
วันนี้ได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ โพสต์ ทูเดย์ ในหัวข้อเรื่อง "ปรากฏการณ์สมอง ตอแหล" ที่ท่าน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ได้วิจัยออกมา ลองอ่านกันดูครับ...
หนังสือพิมพ์ โพสต์ ทูเดย์
วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551
ปรากฏการณ์สมอง 'ตอแหล'
- ช่วงสถานการณ์การเมืองตึงเครียดมีแต่ความขัดแย้งกัน บรรดานักการเมืองก็มักจะพูดกลับไปกลับมา เพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ และการพูดกลับไป กลับมาเช่นนี้
- ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ มองว่าอาจจะเกิดปรากฏการณ์สมอง ตอแหล
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ บอกว่า จากการติดตามและศึกษาปรากฏการณ์ทางสมองที่มีผลต่อการแสดงออกในพฤติกรรมต่างๆ พบว่าน่าสนใจมาก
- ทั้งนี้ มีการทดลองที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่วารสาร Science ฉบับเดือน ส.ค. ระบุว่า ในกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งที่ผ่านมา มีการนำคอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กไฟฟ้ามาวิเคราะห์หน้าที่การทำงานของสมอง ในนักว่ายน้ำของแคนาดา ซึ่งเคยว่ายแพ้ในกีฬาโอลิมปิกครั้งที่แล้วในปี 2548 ว่าสามารถจะมี ใจสู้ อีกหรือไม่ การศึกษาโดยให้ดูวิดีโอของตนเอง ซึ่งพ่ายแพ้ในการแข่งขันที่ผ่านมา นักว่ายน้ำที่ ใจฝ่อ จะปรากฏมีการกระตุ้นสมองในส่วนอารมณ์หดหู่
- อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานชัดเจนว่านักกีฬาที่ใจถึงประสบความสำเร็จเพียงใด ปรากฏการณ์หนึ่ง ที่นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาด้านสมองให้ความสนใจกันมาก คือเกิดปรากฏการณ์ ตอแหล (Confabulation) ไม่เป็นคำหยาบแต่ประการใด แต่เป็นคำอธิบายสภาวะทางสมอง ซึ่งเป็นกระบวนการนี้เกิดจากความผิดปกติทางด้านความจำ ทั้งที่เกิดขึ้นโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จนเกิดความเคยชินจนเป็นนิสัย
- โดยสามารถลบล้างความจำตนเองได้เป็นส่วนๆ โดยเฉพาะในส่วนที่ได้เคยกระทำ เคยพูดไว้แล้ว และสามารถ ตอแหลปฏิเสธสิ้นเชิงในทุกกรณี หรือแม้แต่หาเหตุผลกลไก ทั้งที่ซับซ้อน หรือไม่ซับซ้อน ข้างๆ คูๆ ในการเข้าข้างตนเองหรือสามารถจินตนาการสร้างเรื่องทดแทนได้
- ทั้งนี้ การเข้าข้างตนเองเปรียบเสมือนการเพ่งดูรูปลูกบาศก์ด้วยตาข้างเดียว เราจะเห็นลักษณะของ 2 มิติ มีรูปที่กำหนดความกว้าง ยาว สูง แต่เมื่อดูด้วย 2 ตา เราจะเริ่มเห็นความลึกของมิติ และเมื่อเพ่งมองนานๆ ขึ้น เราจะรับรู้สิ่งที่ลึกซึ้งขึ้น และซับซ้อนกว่าลักษณะการมอง เถรตรง ด้วยตาข้างเดียว
- อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ทำให้ตนนึกถึงกระบวนการคิด และการทำงานในสมองของนักการเมืองไทย ที่มีรูปแบบกระบวนการคิดคล้ายๆ กันมาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คือมีกระบวนการที่แยบยล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมันสมองอัจฉริยะ วางแผนเป็นเลิศ เช่น กระบวนการล้างสมองประชาชนให้มีความอยากได้ โดยไม่ต้องลงแรงมากและเกิดความผูกพันเป็นบุญคุณ
- การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายตีความเข้าข้างตนเอง กระบวนการนี้ทำโดยผ่านระบบสมอง Limbic แต่เมื่อปรุงแต่งโยงความอยากเข้ากับความพึงพอใจในสมองขั้นสูงขึ้นมาอีก และปรับปรุงให้ไม่สำนึกจำแนกความผิดชอบชั่วดี ทำให้นำมาถึงการโกงโดยไม่จำกัดวิธี และเป็นที่น่าสังเกตว่าความปรวนแปรของสมองที่พัฒนาในรูปแบบใหม่
- ทั้งนี้ แม้จะไม่ถูกต้องและไม่มีจริยธรรม แต่ปรากฏการณ์นี้มีการปฏิบัติซ้ำซาก จำเจ รุ่นสู่รุ่น จนเป็นเรื่องธรรมดาในกลุ่มสังคมเดียวกัน และทำให้เกิดข้อกำหนดใหม่จนกลายเป็นสิ่งถูกต้อง เกิดค่านิยมใหม่ อยากได้ อยากมี ไม่รู้จบ
- ที่น่าแปลกอีกอย่างอันเป็นคุณสมบัติอันโดดเด่นของนักการเมืองไทย คือ มีความอยากได้ อยากมี อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น เช่น การศึกษาในเรื่องการทำงานสนองตอบ ของสมองส่วนหน้าทางด้านใน (Medial Forebrain และ Orbitofrontal Cortex) และส่วนใจกลางสมองอีกตำแหน่ง พบว่า เมื่อได้รับเงินทอง หรือสิ่งตอบแทน สมองส่วนนี้จะทำงานเต็มที่ โดยที่จะส่งผลให้มีการกำกับว่า จะลงมือทำงานอย่างเต็มใจ ทุ่มเทเต็มกำลัง ก็ต่อเมื่อได้กำไรมากๆ เท่านั้น ขณะเดียวกันหากทำฟรีปฏิกิริยาสมองส่วนนี้จะน้อยมาก ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว