เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
สิงหาคม 22, 2025, 04:18:50 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 8 9 10 [11] 12
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องที่น่าพิศวง....(ขออภัยนอกเรื่องปืนครับ)  (อ่าน 37859 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
tip1976 - รักในหลวง
Sr. Member
****

คะแนน 35
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 789



« ตอบ #150 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2008, 12:15:30 AM »

รอลุ้น


มีหักมุมรึเปล่า Grin
บันทึกการเข้า
big single
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 321
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5789



« ตอบ #151 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2008, 04:22:17 AM »

ดูเค๊าทำซิเอ๊า...กำลังอ่านได้อารมณ์เลย แหม๊... Undecided
บันทึกการเข้า

นักะติ๊ Club ขยับจะยิงแต่รักจริงนะจ๊ะจุ๊บๆ
at75
Hero Member
*****

คะแนน 99
ออฟไลน์

กระทู้: 3511



« ตอบ #152 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2008, 08:23:28 PM »

 ขณะ ที่ผมกำลัง มองผ่านกระจก มองไปที่ผู้หญิง คนนั้นจากอีกมุมหนึ่งบ้าน ในใจก็คิดกระหยิ่มยิ้มย่อง ว่า จ้างก้ไม่รู้ ว่าเราอยุ่ตรงไหนไม่มีทางเห้นเราแน่ จะได้แอบดูว่า เดี่ยวจะมีใครโผล่ ออกมาอีกไม๊ จะได้ เล่นงานทั้งแก๊งเลย ในขณะที่ผมกำลัง แอบขำในใจ ปนกับอาการที่ยังตกใจอยู่บ้าง ผมเริ่มเห้น อ่ะไรแปลกๆ เกิดขึ้น ผู้หญิงคนนั้น เริ่มค่อยๆหันหน้าในทิศทางที่ผมแอบดุหยู่ ค่อยๆหันมาช้าๆ แต่พอสังเกตุได้ ผมเองมองไม่เห้น ชัดเท่าไหร่ ว่าตาเธอมองมาทางผมหรือไม่เพราะมืดอยุ่ แต่ ที่แน่ๆหน้าหันมาทางผมแน่ ยังคิดในแง่ดีว่า คงมองสำรวจไปรอบๆเท่านั้นแหล่ะน่า แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องคิดใหม่ คือ นอกจากหันหน้า มาแล้ว เธอยังค่อยๆยื่นแขน กวักมือเรียกผมอีกครั้ง มาเปิดประตูให้หน่อย....... คราวนี้หน้า เธอหันมาทางผมเต็มๆ เฮ้ย..มองเห้นตู้ได้ยังไงอ่ะเนี่ย อาการตัวแข็งเริ่มเกิดขึ้น ทั้งที่อากาศหนาวๆ แต่ตัวเริ่มร้อนมีเหงื่อผุดออกมาเป้นเม็ดๆ ตาย ห่ะแล้วกรู..มองเห้นได้ไงฟระ เนี่ย อาการเสียวสันหลังพุ่งปรี๊ดจากสันหลังขึ้นสู่สมองแบบฉับพลันเธอค่อยเลื่อนถอยหลังหายไป ที่มุมรั้วแล้วลับตาไปเลย ถ้าตอนนั้นไม่ตัดผมเกรียนแบบทหาร รับรองต้องมีผมฟูแน่ๆ หลังจากตกใจสุดขีด ผมมา รู้ตัวอีกครั้งก้วิ่งขึ้นชั้นสองมาถึงในห้องนอนซะแล้ว ในขณ่ะที่อาการตกใจและกลัว กำลังประทุอยุ่ในใจ มือก็ควานหา หมอน ผ้าห่ม แบบลวกๆ พอได้ครบก็ วิ่งออกจากห้องเข้าไปนอนห้องพระทัน ที นอนไปกลัวไป นึกบทสวดอ่ะไรได้ท่องหมด เป้นครั้งแรกที่รู้สึก หน่าวๆ ร้อนๆ แต่ดันมีเหงื่อ ออกตลอด ผมอ่านบทสวดมนต์ ท่องแล้วท่องอีก ซ้ำไปซ้ำมา จนค่อยๆเผลอหลับไป.......

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
บันทึกการเข้า
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #153 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2008, 08:47:28 PM »

สงสัยว่า ที่สุด ต้องโดนไม้เรียวหรือเปล่า ที่จำคนรู้จัก กันไม่ได้ นะ.  Smiley
บันทึกการเข้า

fokbye
Jr. Member
**

คะแนน 8
ออฟไลน์

กระทู้: 88


« ตอบ #154 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2008, 10:11:00 AM »

