Mekong Corridor
all about the Mekong basin
Permalink :
http://www.oknation.net/blog/mekongวันศุกร์ ที่ 5 ตุลาคม 2550
ความมั่งคั่งของกัมพูชา
Posted by Supalak , ผู้อ่าน : 548 , 16:58:39 น. | หมวดหมู่ : กัมพูชา
พิมพ์หน้านี้
การค้นพบแหล่งน้ำมันในอ่าวไทยใกล้ๆกับเมืองสีหนุวิลล์ ในภาคใต้ของกัมพูชาเมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นประเด็นที่ทำให้มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางแต่ส่วนใหญ่จะออกไปในทางดูถูกดูแคลนว่าประเทศยากจนอย่างกัมพูชานี้ไม่น่าจะเจอของมีค่าอย่างน้ำมันเลยเพราะดูแล้วไม่น่าจะมีปัญญาจัดการกับทรัพยากรอันนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและอาจจะถูกฝรั่งหลอกสูบเอาน้ำมันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยมีบรรดาผู้ นำในรัฐบาลกัมพูชาเองที่จะร่วมสูบเอาทรัพยากรส่วนนี้ไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตน แน่นอนว่าการวิพากษ์วิจารณ์ในทำนองดังกล่าวนี้ก็ได้สร้างความเดือดดาลและไม่พอใจให้กับ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีตลอดกาลของกัมพูชาเป็นอย่างยิ่งจนถึงขนาดได้ออกมาตอบโต้ว่า กัมพูชาไม่ใช่ไนจีเรีย
ฉะนั้นเรื่องแค่นี้จึงจัดการได้อยู่แล้วและการมีหรือค้นพบทรัพยากรธรรมชาติที่ล้ำค่านี้มันก็ไม่ใช่ปัญหา แต่การที่ไม่มีหรือขาดแคลนทรัพยากรต่างหากที่จะทำให้ประเทศกัมพูชาต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆนานาอยู่ล่ำไป
เรื่องราวดังกล่าวนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Shevron บรรษัทข้ามชาติจากสหรัฐอเมริกาได้รับสัมปทานการสำรวจและได้ค้นพบแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่งทะเลของกัมพูชาออกไป ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของท่าเรือสีหนุวิลล์ประมาณ 145 กิโลเมตรเมื่อปี 2005 ทั้งนี้โดย Shevron ได้ค้นพบแหล่งน้ำมันดิบจากการขุดเจาะแหล่งสำรวจ 4หลุมในเขตสัมปทานดังกล่าวและภายในปีนี้ Shevron ก็ยังได้วางแผนการที่จะดำเนินการขุดเจาะสำรวจในพื้นที่เดียวกันเพิ่มขึ้นอีกถึง 10 หลุมอีกด้วยเพื่อที่จะค้นหาคำตอบให้ได้ว่า ในเขตสัมปทานของตนนั้นมีปริมาณน้ำมันสำรองมากพอหรือคุ้มค่าที่จะลงทุนหรือไม่
เพราะถึงแม้ผู้อำนวยการใหญ่ของการปิโตรเลี่ยมแห่งประเทศกัมพูชา จะได้ออก มาระบุว่าในพื้นที่ที่ Shevron กำลังดำเนินการสำรวจอยู่นี้มีปริมาณน้ำมันสำรองไม่น้อยกว่า 400-500 ล้านบาร์เรลก็ตาม หากแต่ก็ยังคงเป็นเพียงการคาดเดากันมากกว่าและก็เป็นไปด้วยความคาดหวังอย่างมากมายว่ากัมพูชาจะร่ำรวยกันใหญ่ก็คราวนี้นั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวคราวดังกล่าวนี้ก็ได้ทำให้บรรดาบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่จากทั้งยุโรปและเอเชียต่างพากันรีบเข้าไปเสนอตัวเพื่อขอสัมปทานสำรวจและขุดเจาะหาแหล่งน้ำมันในกัมพูชากันเป็นการใหญ่อันรวมถึงวงการธุรกิจพลังงานจากไทยด้วย ดังจะเห็นได้จากสมัยของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในตอนนั้นก็ได้ส่งให้รัฐมนตรี ว่าการต่างประเทศ (ทั้งสุรเกียรติ เสถียรไทย และ กันตธีร์ ศุภมงคล) อันรวมถึง ทักษิณด้วยนั้นต่างก็ได้พากันเทียวไปเทียวมากัมพูชาอยู่หลายรอบ โดยครั้งสุดท้ายก็คือในช่วงเดือนสิงหาคม 2006 หรือก่อนที่ ทักษิณ จะถูกยึดอำนาจและถูกขับออกจากตำแหน่งผู้ นำรัฐบาลเพียงเดือนเดียวเท่านั้น ซึ่งจากการเดินทางไปกัมพูชาของ ทักษิณ ในครั้งนั้นก็ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเดินทางไปเพื่อหาลู่ทางสำหรับธุรกิจส่วนตัวของ ทักษิณ เองและบางกระแสนั้นก็ถึงกับกล่าวหาว่า ทักษิณ ได้เอาเกาะกูดในเขตอ่าวไทยด้านจังหวัดตราด เพื่อแลกกับสัมปทานแก๊สธรรมชาติในเขตทะเลของกัมพูชาเลยก็มี
อย่างไรก็ตาม กรณีในทำนองดังกล่าวนี้ก็สามารถที่จะพูดกันได้เรื่อยๆ เพราะว่าพื้นที่ที่สำรวจพบแหล่งน้ำมันในกัมพูชานั้นความจริงแล้วก็เป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตอ่าวไทยและพื้นที่บางส่วนก็ยังเป็นเขตทับซ้อนทางทะเลที่ไทยกับกัมพูชานั้นต่างก็อ้างสิทธิเหนือพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งมีบริเวณกว้างมากกว่า 24,600 ตารางกิโลเมตร และก็เชื่อกันว่าบริเวณนี้มีปริมาณสำรองของแก๊สธรรมชาติอยู่ค่อนข้างมากอีกด้วย
ทั้งนี้โดยในปี 2001 ทางการไทยกับกัมพูชาก็ได้พยายามหาทางที่จะแก้ไขปัญหา ในเขตทับซ้อนดังกล่าวนี้ด้วยการตกลงร่วมกันในหลักการทั่วไปว่า
...พื้นที่ที่จะถือได้ว่าไม่มีข้อขัดแย้งและสามารถที่จะแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันได้นั้นคือพื้นที่ที่อยู่เหนือเส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือเท่านั้น ส่วนพื้นที่อื่นๆที่ยังตกลงกันไม่ได้นั้นก็ให้ใช้หลักการของการถือครองผลประโยชน์ร่วมกัน...
