลอกกระสุน  ช่วงจังหวะนี้เอง กระสุนก็เดินทางผ่านลำกล้องพ้นออกไปแรงดันในรังเพลิงลดลง  แรงดันของแก๊สที่ดันกระสุนถอยหลังจะดันปลอกกระสุนออกไปกระแทกกับหน้าลูกเลื่อนแบบแรงเฉื่อย  ทำให้สไลด์ได้รับแรงถอยออกมา

3.สไลด์ก็ถอยหลังออกดึงปลอกกระสุนออกทิ้งไป พร้อมกับง้างนกปืนขึ้น จนสุดระยะ และปิดกลับด้วยแรงของรีคอล์ยสปริง ไปข้างหน้าโดยป้อนกระสุนนัดใหม่เข้ารังเพลิงไปด้วย
สำหรับรีคอล์ยสปริงของปืนออโตระบบโบลว์แบ็ค  ส่วนใหญ่มักถูกออกแบบให้สวมทับลงไปบนลำกล้องหรือไม่ก็อยู่ข้างบนลำกล้อง

   ปืนออโตฯที่ใช้ระบบปฏิบัติการหน่วงเวลาแบบโบลว์แบ็ค  ตัวอย่างเช่น Walther PPK .380ACP , Walther P22 .22LR , Ruger Mark ll .22LR , S&W 2213 .22LR  , SIG 230,232 .380ACP , Browning Baby 6.35 , CZ92 6.35 เป็นต้น

ระบบขัดกลอนหน่วงเวลา

   ในปืนออโตที่ใช้กระสุนแรงสูง  แรงดันของแก๊สในรังเพลิงที่เกิดจากการเผาไหม้ของดินขับจะสูงมากทำให้สไลดืถอยหลังอย่างรวดเร็ว  การอาศัยมวลของสไลดืและแรงดันของรีคอล์ยสปริงในระบบโบลว์แบ็คจึงไม่เพียงพอสำหรับการหน่วงเวลา(หากออกแบบให้ใช้ระบบโบลว์แบ็ค ก้จะต้องใช้สไลด์ที่หนักมากและรีคอล์ยสปริงที่มีค่า K สูงมาก จนต้องออกแบให้ปืนมีน้ำหนักมากและสปริงแข็งจนดึงสไลด์ลำบาก)  ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาระบบโบลว์แบ็คให้ก้าวหน้าขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เพื่อให้ปืนที่ใช้กระสุนขนาดใหญ่ที่มีแรงดันในรังเพลิงสูง  ทำงานได้อย่างสมบูรณ์  ไม่ก่อให้ผู้ยิงได้รับอันตรายจากปลอกกระสุนที่ระเบิดออกมา

   การหน่วงเวลาที่สมบูรณ์  จะต้องมีการขัดกลอนของกลไกตัวปืนเข้ามาเกี่ยวข้อง  การหน่วงเวลาในระบบรีคอล์ยเป็นระบบที่ดีที่สุด  เนื่องจากมีการขัดกลอน หรือล็อคกิ้ง (Locking) ที่สมบูรณ์แบบโดยมีการทำงาน 2 ขั้นตอนควบคู่กันไปคือ  การขัดกลอนและการหน่วงเวลา เพื่อรอให้หัวกระสุนเคลื่อนตัวผ่านพ้นปากลำกล้องไปก่อน  จากนั้นปืนจึงปลดการขัดกลอนปล่อยให้สไลด์ถอยตัวถอยหลังต่อไปในระบบโบลว์แบ็ค  จนครบวงจรการทำงานของปืนกึ่งอัตโนมัติ

   ระบบการขัดกลอนนิยมใช้กับปืนที่ใช้กับกระสุนขนาดหนักตั้งแต่ 9 มม.พาราฯขึ้นไป  ซึ่งล้วนแต่เป็นกระสุนที่มีแรงดันในรังเพลิงค่อนข้างสูงทั้งสิ้น  แบ่งออกเป็นระบบย่อยได้ดังนี้

2.1Browning Action

2.2Walther Block Actio

2.3Toggle Locked Action

2.4Gas-Pressure Locking System

2.5Bolt-Locking Roller System

2.6Rotation Breech-Locked System

2.7Rotating Locked Mechanism

 
ระบบ Browning Action

   ตามที่กล่าวมาแล้วว่า จอห์น โมเสส เบราว์นิ่ง เป็นผู้คิดค้นระบบหน่วงเวลาชนิดนี้ขึ้นใช้ในปืนออโตเป็นคนแรก  และเป็นพื้นฐานของระบบหน่วงเวลาแบบอื่นๆ ซึ่งออกแบบขึ้นมาใช้กับปืน Colt M1911A1 และ  Browning Hi-Power ซึ่งเป็นที่เทียบชั้นปืนออโตอมตะที่เป็นตำนานของปืนพกไปแล้ว  ในปืนพกยุคใหม่ๆก็ยังอาศัยพื้นฐานระบบหน่วงเวลาของเบาร์นิ่งเป็นหลักในการทำงานเสมอ