เพื่อนผม ชื่อแอ้ ตายด้วยน้ำท่วมปอด  หลังจากนั้นอีก 1 ปี  ผมได้กลับไปเยี่ยมแม่ของแอ้ที่แฟลต  แม่แอ้เล่าให้ฟ้งว่า  หลังจากตายได้ 3วัน  แม่เค้าฝันว่าแอ้มายืนหน้าห้อง  บอกว่าหนาว  และเข้าห้องไม่ได้  พอเช้ามาแม่เลยไปทำบุญและบริจากเสื่อผ้าให้แอ้ พอกลับมาถึงห้อง  แม่เค้าก็แกะยันต์ และฮู้ของคนจีนที่แปะที่หน้าห้องออก   แล้วคืนนั้นทั้งครอบครัวเค้าก็ได้ยินเสียงเปิดหนังสือทั้งคืน  เพราะตอนที่ แอ้ มีชีวิตอยู่เค้าเรียนอยู่ธรรม.... และชอบอ่านหนังสือตอนกลางคืน  แม่เค้าฝันว่า  แอ้  มาบอกว่าไม่หนาวแล้ว  เพราะได้เสื้อผ้าใหม่มาใส่   จนมาคืนที่ 7  แม่เค้าก็ฝันว่า  แอ้  มาบอกว่า  รู้แล้วหล่ะว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว  ที่รู้เพราะว่า  หน้ามือเค้าสลับเป็นหลังมือ  และ หน้าตี .. สลับเป็นหลังตี..  และก็มาบอกลาแม่.....แต่ไม่ได้บอกนะครับว่า....ลาไปไหน...ตัวผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า  เพื่อนรักของผมไปไหนต่อ    ถึงเพื่อน....รักเสมอ
บันทึกการเข้า
at75
Hero Member
*****

คะแนน 99
ออฟไลน์

กระทู้: 3511



« ตอบ #155 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2008, 11:21:37 AM »

 แสงแดดเริ่ม ส่องผ่านหน้าต่างห้องพระเข้ามา ทำให้ผมเริ่ม รู้สึกตัว อืม ต้องรีบ ไปเรียนหนังสือ ซะแล้วเพราะนิฬิกาบอกว่า 7.30น จะสายแล้วเว้ย หลังจาก เสร็จจากการทำธุระส่วนตัวแล้ว ก็เดินออกจากบ้าน ก่อนผ่านประตูบ้าน ตาก็เหลือบมองไฟฉาย ที่ข้างประตู ในใจก็ไม่ได้คิดอ่ะไรมากไปกว่า สงสัยว่าทำไมเมื่อคืน ไฟฉายไม่ติดหว่า เลยหยุดเวะตรวจดูไฟฉายอีกครั้ง เผื่อมีอ่ะไรเสียจะได้ซ่อม ลองเปิดสวิท ดู  อ้าว ติดนี่หว่า ขนลุก อีกแล้ว รีบออกจากบ้านไปเรียนดีก่ว่า ผมขี่เจ้ามอไซคู่ชีพไม่นานนักก็ถึง วิทยาลัย พอถึงก็คุยกับเพื่อนสนิทหลายๆ คน ทุก คนให้ความเห้น ว่า น่าจะเป็น คนมาแกล้งมากกว่า  ใจผมก็ค่อยชื้นขึ้น เมื่อได้คุยกับเพื่อน เอาวะ เริ่ม วางแผนใหม่ คืนนี้จะรับมือยังไง ผม ดูจากบ้านของผมเป็นบ้านสองชั้น ด้านบนมีระเบียง มีประตูเปิดออก ไปยืนดู ได้รอบบ้าน เออ ทำไมเมื่อคืน คิดไม่ออกนะ แล้วระเบียงก็ ติดกับห้องพระด้วย ถ้าเกิดอ่ะไรก็โดดเข้าห้องพระเลย(คิดแบบเด็กๆ) พอวางแผนเสร็จ ก็ตกลงใจว่า จะรอจนดึกเหมือยเมื่อคืน ถ้า มีเสียงคนมาเรียก เราไม่เปิดประตู เราจะวิ่งไปดูที่หน้าต่างก่อน ถ้าใช่คนเดิม เราจะวิ่งขึ้นชั้นสองพร้อมไฟฉาย เปิดประตู้ระเบียงออกไปแล้วเอาไฟฉายส่องหน้าเลย ฮ้า ฮ้าๆๆๆๆๆ  ช่างเป็นความคิดที่เข้าท่าจริงๆ มีอ่ะไรจะฉลาดไปกว่านี้อีกไม๊ ฮิฮิฮิ พอช่วยกัน คิดเสร็จ ก็เอ่ย ก้เอ่ยปากชวนเพื่อนๆ ไปช่วนกันหน่อยเป้นไร แต่คำตอบของเพื่อนๆ บอกว่าไม่มีใคร ว่างเลย  โห รักกันจริงๆเลยนะเพื่อนเรา  เอาวะคืนนี้ลุยคนเดียวก็ไฟ วะ..... หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า
Ramsjai
^ป้าแรมส์ใจดี^
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1075
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 7191


"ชีวิตมีคนที่เกลียดไม่กี่คน ที่เหลือรำคาญ"


« ตอบ #156 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2008, 12:04:37 AM »

วันนี้เพิ่งเจอ "เดจาวู " มา
คือ มีความรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่กำลังเจออยู่ตอนนี้ เราเคยพบ เคยทำ เคยเห็นมาแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าเคยเจอตอนไหน  ตอนที่กำลังล้างจานอยู่มันแวบขึ้นมา ว่าเดี๋ยวต้องเดินไปทางนี้ คุยกับคนนี้ เรื่องนี้
จะสะดุดกึก...เออ เราเคยทำแล้วนี่นา  Huh

จากเวบนึงเค้าบอกไว้ว่า " ทางการแพทย์เขาเรียกว่า การไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้า ในสมองเกิดการผิดปกติครับ คือ ไหลไปยังไงไม่รู้ทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้...... แต่โดยความเชื่อของผมเองแล้วนั้น ที่เรียกว่าเดจาวู นี่เป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุก คนและทุกเวลาได้ คือมันเป็นทั้งโลกคู่ขนาน และเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอันยาวไกล ( ชาติก่อนๆโน้น ) คล้ายๆกับ ทฦษฎีสัมพันธภาพ ของไอน์สไตน์ล่ะครับ คือสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีกเหมือนกับการที่ เรากลับชาติมาหลายๆชาติ นั่นแหละครับ "


ไม่ทราบว่าใครเจอแบบนี้บ้าง แล้วรู้สึกยังไงคะ  Cheesy
บันทึกการเข้า

ถ้าเป็นความทรงจำที่มีค่าล่ะก็..ห้ามลืมเด็ดขาด เพราะคนตายจะมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของเราเท่านั้น..
Sundance
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 123
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2609



« ตอบ #157 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2008, 03:24:26 AM »

ไม่รู้สึกอะไรครับ มันเกิดเดี๋ยวเดียว ไม่เกิดบ่อยกับผม
บันทึกการเข้า
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #158 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2008, 03:33:31 AM »


      ผมไม่เคยเป็นแบบป้าแรมส์ว่าครับ อ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจ หมายถึงเป็นโรคจิตหรือเปล่า
บันทึกการเข้า

                
submachine -รักในหลวง-
คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6127
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 55373


Let us go..!


« ตอบ #159 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2008, 12:35:31 PM »

ผมเคยเป็นอย่างคุณแรมส์ว่า แต่สมัยเด็กๆนะ ตอนนี้หายไปนานแล้ว
บันทึกการเข้า

อย่าเห็นเป็น ความดี เล็กน้อย แล้วไม่กระทำ
อย่าเห็นเป็น ความชั่ว เล็กน้อย แล้วจึงกระทำ

Thanut Wansuk

STECON
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 57
ออฟไลน์

กระทู้: 442


Just one shot, Dont miss it !!!


« ตอบ #160 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 08:39:43 AM »

Copy มาให้อ่าน จะได้หายสงสัยว่า Deja vu คืออะไร   Cheesy


 ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า เคยได้พบเห็นมาแล้ว

      เราทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ นั่นคือ เมื่อได้พบบุคคลแปลกหน้า หรือเห็นภาพสถานที่บางแห่ง ก็หวนรำลึกขึ้นฉับพลันว่า เอ๊ะ...เราได้เคยเห็นเขาผู้นั้นหรือสถานที่นั้นมาก่อนนี่นา แต่จะเป็นเมื่อใด ที่ใด นึกไม่ออก ดูรางเลือนประหนึ่งฝันไป และที่สำคัญสำหรับบางคนก็คือ เมื่อได้เห็นภาพนั้นแล้ว ต่อมาก็ได้เกิดเหตุการณ์จริงๆ ขึ้นประจักษ์ตา ทุกสิ่งในเหตุการณ์ นั้นเหมือนกับที่ได้เห็นล่วงหน้ามาก่อนโดยไม่ผิดเพี้ยน ปรากฏการณ์เหล่านี้ไทยเราอาจเรียกว่าลางสังหรณ์ ภาพนิมิต ญาณบอกเหตุ แต่ทั่วโลกรู้จักกันดีในชื่อว่า “เดจาวู (DEJA VU)” ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า เคยได้พบเห็นมาแล้ว

เดจาวูนั้น เกิดขึ้นได้ทั้งในความฝันหรือตอนเคลิบเคลิ้ม หรือในยามตื่นเต้น ดังมีหลักฐานอ้างอิงในเรื่องนี้หลายครั้งตั้งแต่อดีตกาลนานนับศตวรรษมาแล้ว เช่น ครั้งที่จักรพรรดินโปเลียนบุกรัสเซียในปี ค.ศ.1812 ภริยาของท่านเคานท์ตูชคอฟ นายพลรัสเซีย ได้ฝันว่า

    เธออยู่ในโรงเตี๊ยมของเมืองหนึ่ง ซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วบิดาของเธอก็เข้ามาในห้อง อุ้มลูกชายคนเล็กของเธอมาด้วย และบอกแก่เธออย่างเศร้าสร้อยว่า สามีของเธอเสียชีวิตในการศึกแล้ว


“ความสุขของลูกจบสิ้นแล้ว” ผู้เป็นบิดากล่าว “สามีของลูกได้ล้มลง และสิ้นใจที่โบโรดิโน”   ฝันนี้บังเกิดขึ้นแก่เธออีกสองครั้งจนเธอได้เล่าให้สามีฟัง ทั้งสองค้นหาดูในแผนที่ แต่ไม่พบเมืองโบโรดิโนแต่อย่างใด

        ทว่าในวันที่ 7 กันยายน 1812 ทัพรัสเซียได้ถอยร่นและต่อสู้กับฝรั่งเศสอย่างดุเดือดที่ตำบลเล็กๆชื่อโบโรดิโน ห่างทางตะวันตกของกรุงมอสโก 70 ไมล์ โดยเคาน์เตสส์ตูชคอฟกับครอบครัวพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ไม่ไกลจากแนวรบที่สามีของเธอเป็นผู้บัญชาการเท่าใดนัก    เช้ารุ่งขึ้น บิดาได้อุ้มลูกชายคนเล็กของเธอเข้ามาในห้องและกล่าวว่า “สามีของลูกได้ล้มลง และสิ้นใจที่โบโรดิโน”