แต่จนถึงทุกวันนี้เรื่องก็ยังคงค้างอยู่อย่างนั้นทั้งยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเกิดขึ้น เลย ซึ่งรวมถึงรัฐบาลใหม่ของไทยก็ยังไม่ได้มีการรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาแต่อย่างใดอีกด้วย
แต่ถึงกระนั้นก็เป็นที่คาดหมายกันว่า ถ้าหากไทยกับกัมพูชาสามารถตกลงกันได้ แล้วเริ่มทำการสำรวจพื้นที่ในบริเวณอ่าวไทยอย่างจริงจัง ก็ย่อมที่จะสร้างผลประโยชน์ให้กับทั้ง 2 ประเทศไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจนถึงเวลานี้จะยังคงไม่ได้ดูดน้ำมันสักหยดขึ้นมาจากพื้นที่ดังกล่าวนี้ แต่บรรดานักวิจารณ์ทั้งหลายต่างก็ได้ออกมาพูดประสานเสียงไปในทิศทางเดียวกันว่า ความมั่งคั่งจากน้ำมันอาจจะไปกระตุ้นให้การทุจริตในกัมพูชาเป็นไปอย่างกว้างขวางถึงกับจะเรียกได้ว่ามันเป็นการฉลองใหญ่ให้กับนักคอร์รัปชั่นกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้เพราะบรรดานักวิจารณ์ทั้งหลายต่างมองว่าเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตนั้นจะมีแหล่งทำมาหากินเพิ่มขึ้น โดยสามารถที่จะสร้างรายรับจากแหล่งทรัพยากรใหม่นี้ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำมากขึ้นโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเขมรส่วนใหญ่เลยนั่นเอง
โดยถึงแม้ว่า ฮุน เซน จะได้ออกมาแก้ต่างว่าถ้าหากมีการขุดน้ำมันขึ้นมาใช้ในปี 2010 อันจะทำให้กัมพูชามีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีนั้นย่อมหมาย ถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาจะมีรายได้เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาในด้านสาธารณสุขและการ ศึกษาในกัมพูชาได้มากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลกัมพูชายังคาดหวังจากทรัพยากรธรรมชาติอันสำคัญนี้ด้วยว่าจะเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งที่จะช่วยทำให้กัมพูชาสามารถที่จะลดระดับการพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศได้ เพราะในปัจจุบันรัฐบาลกัมพูชาต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศมากกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปี
ส่วนเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น ฮุน เซน ก็ได้เน้นย้ำว่าเป็นเรื่องที่กล่าวหากันได้เรื่อยๆ แต่รัฐบาลของเขาก็ไม่ได้นิ่งดูดายแต่อย่างใด หากก็กำลังหาทางป้องกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้โดย ฮุน เซน รับประกันว่ากัมพูชาจะไม่เหมือนไนจีเรีย ซึ่งเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุดในโลก
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มีใครเชื่อถือสักเท่าไหร่เลยเนื่องเพราะเป็นคำพูดลอยๆที่ไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมเลยว่า จะทำอย่างไรถึงจะสามารถปราบการคอร์รัปชั่นที่กำลังรุมเร้ากัมพูชาอย่างหนักหน่วงในทุกวันนี้ได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้โดยผู้ที่ได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อเรื่องนี้มากที่สุด ก็คือเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกัมพูชา ซึ่งได้ระบุว่ารายได้ที่ก้าวกระโดดขึ้นมาอย่างมากมายนั้นมันสร้างจะความตื่นตาตื่นใจให้บรรดาเจ้าหน้าที่ของกัมพูชามากทีเดียว
ส่วนกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ในกัมพูชานั้น ก็ได้ออกมาระบุอย่างตรง ไปตรงมาว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นก็เป็นปัญหาที่หนักหน่วงเอาการอยู่แล้ว แต่อีกเรื่องหนึ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ก็คือระดับความสามารถในการจัดการและบริหารทรัพยากรที่ค้นพบใหม่นี้
เพราะกัมพูชานั้นตกอยู่ในความขัดแย้งทางการเมืองมาอย่างยาวนานจึงไม่ค่อยจะมีเวลาในการพัฒนาบุคคลากร ฉะนั้นจึงมีโอกาสที่จะเป็นไปได้มากที่จะต้องมีการยกสัมปทานให้กับบริษัทต่างชาติ
ซึ่งในที่นี้ก็คงหนีไม่พ้น Shevron ของสหรัฐฯเป็นแน่ ที่จะเข้ามาจัดการทรัพยากรอันล้ำค่านี้ของกัมพูชา โดยที่รัฐบาลกัมพูชาก็ทำได้แค่นั่งเก็บค่าสัมปทานเท่านั้น!!!
ทรงฤทธิ์ โพนเงิน