   จุดเด่นของระบบนี้คือ  มีความแข็งแรงทนทานต่อสิ่งสกปรกต่างๆทั้งจากฝุ่นผงและเขม่าที่เกิดจาการเผาไหม้ของดินขับ  ใช้หลักการง่ายๆทำให้มีต้นทุนในการผลิตต่ำ  แต่เป็นระบบที่มีความเชื่อถือได้สูงสุด

   ปัจจุบันระบบรีคอยของเบาร์นิ่งก้ได้รับการนำเอามาปรับปรุงแก้ไข  เพื่อให้มีการทำงานง่ายขึ้น  ในเวลาเดียวกันก็มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นไปอีก โดยแบ่งไปได้อีก 3 ระบบย่อยๆ คือ

1.ระบบ Browning-Colt System

ในเบาร์นิ่งแอ็คชั่นทุกระบบ จะมี”ริป”(Rip) หรือ ซี่โครง บนท้ายลำกล้อง 1-2 ซี่ โดยจะทำหน้าที่ขัดกลอนกับร่องบากด้านในของสันสไลด์ในขณะที่สไลดือยู่ในตำแหน่งปิดท้ายรังเพลิง  เมื่อมีการยิง  ระหว่างที่หัวกระสุนวิ่งผ่านลำกล้องออกไปนั้น ซี่โครงของลำกล้องกับร่องบากของสไลด์ที่ขัดกันอยู่นั้นจะทำให้ทั้งสไลด์และลำกล้องเคลื่อนตัวถอยหลังมาด้วยกันในระยะสั้นๆ ด้วยแรงผลักของแก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้ของดินขับ

เมื่อกระสุนผ่านพ้นลำกล้องไปแล้ว  ท้ายลำกล้องจะถูกห่วงโตงเตงหรือ “บาร์เรลลิ้ง” (Barrel-Link) ดึงให้ยุบตัวต่ำลง  ปลดการขัดกลอนระหว่างซี่โครงลำกล้องกับร่องบากภายในสันสไลด์  ลำกล้องหยุดนิ่งอยู่กับที่  ปล่อยให้สไลด์ถอยตัวต่อไปข้างหลังอย่างอิสระ  การทำงานก็เกิดขึ้นต่อไปตามวงรอบ
ปืนที่ใช้ระบบการขัดกลอนหน่วงเวลาระบบนี้ มีแบบเดียวคือ Colt Government series และปืนอื่นๆที่ลอกเลียนแบบไปจาก Colt เช่น Kimber STI ฯลฯเป็นต้น

2.ระบบ Browning-FN System

ระบบนี้ใช้ทางลาดของขาใต้ลำกล้องที่เรียกว่า”แชงค์”(Shank) ที่ทำมุมในแนวเฉียง หรือเป็นห่วงลูกเบี้ยวรูป “ไต” ใต้ลำกล้อง ทำงานแบบเดียวกันกับห่วงโตงเตง ในระบบ เบาร์นิ่ง-โคลท์ โดยที่ส่วนบนของท้ายลำกล้องยังมีซี่โครงและด้านในของสันสไลด์ยังคงมีร่องบากสำหรับขัดกลอนเช่นเดิม
ปืนออโตที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ Browning Hi-Power 1935 , CZ 75 , CZ 85 ฯลฯเป็นต้น

3.ระบบ Browning-Petter/Sig System

ระบบนี้มีหลักการทำงานที่คล้ายกับระบบเบาร์นิ่ง-เอ๊ฟเอ็น  แต่แตกต่างกันที่ ไม่มีซี่โครงและร่องบากที่ด้านในสันสไลด์

เบาร์นิ่ง-เพทเตอร์  ใช้ขอบด้านบนของรังเพลิงขัดกลอนโดยตรงกับช่องคายปลอกกระสุนของสไลด์  ซึ่งมีรูปทรงสัมพันธ์กันได้อย่างลงตัว  ทำให้การขัดกลอนเป็นไปด้วยความสมบูรณ์  เป็นการขัดกลอนโดยตรงระหว่างสไลด์กับลำกล้อง