 นอกจากนี้ ก็ยังมีเดจาวูอื่นๆ ที่เราอาจเคยได้ยินได้ฟังกัน อย่างเช่นเมื่อได้พบใครเป็นครั้งแรกแล้วเกิดอาการ “ปิ๊ง” ขึ้นมาทันที...ใช่เลย เขาคนนี้แหละที่เคยปรากฏในจินตนาการของเรา หรือบางคนที่เคยเขียนภาพทิวทัศน์จากจินตนาการ แล้วก็ได้ไปพบทัศนียภาพนั้นตรงกับที่เขียนไว้เป๊ะๆ... เนินตรงนั้น...ต้นไม้ใหญ่ตรงนั้น...วัวกำลังยืนเคี้ยวเอื้องอยู่ตรงนั้น

      บางคนมีประสบการณ์เดจาวูที่น่าอกสั่นขวัญหาย นั่นคือได้เกิดเห็นภาพนิมิตเป็นอุบัติเหตุบนท้องถนน เห็นภาพรถพังพินาศ คนบาดเจ็บและตายเกลื่อนและแล้วต่อจากนั้นไม่นาน เขาก็ผ่านไปพบเห็นอุบัติเหตุกับตาจริงๆ ทุกอย่างตรงกับภาพนิมิตที่เขาได้เห็นล่วงหน้า

      มีผู้อธิบายถึงสาเหตุของการเกิดเดจาวูไว้ต่างๆกัน บางคนกล่าวว่า เป็นอาการประสาทเมื่อได้ สัมผัสกลิ่นหรือภาพหรือเสียงที่คุ้นเคยแล้วเกิดความสับสนว่าเป็นอดีตหรือปัจจุบันกันแน่ แพทย์บางคนอธิบายว่าเกิดจากสิ่งที่ฝังใจในสมองได้รับการกระตุ้นในบางครั้งบางครา นักจิตวิทยาบอกว่าเป็นจินตนาการที่ “เติมเต็มในความปรารถนา” ของผู้นั้นและชักนำไปสู่ความจริง ผู้มีศรัทธาในศาสนาชี้ว่าเป็นเสมือนการรำลึกชาติ ซึ่งจดจำสิ่งต่างๆในปางก่อนได้ และนักวิทยาศาสตร์ก็ชี้แจงว่าเป็นเรื่องมิติของเวลาที่ทับซ้อนกันอยู่ดังเช่น “รูหนอน (worm hole) ในจักรวาลที่เป็นไทม์แมชีนสำหรับการเดินทางข้ามภพ


 นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่ากลไกการเกิดเดจาวูจริงๆ เป็นเช่นไรในตอนนี้ แต่ความเข้าใกล้ของทฤษฎีต่างๆ ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง นายซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ผู้พัฒนาการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาได้เสนอว่า เดจาวูเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งระลึกถึงภาพต่างๆ ในช่วงที่ขาดสติไปเอง เนื่องจากขาดสติ รายละเอียดของภาพที่เกิดขึ้นจะถูกปิดกั้นจากความมีสติไป แต่ความรู้สึกที่คุ้นเคยจะเล็ดลอดออกมากและกลายเป็นเดจาวูนั่นเอง

บันทึกการเข้า
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #161 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 09:33:37 AM »

เคยอ่นเจอว่า เดจาวู เกิดจากกระแสไฟฟ้าช๊อตในสมองส่วนหน้าครับ อีกเล่มหนึ่งเขาว่าในสมองคนส่งสัญญษณโดยใช้กระแสไฟฟ้าประมาณ 30 วัตต์
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
amakig
Newbie
*

คะแนน 0
ออฟไลน์

กระทู้: 2


« ตอบ #162 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 10:43:15 AM »

มาอัพคับอ่านกะลังน่าติดตาม
บันทึกการเข้า
BIGFISH
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 94
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1174


กระบี่หวั่นไหว คนใช้ไร้คม


« ตอบ #163 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2009, 01:59:25 PM »

ผมเชื่อในเรื่อง Only love is Real  ในแง่ความรักความเมตตาที่พึงมีต่อกันเท่านั้นที่เป็นสิ่งจริงแท้ พระพุทธเจ้าสอนให้แผ่เมตตาไม่มีประมาณไปยังโจรที่กำลังเลื่อยตัดร่างกายของเราเพื่อประโยชน์อันยิ่งยวดต่อตัวเราเอง ผมเชื่อ
แต่ในทางปฏิบัติรู้ว่าไม่ยอมเป็นคนดีที่ต้องตาย โดยไม่ได้ต่อสู้ หรือหากจำเป็นต้องลงมือก่อนก็ทำ ความเชื่อที่ยังไม่มีกำลังพอที่ทำให้เปลี่ยนความเห็นหรือเกิดสติ

มีเรื่องเก่ามาฝาก แต่เพิ่มคือผมได้โทรไปหาคุณเชาวลิต เจ้าของเรื่อง 0818153716 และได้ขออนุญาตนำหมายเลขโทรศัพท์มาลง ประเด็นสำคัญคือท่านอาจารย์ที่เป็นฆราวาสที่กล่าวถึงในเรื่องนี้ ท่านจะลงมาที่วัดดอน ยานนาวา วันที่ 22 -23 /05/2552 เวลา บ่ายโมง ท่านผู้ใดมีความสนใจไปพบบุคคลที่ควรนับถือ ควรไหว้ เชิญครับ

ถูกรถชนตาย ๓๓ ปี
เล่าเรื่อง : คุณเชาวลิต - คุณอรวิภา สาครวิมล จ.สมุทรสาคร
รวบรวมโดย : เมตตาเจโตวิมุติ

เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เมื่อประมาณเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ที่จังหวัดสมุทรสาคร

