ไทยแจงอาเซียนพบทุ่นระเบิดใหม่ชายแดนปลัดบัวแก้ว เชิญทูต8ชาติอาเซียน แจงพบทุ่นระเบิดใหม่หวังทำร้ายทหารไทย ระบุถ้ากัมพูชาใช้กำลัง ไทยพร้อมจะใช้สิทธิป้องกันตนเอง
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : เมื่อเวลา 17.30 น. นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เชิญเอกอัครราชูตและอุปทูตประเทศสมาชิกอาเซียน 8 ประเทศเข้ารับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับพัฒนาการปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุด เป็นเวลา 45 นาที
โดยนายวีระศักดิ์ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งของวันที่ 3 ต.ค. ที่กองกำลังทหารไทยลาดตระเวนที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ และได้มีปะทะกับทหารกัมพูชา ฝ่ายไทยเมื่อคำนึงถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ก็ล่าถอยออกไป จากนั้น วันที่ 6 ต.ค. ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและสูญเสียขา ซึ่งเส้นทางเดินของทหารไทยมีการเก็บกู้กับระเบิดหมดแล้ว ทางศูนย์ปฏิบัติการส่งคณะเจ้าหน้าที่ไปสอบสวนและกู้กับระเบิดในพื้นที่ดังกล่าว โดยพบว่าระเบิดหลายลูกเพิ่งผลิต และทุ่นระเบิดหลายแห่งมีการฝังไม่นานมานี้ โดยเป็นทุ่นระเบิดชนิด พีเอ็มเอ็น2 ผลิตในรัสเซียและเป็นทุ่นระเบิดที่กองทัพไทยไม่เคยใช้หรือมีในคลังอาวุธมาก่อน
โดยที่ทหารไทยไม่เคยค้นพบทุ่นระเบิดในลักษณะนี้มาก่อนวันที่ 3 ต.ค. รัฐบาลไทยเชื่อว่าทุ่นระเบิดดังกล่าวมีการฝังหลังเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน ทั้งนี้ ประเทศไทยเห็นว่า น่าวิตกกังวลต่อเรื่องนี้อย่างยิ่ง อีกทั้งสะท้อนให้เห็นว่า มีการละเมิดอย่างร้ายแรงต่ออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดอย่างร้ายแรง ไทยจึงหวังอย่างจริงจังว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่ได้เพิ่มการแถลงข่าวหรือการให้ข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งตามพรมแดนเพื่อกลบความสนใจหรือกลบข่าวเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศนี้ โดยเฉพาะความเห็นขัดแย้งเส้นเขตแดน ควรแก้ไขกันทั้ง 2 ประเทศ แทนที่จะใช้คำพูดที่ก่อให้เกิดอันตราย
ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแนวชายแดน ฝ่ายไทยเชื่อเสมอว่าจะได้รับการแก้ไขตามกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีปราสาพระวิหาร โดยศาลระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ตัวปราสาทตั้งอยู่ในพื้นที่อธิปไตยกัมพูชา ขณะที่ศาลยังกล่าวว่าไม่มีอาณัติวินิจฉัยประเด็นเขตแดนทั้ง 2 ปะเทศ ดังนั้น ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม ไม่สามารถกล่าวอ้างเส้นเขตแดนบนพื้นฐานการวินิจฉัยของศาลโลกได้ แท้จริงแล้ว สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ.1904 เป็นพื้นฐานทางกฎหมายที่ทั้ง 2 ประเทศจำเป็นต้องร่วมกันปักปันต่อไป
นายวีระศักดิ์ กล่าวย้ำว่า ฝ่ายไทยได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการให้กัมพูชาทราบว่าการดำเนินการใดๆของไทยที่นำไปสู่ความตกลงหรือสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้องกับชายแดนต้องสอดคล้องตามกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยและกระบวนการตามกฎหมายต่างๆซึ่งจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา รวมถึงมาตรการต่างๆเกี่ยวกับการปรับกำลังตามขายแดนพระวิหาร
ทั้งนี้ ไทยรู้สึกแปลกใจที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชายื่นคำขาดต่อไทยเมื่อวันที่ 13 ต.ค. ให้ไทยถอนทหารก่อนวันที่ 14 ต.ค. เวลา 15.00 น. การยื่นคำขาดดังกล่าวขัดแย้งอย่างชัดเจนกับท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาก่อนหน้านี้ ที่อยากเห็นการแก้ไขประเด็นดังกล่าวโดยอาศัยกลไกทวิภาคอย่างสันติวิธี อีกทั้งยังเหมือนเป็นการแสดงออกถึงการไม่รับรู้ รับทราบอย่างชัดเจนถึงขบวนการประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญของไทย แม้จะต่างจากกัมพูชาเอง แต่ก็ควรได้รับการตระหนักถึง
อย่างไรก็ตาม ไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ฝ่ายกัมพูชาจะทบทวนการยื่นคำขาดของตน และปล่อยให้กระบวนการทวิภาคีซึ่งได้เริ่มแล้วดำเนินการต่อไป แต่หากกัมพูชาเปลี่ยนไปใช้กำลัง ไทยจะไม่มีทางเลือก หากแต่จะใช้สิทธิในการป้องกันตนเอง ตามที่ได้มีการกำหนดไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติเพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปเก็บกู้กับระเบิดและปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย
http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/14/news_303394.phpกระทรวงการต่างประเทศเริ่มทำงานแล้ว... 