ปืนออโตที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ SIG , HK USP , Glock ฯลฯเป็นต้น

ระบบ Walther Block Action

   ในบ้านเราให้คำจำกัดความของระบบขัดกอลนแบบนี้ว่า “ระบบกลอนตก”  ซึ่งส่วนประกอบจะมีชุดขัดกลอน”ล็อคกิ้ง บล็อก” ( Locking Block) อยู่ใต้ลำกล้อง ทำงานสัมพันธ์กันระหว่างลำกล้องกับสไลด์   อุปกรณีตัวนี้มีเดือยตัวเล็กๆโผล่ยื่นออกมาทางด้านหลังเรียกว่า “ไพโวติ้ง บล็อก” (Pivoting Block) มีขั้นตอนการทำงานดังนี้

ที่ชุดขัดกลอนมีปีกยื่นออกมาสองข้าง สามารถเคลื่อนที่ขึ้น-ลงได้ ตามตำแหน่งของลำกล้อง คือเมื่อลำกล้องเคลื่อนที่อยู่หน้าสุด ปีกทั้งสองนี้จะเคลื่อนขึ้นมาขัดกับร่องข้างสไลด์บริเวณข้างช่องคายปลอกกระสุนเป็นการ”ขัดกลอน” เมื่อลำกล้องถอยมาพร้อมกับสไลด์ระยะหนึ่งจนลำกล้องหยุด ปีกทั้งสองนี้จะเคลื่อนตัวลงหลุดจากร่องบากข้างสไลด์เป็นการ”ปลดกลอน

เมื่อทำการยิงและหัวกระสุนเคลื่อนตัวผ่านพ้นปากลำกล้องไปแล้ว  ลำกล้องและสไลด์จะเคลื่อนตัวไปข้างหลังด้วยกันประมาณ 8 มม. จากนั้นลำกล้องจะหยุดอยู่กับที่  เดือยเล็กๆที่ติดตั้งไว้ด้านล่างของชุดขัดกลอนจะชนอัดกับผนังของโครงปืน  แกนเดือยดังกล่าวจะยุบตัวเข้าไปกดปีกทั้งสองข้างของชุดขัดกลอนให้ตกลง ปลดกลอนจากร่องบากของสไลด์

สไลด์จะถอยหลังไปอย่างอิสระ ทำการคัดปลอกกระสุนทิ้ง ง้างนก และปิดกลับเข้าที่พร้อมป้อนกระสุนเข้ารังเพลิง เดือยของชุดขัดกลอนจะดันตัวเองและยกปีกของชุดขัดกลอนให้กลับขึ้นมาเข้าในร่องบากสไลดืเป็นการขัดกลอน  การปลดและขัดกลอนระบบนี้ แนวลำกล้องจะไม่ลดตัวลงเหมือนกับระบบของเบราว์นิ่ง ซึ่งตามทฤษฎีเชื่อว่าสามารถเอื้ออำนวยให้ปืนมีความแม่นยำกว่า

Walther แห่งเยอรมัน เป็นผู้ออกแบบระบบขัดกลอนระบบนี้ โดยใช้กับปืนตระกูล Walther ขนาด 9 มม. เช่น P38/P-1 , P38K , P4 , P5  และใช้ในปืน Beretta 95 FS  , Tuarus PT92 และ PT99 เป็นต้น

ระบบ Toggle-Locked Action

   เป็นการขัดกลอนหน่วงเวลาในปืนออโตที่ใช้กระสุนแรงสูงในยุคแรกๆ ใช้ระบบที่เรียกว่า “นี-จอยท์” (Knee-Joint)หรือ”ระบบข้อเหวี่ยง” มีการนำมาใช้เป็นครั้งแรกในปืนออโตของบอร์ชาร์ด ต่อมา จอร์จ ลูเกอร์ ได้พัฒนาให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น  โดยนำมาใช้กับปืนกึ่งอัตโนมัติ Parabellum P08 ขนาด 9 มม. พาราฯ ที่ลูเกอร์เป็นผู้แผนแบบขึ้น

   ระบบนี้ได้รับการยกย่องว่า  เป็นระบบปฏิบัติการที่มีความงดงามทางเทคนิคเป็นอย่างยิ่ง  เป็นงานฝีมือที่มีความสวยงามมากและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เด่นชัด  แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการพัฒนาในก้าวหน้าเหมือนกับระบบของเบราว์นิ่ง