เรื่องมีอยู่ว่า มีวันหนึ่ง น้องชายซึ่งเป็นลูกของน้าสาวของข้าพเจ้า โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือ บอกว่าภรรยาเขามีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ไปหาหมอรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร หมอได้ตรวจอย่างละเอียดเอ็กซ์เรย์ แล้วก็หาสาเหตุไม่พบ ได้แต่ฉีดยาบรรเทา ปวดเท่านั้น เป็นอย่างนี้มาร่วมเดือน เขาจึงอยากจะย้ายโรงพยาบาลแต่ไม่มีเงิน จึงโทรมาขอความช่วยเหลือ ข้าพเจ้ารับปากว่าจะช่วยเหลือ เรื่องเงินในการรักษา

แต่พอดีข้าพเจ้าได้รู้จ ักและติดตามอาจารย์อยู่ท่านหนึ่ง มา เป็นเวลา 5-6 ปีแล้ว ท่านเป็นฆราวาส ที่รักษาศีลไหว้พระสวดมนต์อย่างเคร่งครัด สามารถรักษาคนเจ็บป่วยที่ไปรักษาหมอหลวงแล้วไม่หาย ถ้าผู้นั้นหมดกรรมได้รักษากับท่าน ผู้นั้นก็จะหายจากอาการเจ็บปวด หรือ
ทุเลาลงได้แล้วแต่บุญ – กรรม จึงแนะนำให้ภรรยาของน้องชายมาลองรักษากับอาจารย์ดูก่อน ถ้าไม่หายจริงๆ ค่อยย้ายโรงพยาบาล

เมื่อมาพบอาจารย์ ภรรยาของเขาก็ได้แต่ร้องไห้ ตัวสั่น เมื่อเห็นดังนั้น ข้าพเจ้าก็คิดว่าในร่างกายของเขาคงไม่ได้เจ็บปวดธรรมดา ด้วยความสงสารและอยากช่วยเหลือ ข้าพเจ้าจึงถามเขาว่าอยากให้เราช่วยก็ขอให้สื่อสารออกมาให้รู้ ตอนหลังเขาก็ร้องไห้อย่างน่าเวทนา เหมือนคนกำลังทุกข์ทรมาน

ข้าพเจ้าก็เอามือลูบหลังเขาด้วยความสงสาร บอกว่าจะช่วยเหลือเขาทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ยอมพูดกับใคร เพราะเขา
กลัวคนมีวิชาจะดึงจิตเขาไปเป็นบริวาร เหมือนเขารู้ว่าเราจริงใจเขาจึงยอมบอก ตอนแร กคิดว่าเขาพูดไม่ได้จึงให้เขาเขียนใส่กระดาษทุวันนี้ยังเก็บไว้ เขาเขียนชื่อ นามสกุล บ้านเลขที่อย่างละเอียด ร้องไห้บอกว่าอยากกลับบ้านไปหาพี่อ แ ม่ พี่ น้อง เขาค่อยๆ เล่าหลายครั้งกว่าจะรวบรวมเรื่องราวให้ครบ เพราะเวลาเขามามีอาการเหมือนคนทุกข์ทรมาน รวมทั้งจะทำให้ภรรยาของน้องชายปวดท้องมากทุกครั้งที่เขามา เราจึงถามเขา เก็บข้อมูลทีละเล็กละน้อย

สรุปได้ว่า เขาเป็นคนจังหวัดน่าน มาทำงานเป็นช่างไม้ สร้างวัดเกตุมวดี เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕ โดยที่ทางบ้านไม่ทราบ ตอนนั้นเค้าอายุ ๑๗ ปี พอมา พ.ศ.๒๕๑๙ เขาโดนรถชนตายขณะยืนซื้อของอยู่ข้างทางหน้าวัดบางปิ้ง เขาเช่าบ้านอยู่แถวนั้น

เขาเล่าว่า ตอนนั้นมืดแล้ว รถกะบะพุ่งชนเขาอย่างแรง โดนทับที่ท้องกลางลำตัว แหลกละเอียดตายคาที่ จึงเป็นเหตุให้ภรรยาของน้องช ายปวดท้อง เวลาเดินต้องเอามือกุมท้องเหมือนคนไส้จะไหลออกมาอย่างนั้น ทางบ้านก็ไม่ทราบว่าเขาตายแล้ว เพราะเขามาทำงานกับเพื่อน ๒ คนแต่แยกกันอยู่คนละที่ น ั ้นหมายถึงเขาตายไปแล้ว ๓๓ ปีถ้ายังมีชีวิตอยู่ตอนนี้เขาก็อายุประมาณ ๕๐ ปี และเขายังไม่หมดอายุขัย ที่สำคัญเขาบอกว่าตอนมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยได้ทำบุญทำทานเอาไว้ จึงยังไม่ไปไหน เขาจึงทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวด จากการโดนรถทับ วนเวียนอยู่จนมาอาศัยอยู่ที่สะพานท่าจีนใก ล้กับวัดกลางอ่างแก้ว ซึ่งภรรยาของน้องชายต้องผ่านไปมาทุกวัน

เขายั งบอกอีกว่า เหตุที่อยากมาเจอข้าพเจ้ากับสามี เพราะเขาเคยได้รับอานิสงส์ผลบุญจากการ ' สวดมนต์เมตตาใหญ่ แบบพิสดาร ' แล้วแผ่เมตตาของข้าพเจ้ากับสามีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังอย่างน่าสงสารว่า เวลามีคนแผ่เมตตาส่งบุญมาให้ พวกเขาจะต้องแย่งกัน เขาบาดเจ็บแย่งไม่ไหว ก็ไม่ได้รับเขาบอกว่าทุกคนอยากได้ แต่จะไม่ได้กันทุกคน ต้องนั่งกอดเข่ารอ (เขาทำท่าประกอบด้วย) แล้วลุกขึ้นแย่งกันเวลาได้รับผลบุญจะเป็นแสงสีเหลืองทองส่องลงมาที่ตัวเขา

ดังนั้น เขาจึงพยายามที่จะได้เจอข้าพเจ้ากับสามี โดยการเกาะมากับร่างของภรรยาของน้องชาย แล้วดลใจให้น้องชายโทรศัพท์หาข ้ าพเจ้าทั้งที่ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้ากับน้องชายคนนี้ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ห ลังจากนั้นข้าพเจ้ากับสามีก็รับปากว่าจะพาเขาไปส่งกลับบ้าน แต่ขอให้เขารับปากว่า ถ้าถึงบ้านแล้วต้อง ทำให้ภรรยาของน้องชายหายจากอาการปวดท้องอย่างเด็ดขาด เขาก็รับปากระหว่างนั้น เขาได้มาเข้าฝันภรรยาของน้องชายว่าให้หาศาลพระภูมิไม้และรูปปั้นผู้ชายแล้วปิดทอง เพราะเมื่อกลับถึงบ้า นเขาจะได้อาศัยอยู่ในนั้น แล้วนำไปลอยน้ำ ที่ให้ปิดทองเพราะเขาบอกว่าไปอยู่ในน้ำจะได้สว่างไม่ต้องใช้เทียน เราก็ทำตามทุกอย่าง นอกจากนั้น เขายังให้จัดซื้อเสื้อผ่าพร้อมเงิน 90 บาท อธิษฐานให้จิตวิญญาณทั่วไปที่มีอีกมากมาย เพราะบางคนไม่มีเสื้อผ้าใส่หรือไม่ก็เก่ามากแล้ว แล้วนำไปบริจาคให้คนยากไร้

ช่วงเวลาที่ได้พูดคุยกับเขาได้รู้อะไรมากมาย เช่น คนจีนชอบเผากระดาษส่งของให้บรรพบุรุษเขาบอกว่าจริงๆ แล้ว เขาไม่ได้รับหรอกต้องไปซื้อหาสิ่งของที่จะส ่งให้ แล้วนำมาอธิฐาน เอ่ยชื่อให้คนรับนำไปถวายเป็นสังฆทาน แล้วนำไปบริจาคให้คนยากจนให้ได้ใช้ประโยชน์จริง บรรพบุรุษจึงจะ ได้รับ ใครทำความดี ทำบุญมากๆ สวดมนต์ภาวนา ผู้ทำจะมีเกราะเป็นแสงสีเหลืองทองสุกสว่างป้องกันตัว ไม่มีใครทำ อะไรได้

หลังจากนั้นประมาณ ๑ สัปดาห์ ข้าพเจ้ากับสามีและญาติๆ ก็ออกเดินทางไปจังหวัดน่าน ก่อนหน้านั้นจากการช่วยเหลือของลูกศิษย์ของอาจารย์ที่ข้าพเจ้านับถือ ได้เช็คข้อมูลของเขาก็ปรากฎว่ามีชื่อ นามสกุล บ้านเลขที่นั้นอยู่จริง แต่ไม่ได้ติดต่อกับทางราชการมานานแล้วจนกลายเป็นคนสาบสูญไปแล้ว จึงท ำให้พวกเรามั่นใจว่าเราคงไม่โดนเขาหลอกไปถึงจังหวัดน่าน ไปถึงประมาณบ่าย ๒ โมงกว่า วนหาบ้านเขาอยู่นาน เขาก็พยายามนึก เขาบอกว่าผ่านไป ๓๐ กว่าปีแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก พวกเรานัดกับลูกศิษย์กับอาจารย์ที่หน้าวัดภูมินทร์

เมื่อเขาเห็นวัด เขาทำท่าดีใจอยากจะลงไปกราบพระ เราก็พาลงไปแต่เขาเข้าโบสถ์ไม่ได้ ต้องให้อาจารย์อธิฐานขอพระประธานในโบสถ์ให้ เขาจึงเข้าไปกราบได้ ข้าพเจ้า ส่งเงินให้เขา ๑๐๐ บาท บอกว่ายกเงินให้เขาเอาไปหยอดตู้ทำบุญ จะได้มีผลบุญติดตัวกลับไป ลูกศิษย์อาจารย์ก็ช่วยขับรถนำพวกเราไปบ้านเขา พอใกล้จะเจอบ้านเขา เขาก็บอกว่าให้รีบพาเขาไปส่ง เพราะวันนั้นเป็นวันพระ เดี๋ยวท่านไม่ให้กลับเขาบอก เราจึงนิมนต์เพราะสงฆ์จากวัดพระธาตุแช่แห้งมาสวดส่งวิญญาณให้เขาตามที่เขาขอ พอทำพิธีเสร็จก็เอาศาลพระภูมิ พร้อมกับมอเตอร์ไซด์ (เด็กเล่น) ที่เขาอยากได้สมัยมีชีวิตอยู่ลอยลงไปในแม่น้ำน่าน ใกล้กับบ้านของเขาที่ตอนเล็กๆ เขาเคยว่ายน้ำเล่น