   ปัญหาแรกที่ทำให้ระบบนี้ถูกมองข้ามไปก็คือ  เป็นระบบที่ค่อนข้างยุ่งยาก  ในการผลิตชิ้นส่วนต้องอาศัยความชำนาญเป็นอย่างสูง  ต้องใช้ความอดทนในการประกอบหรือปรับชิ้นส่วนต่างๆ  เพื่อให้การทำงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสมบูรณ์ จึงเป็นต้นเหตุให้ต้นทุนการผลิตสูง

   ประการที่สอง  เป้าหมายในการผลิตเป็นการผลิตเพื่อเข้าประจำการในกองทัพ  เป็นอาวุธประจำมือของทหารที่ต้องปฏิบัติงานในสนาม  ระบบนี้มีจุดอ่อนต่อฝุ่นทรายและการใช้กระสุนที่ไม่ได้มาตรฐาน

   ระบบข้อเหวี่ยงใน ทอคเกิ้ล-ล็อค แอ็คชั่น มีชิ้นส่วนหลักอยู่สามชิ้น คือ ตัวลูกเลื่อนและแขนข้อเหวี่ยงติดตั้งอยู่เหนือโครงปืน มีจุดหมุนอยู่สามจุด มีขั้นตอนการทำงานดังนี้

1.ในตำแหน่งหน้าลูกเลื่อนปิดท้ายลำกล้อง ข้อเหวี่ยงทั้งสองท่อนวางตัวอยู่ใต้แนวระนาบเหนือโครงปืนด้านหลัง

2.เมื่อยิงหัวกระสุนผ่านลำกล้อง  ลูกเลื่อนเคลื่อนตัวถอยหลังด้วยแรงดันแก๊ส ปลอกกระสุนถูกดึงออกด้วยขอรั้ง แขนทั้งสองจะกระดกสูงขึ้นไปเป็นแนวเฉียงจนสุดระยะ ปลอกกระสุนถุกคัดออกไป

3.ข้อเหวี่ยงตีกลับไปข้างหน้า ป้อนกระสุนนัดใหม่

การขัดกลอนของระบบนี้ จุดสำคัญอยู่ที่จุดหมุนตัวกลาง ที่ถูกออกแบบให้วางตัวอยู่ต่ำกว่าแนวระนาบ(เป็นการวางแบบแอ่นตัว) เมื่อมีการถอยของลุกเลื่อน ข้อเหวี่ยงต้องดันตัวขึ้นมาจากอาการแอ่นแล้วกระดก ช่วงที่แรงถอยต้องเอาชนะการแอ่นตัวของข้อเหวี่ยงนี้ก่อนที่จะกระดกตัว คือการหน่วงเวลานั่นเอง
ปืนที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ พาราเบลลั่ม พี08 และ บอร์ชาร์ดท์

ระบบ Gas-Pressure Locking System

   การขัดกลอนหน่วงเวลาด้วยแรงดันของแก๊ส  นิยมในปืนที่ใช้กระสุนขนาดหนักและแรงดันในรังเพลิงสูง  หลักการทำงานพัฒนามาจากระบบโบลว์แบ็ค แอ็คชั่น  แบ่งการขัดกลอนออกเป็นสองระบบ คือ

1.ระบบสไตเออร์  ในระบบนี้จะมีกระบอกหรือห้องกักเก็บแรงดันแก๊สสวมทับอยู่ปลายลำกล้อง  ลักษณะคล้ายๆบูชของปืน 1911 แต่มีขนาดความยาวกว่าและฟิตกับลำกล้อง  เฉพาะส่วนปลายกับส่วนกลางลำกล้องที่พอกสูงขึ้นมาเท่านั้น ตรงกลางจะมีพื้นที่ว่างสำหรับเก็บแรงดันแก๊ส สไลด์สวมครอบทับกับลำกล้องอีกชั้นหนึ่ง  โดยห้องกักเก็บแรงดันแก๊สมีขาขัดกับร่องบากภายในสไลด์

บริเวณกลางลำกล้องซึ่งยึดติดตายกับโครงปืนได้รับการพอกสูงขึ้นมา  มีขนาดฟิตพอดีกับกระบอกเก็บแรงดัน  ทำหน้าที่คล้ายลุกสูบ  เจาะรูเฉียงออกไปด้านหน้า 2 รู เป็นทางให้แรงดันของแก๊สพุ่งออกมาจากภายในลำกล้อง ส่วนปลายของลำกล้องจะพอกสูงขึ้นมาฟิตกับห้องเก็บแรงดันแก๊สเช่นเดียวกัน
ใช้หลักการเดียวกันกับลูกสูบแต่การเคลื่อนไหว เป็นการเคลื่อนไหวของกระบอกสูบแทนและลูกสูบอยู่กับที่
การทำงานมีขั้นตอนดังนี้

เมื่อกระสุนเคลื่อนตัวผ่านลำกล้อง ผ่านรู 2 รู ที่เจาะเอาไว้ แก๊สจะผ่านรูทั้งสองเข้ามาเก็บไว้ในห้องกักเก็บแรงดันแก๊สด้วนแรงดันที่เท่ากันกับแรงดันภายในลำกล้อง
ในขณะที่กระสุนยังเคลื่อนในลำกล้อง  จะมีแรงกระทำต่อสไลด์สองแรงคือ แรงหนึ่งพยายามดันให้สไลด์ถอย  อีกแรงหนึ่งก็พยายามดันให้ห้องเก็บแรงดันแก๊สพุ่งไปข้างหน้า แรงกระทำทั้งสองมีปริมาณเท่ากัน จึงหักล้างกันเอง สไลด์จึงหยุดนิ่งไม่เคลื่อนตัว นี่คือการขัดกลอนหน่วงเวลา
ทันทีที่หัวกระสุนพ้นปากลำกล้องออกไป  แรงดันทั้งในลำกล้องและในห้องเก็บแก๊สก็จะถูกระบายออกไปทางปากลำกล้อง อยู่ในระดับที่ปลอดภัย จากนั้นสไลด์และห้องเก็บแก๊สที่อยู่ด้วยกันจะเริ่มถอยหลังด้วยแรงกระทำที่สะสมอยู่ในตัว  ทำงานต่อไป

2.ระบบ HK P7 

มีหลักการคล้ายคลึงกัน แต่ทำงานตรงกันข้าม คือ ใช้ลูกสูบเป็นตัวขัดกลอนหน่วงเวลา โดยลุกสูบเป็นชิ้นส่วนเคลื่อนที่ ห้องเก็บแก๊สอยู่กับที่

ระบบนี้ลำกล้องยึดติดตายตัวกับโครงปืน รีคอล์ยสปริงสวมทับลงไปบนลำกล้อง มีสไลด์สวมทับลงไปอีกชั้นหนึ่ง คล้ายกับปืนระบบโบลว์แบ็ค ธรรมดา ที่ปลายสไลด์ด้านล่างมีลูกสูบติดตั้งเอาไว้  ลูกสูบจะสวมเข้าไปในห้องเก็บแก๊สลักษณะกระบอกสูบที่ติดตังตายตัวบริเวณใต้ลำกล้อง ซึ่งเจาะรูเล้กๆเอาไว้ที่ด้านหน้าของรังเพลิงเชื่อมต่อลงมาที่กระบอกสูบ เพื่อให้แก๊สระบบายลงมาที่ห้องเก็บแก๊สได้
หลักการทำงานมีดังนี้

เมื่อหัวกระสุนเคลื่อนตัวในลำกล้องผ่านรูที่เจาะเอาไว้ แก๊สจะไหลเข้ามาเก็บไว้ในกระบอกสูบส่วนหนึ่ง โดยมีแรงดันเท่ากับในรังเพลิง ขณะเดียวกันสไลด์ก็พยายามถอยหลังด้วยแรงดันแก๊สในรังเพลิงด้วย
แต่ในขณะเดียวกัน แรงดันแก๊สที่ไหลเข้าไปในกระบอกสูบก็จะยันลูกสูบที่ติดอยู่กับสไลด์ไม่ให้ถอยหลังเข้ามา เกิดการหักล้างกันของแรงกระทำเท่ากับศูนย์  เหมือนกับระบบสไตเออร์  นี่คือการขัดกลอนหน่วงเวลา
เมื่อหัวกระสุนพ้นปากลำกล้องออกไป แรงดันแก๊สก็ลดลงเพราะไหลตามหัวกระสุนออกไป  สไลด์ก็ถอยหลังด้วยแรงกระทำสะสม ทำงานต่อไป

ระบบการขัดกลอนหน่วงเวลาระบบนี้ เป็นการออกแบบที่มีความคิดแยบยลน่าทึ่งเป็นอันมาก แต่มีจุดอ่อนในตัวเองคืออาจมีเศษตะกั่วจากหัวกระสุนอุดตันรูระบายแก๊สได้  ปืนที่ใช้ระบบนี้จึงไม่ควรใช้กระสุนหัวตะกั่วล้วนๆมายิง ควรใช้กระสุนเคลือบเปลือกแข็งเท่านั้น  แต่จากการสังเกตุและทดสอบปืนระบบนี้มานาน ยังไม่พบปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น

ปืนที่ใช้ระบบนี้ คือ เอชเค พี7 และ สไตเออร์ จีบี

ระบบ Bolt-Locking Roller System

      ระบบปฏิบัติการนี้ส่งผลให้บริษัทแฮ้คเลอร์แอนด์ค็อช แห่งเยอรมัน กลายเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยอมรับกันในวงการผลิตอาวุธ  โดยนำไปใช้ในปืนพกลำกล้องโตๆ ปืนกลหนัก ปืนกลมือ ปืนไรเฟิลอัตโนมัต ฯลฯ

      ระบบนี้ ใช้การยุบตัวของลูกเลื่อนที่มีสองส่วน คือส่วนหน้าและส่วนหลัง โดยที่ลูกเลื่อนส่วนหน้า ที่มีลูกปืนแบบแท่งฝังตัวอยู่ด้านข้างบิดตัวขัดกับร่องบากภายในเสื้อของลูกเลื่อนส่วนหลัง เป็นการขัดกลอน

      เมื่อทำการยิง แรงดันแก๊สจะดันลูกเลื่อนทั้งสองส่วนให้ถอยหลัง ระหว่างนั้นลูกเลื่อนส่วนหน้าจะหยุดตัว ในขณะที่ลูกเลื่อนส่วนหลังถอยหลังต่อ เป็นการหน่วงเวลา  เมื่อลูกเลื่อนส่วนหลังถอยตัวไปอีก ร่องบากที่จับลูกปืนแบบแท่งของลูกเลื่อนส่วนหน้าไว้ จะบังคับให้ลูกปืนวิ่งภายในร่อง ซึ่งจะบิดตัวลูกเลื่อนส่วนหน้าออกจนสุด แล้วถอยตามลูกเลื่อนส่วนหลังตามกันไป เป็นการปลดกลอน และทำงานต่อไป

      ปืนที่ใช้ระบบนี้ คือ HK และ HK MP5

ระบบ Rotation Breech-Locked System

   ระบบนี้พัฒนามาจากระบบของปืนไรเฟิลแบบลูกเลื่อน ในปืนไรเฟิลจะใช้การขัดกลอนโดยตรงระหว่างลูกเลื่อนกับท้ายลำกล้อง  แต่ระบบนี้เป็นการขัดกลอนระหว่างลูกเลื่อนกับสไลด์แทน

   ในปืนพกส่วนใหญ่ใช้ปีกของลูกเลื่อนซึ่งอาจจะติดตั้งอยู่บริเวณหน้า กลาง หรือหลังลูกเลื่อนบิดตัวขัดกับท้ายลำกล้องหรือโครงสไลด์ วึ่งแล้วแต่การออกแบบ   ระบบนี้เอาแบบของการขัดกลอนในปืนไรเฟิลลุกเลื่อนมาใช้ แต่นำเอาพลังงานจากแก๊สมาบริหารกลไกในการให้สไลด์ถอยหลังปลดกลอน 

   ปืนที่ในระบบนี้ ได้แก่ โคลท์2000 และ เดสเสิร์ท อีเกิ้ล ซึ่งเรียกระบบของตนเองว่า Gas-Operated Rotating Bolt

ระบบ Rotating Locked Mechanism System

   ล่าสุด Bereta นำระบบนี้ไปใช้กับรุ่นคูก้าร์ เอ็ม 8000 โดยคูก้าร์ ใช้ปีกข้างลำกล้องหมุนตัวขัดกลอนกับสไลด์โดยตรง มีเดือยสวมอยู่กับร่องที่วางตัวในแนวเฉียงกับบล็อคหน่วงเวลา เป็นตัวบังคับให้ลำกล้องบิดตัวเพื่อทำการปลดกลอน

.....................

พอได้ไหมครับ  Grin


ohhhh boy กิ๊วก๊าว but good one thank you ไหว้
บันทึกการเข้า
rute - รักในหลวง
Forgive , But not Forget .
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1960
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 22591


"ผลิดอกงามแตกกิ่งใบ..."


« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 15, 2008, 12:26:14 AM »

ท่าน จขกท.เลือกชื่อได้จี้มากเลยครับ...คิก คิก
บันทึกการเข้า
ผณิศวร เกิดในรัชกาลที่ ๙
Guns & Games Staff
Hero Member
*****

คะแนน 1428
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6023



« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 15, 2008, 05:07:50 AM »

2.แรงรีคอยล์จะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน
3.ในกระสุนขนาดเดียวกัน  ยิงในปืนออโต.กับในปืนลูกโม่  แรงรีคอยล์ที่เกิดขึ้นจะเท่ากันไหม
***************

รีคอยล์ (Recoil) แปลไทยว่า "แรงสะท้อนถอยหลัง" ในส่วนของตัวปืนก็เกิดทันทีที่มีชิ้นส่วนในตัวปืนเคลื่อนถอยหลังครับ  แต่คนยิงอาจจะยังไม่รู้สึกถึงแรงนี้จนกว่าส่วนโครงปืนที่มือจับไว้จะเริ่มเคลื่อนถอยหลัง
ตามกฎของนิวตัน  เมื่อมีมวลสารเคลื่อนไปข้างหน้า (หัวกระสุน) เกิดโมเมนตัม  ก็ต้องมีมวลสารเคลื่อนไปในทางตรงกันข้ามให้สมดุลกัน  สำหรับปืนออโตฯ คือลำเลื่อน (พวกโบลแบ็ค) หรือลำเลื่อนบวกลำกล้อง (พวกที่ขัดกลอนไว้ด้วยกัน)  และสำหรับปืนลูกโม่ก็คือตัวปืนทั้งกระบอก
ดังนั้น ปืนลูกโม่จะ "เตะ" ทันทีที่หัวกระสุนเริ่มเคลื่อน   แต่ปืนออโตฯ นั้น ต้องรอให้ลำเลื่อนถอยมาสุดทาง กระแทกโครงก่อน ถึงจะ "เตะ" ให้มือรู้สึกได้

กระสุนขนาดเดียวกัน ให้พลังงานเท่าๆ กัน แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นโมเมนตัมอาจไม่เท่ากันครับ
ระดับกระสุนที่ไม่แรงมาก  อย่าง .380 เทียบกับ .38 สเปเชียลระดับยิงเป้า  พวกนี้ปืนลูกโม่เตะนุ่มกว่าปืนออโตฯ
แต่กระสุนที่แรงมากๆ  อย่าง .44 แม็กนั่ม นี่ ปืนออโตฯ นิ่มกว่าครับ
บันทึกการเข้า

ผมเป็นลูกหลานจีนอพยพ  ทวดแซ่อิ๊ว ตาแซ่เล้า ปู่แซ่อึ๊ง   
เมืองไทยให้โอกาสทุกอย่าง  ไม่มีข้ออ้างเรื่องชนชั้น
ผมได้กราบแทบพระบาทในหลวงเป็นมงคลสูงสุดของชีวิต
ผณิศวร เกิดในรัชกาลที่ ๙
Guns & Games Staff
Hero Member
*****

คะแนน 1428
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6023



« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 15, 2008, 05:28:37 AM »

สำหรับข้อมูลที่ท่านผู้การมะขิ่นโพสท์มานั้น  ผมมีความเห็นแตกต่างเล็กน้อยอยู่สองจุดครับ :

1. Charles Petter ที่ออกแบบปืน SIG 210 นั้น ใช้หลักการลำกล้องกระดกเหมือน Browning และปืนซิก 210 ก็มีซี่โครงร่องบากในลำเลื่อนเช่นเดียวกัน
จุดที่แตกต่างจากของ Browning เดิม คือใช้ห่วงลูกเบี้ยวแทนห่วงโตงเตง  และใช้โครงหุ้มลำเลื่อน
ส่วนเรื่องขัดกลอนที่ช่องสลัดปลอกนั้น  Charles Petter ตายไปก่อนที่ SIG จะเริ่มออกแบบ P220 ที่ใช้ส่วนของรังเพลิงขัดกลอนกับช่องสลัดปลอกหลายสิบปีครับ  ปืน SIG P220 (และ HK, Glock) ใช้ทางลาด (แบบ Browning/FN) และลำเลื่อนหุ่มโครง  จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานออกแบบของ Petter แต่อย่างใด  ปืนปัจจุบันที่ใช้ระบบของ Petter ก็คือซีแซด

2. ระบบ Toggle Lock
"เมื่อยิงหัวกระสุนผ่านลำกล้อง  ลูกเลื่อนเคลื่อนตัวถอยหลังด้วยแรงดันแก๊ส ปลอกกระสุนถูกดึงออกด้วยขอรั้ง แขนทั้งสองจะกระดกสูงขึ้นไปเป็นแนวเฉียงจนสุดระยะ ปลอกกระสุนถุกคัดออกไป"  ตรงนี้ขอเพิ่มรายละเอียดครับ
ปืนพาราเบลลัม เมื่อกระสุนลั่น  ส่วนบนคือลำกล้องพร้อมชุดลูกเลื่อน/ข้อพับ จะถอยมาด้วยกันก่อน  จนปีกสองข้างของบานพับตรงกลางถูกส่วนของโครงปืนเบียดให้กระดกขึ้นเป็นการปลดกลอน  ถึงจุดนี้ลำกล้องหยุดเคลื่อนถอยหลัง  แต่ลูกเลื่อนเดินถอยหลังต่อไปโดยแขนของข้อพับกระดกสูงขึ้นจนสุด  สลัดปลอกแล้วแรงสปริงดีดกลับป้อนกระสุนครับ