จากนั้นเขาก็มาผ่านร่างภรรยาน้องชายอีกครั้ง เขาร้องไห้น้ำตาไหล บอกว่าดีใจมากที่ได้กลับบ้านและรู้สึกเสียใจที่จะไม่ได้เจอกับพ วกเราอีกแล้ว ข้าพเจ้าเองก็อดใจหายไม่ได้ ได้แต่บอกว่าจะทำบุญสวดมนต์อุทิศไปให้ คอยรับนะเกิดชาติหน้าค่อยมาเจอกันใหม่ก็แล้วกัน และบอกเขาอีกว่าทุกคนในที่นี้ดีใจที่ได้ช่วยเหลือเขา เขายกมือไหว้ขอบคุณทุกคน พร้อมกับร้องไห้ก้ม ลงกราบข้าพเจ้าที่ตัก ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจมาก หันไปหาสามีของข้าพเจ้าแล้วบอกให้เขาขอบคุณเพราะเขาเป็นคนสำคัญที่สุด เป็นทั้งคนขับรถมาส่งจากมหาชัยจนถึง จ ังหวัดน่าน ภายในวันเดียวกัน แล้ว ยังออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน เขาน้ำตาไหลก้มลงกราบที่เท้าของสามีของข้าพเจ้า ภาพนั้นทำให้ทุกคนอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้จริงๆ แล้วเขาก็ล้มลงที่ตักข้าพเจ้าแล้วจากไป นับจากวินาทีนั้นภรรยาของน้องชายก็มีความรู้สึกเบาเนื้อเบาตัว และที่สำคัญไม่ได้มีอาการปวดท้องอีกเลย นั่นคือสิ่งที่เขารับปากไว้แล้วทำตามจริงๆ จนถึงทุกวันนี้เวลาข้าพเจ้านึกถึงเหตุการณ์นั้นเมื่อไหร่ก็อดที่จะมีความรู้สึกอิ่มเอมใจเสียทุกครั้ง เพราะเชื่อว่าคงไม่เคยได้มีใครได้มีโอกาสช่วยเหลือจิตวิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานมากกว่า ๓๐ ปีให้ได้กลับบ้านเกิด

เรื่องทั้งหมดที่ท่านได้อ่านมานี้ อาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินจริง แต่ข้าพเจ้าขอรับรองว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และสาเหตุที่ข้าพเจ้านำมาเขียนบอกเล่ากับท่านให้หมั่นทำแต่ความดี ทำบุญทำทานสร้างกุศล ไหว้พระสวดมนต์เสียตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่ แล้วแผ่เมตตาให้ตัวท่านเอง ให้แก่เทพ

เทวาประจำตัวท่าน เทพเทวาจะได้มีบารมีสูงพอที่จะช่วยเหลือท่านในยามคับขัน ให้แก่ผู้อื่นตามแต่ใจท่าน ยิ่งแผ่ยิ่งเพิ่มพูนมากมายทวีคูณ ข้าพเจ้าขอให้อานิสงส์ผลบุญแห่งความดี ที่ท่านจะได้สร้างต่อไปนับจากนี้ ขอจงส่งถึงเจ้าของเรื่องโดยตรง คือนายสมบูรณ์ ภูมินทร์ จิตวิญญาณแห่งลุ่มน้ำน่าน ที่แม้เป็นเพียงจิตวิญญาณก็ยังรักษาคำพูดร่วมทั้งผู้เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือนายสมบูรณ์ ภูมินทร์ ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวผู้อ่านเอง เพราะแค่ท่านได้อ่าน ไม่ได้ประสพกับตัวเองจริงๆ ท่านยังเกิดแรงบันดาลใจในการทำความดี ดังนั้น ก็ขอให้สิ่งดีๆ ที่ท่านจะได้ทำต่อไปส่งผลให้ท่านพร้อมทั้งคนที่ท่านรักทุกคน มีแต่ความสุข ความเจริญ พบเจอแต่สิ่งดี คิดหวังสิ่งใดในทางที่ทีด ก็ขอให้สมปรารถนาทุกประการทั้งภพนี้ และภพหน้าด้วยเทอญ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 15, 2009, 02:03:04 PM โดย BIGFISH » บันทึกการเข้า

ดาบของชาติเล่มนี้   คือชีวิตเรา
ถึงจะคมอยู่ดี            ลับไว้
Earthworm
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 211
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1359


« ตอบ #164 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2009, 04:23:44 PM »