ขอบคุณท่านผู้การที่รวบรวมระบบต่างๆ มาให้อ่านกันครบถ้วนครับ
บันทึกการเข้า

ผมเป็นลูกหลานจีนอพยพ  ทวดแซ่อิ๊ว ตาแซ่เล้า ปู่แซ่อึ๊ง   
เมืองไทยให้โอกาสทุกอย่าง  ไม่มีข้ออ้างเรื่องชนชั้น
ผมได้กราบแทบพระบาทในหลวงเป็นมงคลสูงสุดของชีวิต
มะขิ่น
Hero Member
*****

คะแนน 2453
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17813


"ทหารแก่ไม่มีวันตาย แต่จะค่อยๆเลือนหายไป"


« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 15, 2008, 06:42:15 AM »

ขอบพระคุณครับอาจารย์  ไหว้
บันทึกการเข้า

อย่าดึงฟ้าต่ำ  อย่าทำหินแตก  อย่าแยกแผ่นดิน
paer09
Jr. Member
**

คะแนน 5
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 82



« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 15, 2008, 07:24:22 AM »

โอ้โหตาลายเลยแต่ก็ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ
บันทึกการเข้า
ญาติระอา
Jr. Member
**

คะแนน 3
ออฟไลน์

กระทู้: 72


« ตอบ #11 เมื่อ: กันยายน 15, 2008, 08:22:42 AM »

ขอขอบคุณท่านผู้การมะขิ่นและท่านอาจารย์ผณิศวรมากเลยครับ
ที่อุตส่าห์เสียสละเวลาอันมีค่าของท่าน  มาพิมพ์ตอบกระทู้ให้ความรู้แก่พวกเรา
เท่าที่ผมได้อ่านแล้ว  ยอมรับตามตรงเลยครับ  ว่านึกภาพตามได้ช้าจริง ๆ ตามประสาคนนอกวงการที่มีความรู้น้อย
แต่ก็ได้บันทึกไว้  แล้วค่อยกลับมาอ่านช้า ๆ ทำความเข้าใจภายหลัง
คิดว่าต่อจากนี้ไป  เวลาเจอเขาคุยกันเรื่องรีคอยล์  ผมจะได้ไม่ต้องยืนงงอ้าปากค้าง
เพราะไม่รู้ว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน 

                                             ขอบคุณครับ   ไหว้ ไหว้


ปล.ที่ผมเคยตั้งกระทู้เหรียญโอลิมปิคยิงปืน  ที่ว่าจะปั้นลูกสาวอายุ 9 ขวบ  ขอแจ้งความคืบหน้าครับ
       ตอนนี้ไปลงเรียน  เทควันโด้  แล้วครับ เยี่ยม

                         
 

บันทึกการเข้า
dig5712
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 119
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1801



« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 15, 2008, 08:49:40 AM »

 ไหว้ ขอขอบคุณพี่มะขิ่น กับ ท่านอาจารย์ผณิศวร ที่ให้ความรู้มากครับ  Cheesy

ปล.ที่ผมเคยตั้งกระทู้เหรียญโอลิมปิคยิงปืน  ที่ว่าจะปั้นลูกสาวอายุ 9 ขวบ  ขอแจ้งความคืบหน้าครับ
       ตอนนี้ไปลงเรียน  เทควันโด้  แล้วครับ เยี่ยม                      

 คิก คิก  ไหว้ ยินดีด้วยครับพี่.. ไม่ว่าจะกีฬาอะไร ถ้าสอนอย่างถูกทาง และเด็กชอบ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีครับ..  Cheesy
บันทึกการเข้า
m40
Sr. Member
****

คะแนน 26
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 666



« ตอบ #13 เมื่อ: กันยายน 15, 2008, 09:07:29 AM »

 เยี่ยม
บันทึกการเข้า
.Nok.
.........
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 51
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1341



« ตอบ #14 เมื่อ: กันยายน 15, 2008, 09:31:37 AM »

เยี่ยมมากครับ  เยี่ยม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.21 วินาที กับ 21 คำสั่ง