         ขอเล่าสองเรื่องครับ เจอมากับตัวเองจริงๆ เรื่องแรกนานมาแล้วครับ สมัยยังเป็นวัยรุ่นยี่สิบกว่าๆ เพื่อนชวนไปเที่ยวบ้าน สมัยนั้นยังเป็นจ.ปราจีนบุรีอยู่ ทุกวันนี้เป็นสระแก้วครับ จุดประสงค์ก็คือชวนเราไปสอนขับรถให้กับคนที่บ้านเขาครับ คือซื้อรถปิคอัพมาแต่ไม่มีใครขับเป็น ก็นั่งรถทัวร์กันไป ถึงตอนเกือบๆจะเย็นแล้วครับ ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นและไม่เคยเชื่อเรื่องพระเรื่องผีเลย (แตเวลาผ่านศาลผ่านพระจะยกมือไหว้ทุกครั้งครับ) ตกค่ำก็เข้านอนกับเพื่อนครับ บ้านมันก็ ดี๊ ดี ไฟมีก็ไม่ค่อยจะเปิด เข้านอนได้ก็หลับเลยครับ กับเพื่อนสองคน ตกดึกครับ เอรู้สึกว่าเหมือนมีคนมาถอดกางเกงครับ ตื่นขึ้นมาดู เพื่อนก็หลับอยู่ เอ คงฝันไป ก็นอนต่อ อีกสักพัก เอาอีกครับ ลุกขึ้นมา เพื่อนผมก็ยังนิ่ง เป็นอยู่หลายครั้งจน สงสัยว่าเพื่อนแกล้งหรือเปล่า ก็เลย เอามือเปิดตามันดูครับ(วิธีการดูว่า หลับจริงหรือไม่จริงแบบผม) เอมันก็หลับนี่หว่า แล้วใครวะมาแกล้งผม ห้องก็ปิดประตูอย่างดี ก็เลยนึกได้เท่าที่รู้ครับ ตั้งนะโมสามจบแล้วบอกกับเจ้าที่เจ้าทางว่าเราขอมานอนแค่คืนสองคืนแล้วก็จะกลับแล้ว หลังจากนั้นก็หลับได้ด้วยดีไม่มีอะไรมากวนครับ  จนมาตอนเช้าทุกอย่างก็กระจ่างเลยครับ เปิดประตูหน้าห้องมา ตรงเด๊ะกับประตูห้องเลยครับ  หิ้งกุมารทองพร้อมของเล่นเต็มๆเลย โหถ้าเมื่อคืนมันเปิดไฟเสียหน่อย ก่อนเข้าห้องเรายกมือไหว้ก็คง ไม่มีอะไรแล้วเฮ้อ ก็ดีครับ ทำให้หลังจากนั้นเวลาไปไหนมาไหน เราก็จะบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางก่อน และไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้อีกเลยครับ........................จนกระทั่ง..............................










                เรื่องที่สอง

                            สดๆร้อนๆเลยครับ เมื่อสักเดือนกว่าๆที่ผ่านมา ไปธุระเสร็จ ขับรถกลับบ้านโดยใช้ ทางด่วนขั้นที่หนึ่ง ลงบางนา หน้าไบเทค ครับ เวลาประมาณสองทุ่มนิดๆ รถไม่เยอะครับแต่ก็พอมีให้ต้องระมัดระวัง ช่วงทางลงทางด่วน บางนามุ่งหน้าไปชลบุรี ถ้าเพื่อนๆ เคยผ่านจะนึกออกนะครับ จะมีลักษณะเป็นโค้งเปิดกว้างครับ ส่วนขวามือเราก็เป็นคูหรือรางระบายน้ำ ที่มีตอม่อ ของทาด่วนบูรพาวิถีครับ ช่วงที่ผมกำลังขับลงมาจากทางด่วนนั้นก็ปกติครับ มองซ้ายมองขวาเพราะมีรถตีคู่มาด้วย พอตอนที่มองขวา(เราอยู่ขวาสุด วันนั้นรถที่ขับเป็นรถสูงครับ)ผ่านร่องน้ำตรงกลาง เห็นผู้หญิงผมยาวประบ่า ห่มสไบสีแดง เดินอยู่ในร่องน้ำครับ หลังจากพ้นโค้งและรถที่ตีคู่กันมาแล้ว ก็มองกระจกข้างอีกที ก็ไม่เห็นเสียแล้วครับ ได้แต่แผ่เมตตา(เมียสอนว่าเวลาขับรถเจอหมาแมวตายก็ให้ทำ)ให้เขาไป คิดว่าเออไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาตั้งนาน มาเจอเอาตอนนี้(ได้ยินมาว่าคนตอนดวงตกมักจะเจอแบบนี้)เอาไว้จะไปทำบุญให้ละกัน นอนแบบติดตาอยู่สองสามคืนไม่ได้เล่าให้ใครฟัง


              จนมาอีกครั้งหนึ่งที่ต้องลงทางด่วนบางนาอีกครั้งคราวนี้สิบโมงเช้า(ผมไม่ได้ลงทางนี้ประจำ เพราะบ้านเข้าได้หลายทางครับ)   ก่อนจะถึงทางลงยังคิดอยู่ว่ายังไม่ได้ทำบุญไปให้สัมภเวสีตนนั้นเลยนี่นา วันนี้รถโล่ง มารถเก๋งเกียร์ออโต้ เดี๋ยวตอนผ่านค่อยชะลอ แผ่เมตตาให้อีกสักทีละกัน จนมาถึงจุดเกิดเหตุ เฮ้ย กลางวันแสกๆปรากฏตัวให้ตูเห็นแต่ไกลเลยหรือวะ ถอดแว่นกันแดดออก ชะลอรถดูให้แน่อีกที..............................................
     





















            ..................................คนบ้า   ครับ สงสัยจะเป็นกระเทยด้วย เจ๊เล่นใส่สไบ เดินก้มหน้าก้มตากลางร่องน้ำครับ โหเล่นเอาไม่สบายใจไปตั้งหลายวัน นี่ถ้าจอดรถได้จะลงไปเขกกะโหลก เสียหน่อยถนนตั้งกี่เลน อุตส่าห์ข้ามมาตั้งรกราก เป็นเกาะส่วนตัวเชียวนะมรึง
             
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 16, 2009, 01:21:35 PM โดย chnon » บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 8 9 10 [11] 12
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.081 วินาที กับ 21 คำสั่ง