เฮลิคอปเตอร์ขนาดกลาง เอบี 139
เอบี 139 เป็นเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางแบบใหม่ของวงการอากาศยานปีกหมุน ได้รับการออกแบบมาสำหรับนำมาใช้งานทั้งในการทหารและกิจการพลเรือน โดยเป็นผลผลิตจากความร่วมมือระหว่างบริษัทผู้ผลิตเฮลิคอปเตอร์ยักษ์ใหญ่สองบริษัท คือ บริษัท เบลล์ เฮลิคอปเตอร์ เทกซ์ทรอน ประเทศสหรัฐอเมริกา กับบริษัท อกุสต้า เวสท์แลนด์ ประเทศอิตาลี กลายเป็น เบลล์ อกุสต้า นอกจากโครงการเฮลิคอปเตอร์ เอบี 139 ทั้งสองบริษัทยังร่วมมือกันในการพัฒนา บีเอ 609 อากาศยานใบพัดกระดกใช้งานทางพลเรือนอีกด้วย นอกจากนี้โครงการเฮลิคอปเตอร์ เอบี 139 ยังมีบริษัทต่างชาติอีกหลายประเทศร่วมในการพัฒนา
เบลล์ เป็นผู้ผลิตเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบตระกูล เบลล์ ยูเอช 1 และเฮลิคอปเตอร์โจมตีตระกูล เอเอช 1 คอบร้า ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแบบหนึ่งของโลกและนำมาใช้งานอย่างกว้างขวางทั่วโลก ทำการผลิตขึ้นใช้งานตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนามเบลล์ได้ทำการพัฒนาและปรับปรุงเฮลิคอปเตอร์ตระกูล ยูเอช 1 และเฮลิคอปเตอร์โจมตี เอเอช 1 สู่รุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาหลายรุ่น แต่ทางบริษัทไม่มีการพัฒนาแบบแผนเฮลิคอปเตอร์รุ่นใหม่ขึ้นมาต่อจาก เบลล์ ยูเอช 1 ในขณะที่ในปัจจุบัน เบลล์ ยูเอช 1 ที่มีประจำการอยู่ในกองทัพทั่วโลกเก่าและล้าสมัยลงไป กองทัพบก เรือ อากาศ หลายประเทศที่มีใช้งานได้จัดหาเฮลิคอปเตอร์แบบอื่นๆ มาทดแทน อาทิเช่น ยูเอช 60 แบลคฮอว์ค ของสหรัฐฯ ซูเปอร์ พูม่า ของฝรั่งเศส และมิ 17 จากรัสเซียซึ่งเฮลิคอปเตอร์ทั้งสามแบบมีขีดความสามารถและสมรรถนะทางการบินสูงกว่า เบลล์ ยูเอช 1
ทางด้าน บริษัท อกุสต้า ประเทศอิตาลี มีผลงานออกแบบและทำการผลิตเฮลิคอปเตอร์ ใช้งานทั่วไป แบบ เอ 109 เฮลิคอปเตอร์โจมตี เอ 129 แมงกุสด้า และร่วมทำการผลิตเฮลิคอปเตอร์ อีเอช 101 รวมทั้งผลิตเฮลิคอปเตอร์ตระกูล เบลล์ บางรุ่นภายใต้ลิขสิทธิ์ให้กับกองทัพอิตาลี เบลล์ อกุสต้า ได้สร้างเครื่องต้นแบบ บีเอ 139 เพื่อใช้ในการทดสอบรวม 3 เครื่อง และได้ทำการทดสอบเมื่อปี พ.ศ. 2544 ที่ผ่านโดยเครื่องต้นแบบเครื่องแรกทำการบินทดสอบครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เครื่องต้นแบบเครื่องที่สองทำการบินเมื่อเดือนมิถุนายน และเครื่องต้นแบบเครื่องสุดท้ายทำการบินเมื่อเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน ขณะนี้การบินทดสอบยังคงดำเนินการอยู่ และคาดว่าจะได้รับการรับรองทางการบินในสิ้นปี เอบี 139 มียอดสั่งจองทั้งสิ้นรวม 50 เครื่อง แต่จำนวนการสั่งซื้อได้เพิ่มขึ้นเป็น 80 เครื่อง โดยลูกค้ารายล่าสุด คือ หน่วยยามฝั่งของสหรัฐฯ ได้สั่งซื้อ เอบี 139 จำนวนประมาณ 30 เครื่อง โดยบริษัทที่รับสัญญาจ้างจากสหรัฐฯ จะนำ เอบี 139 ไปติดตั้งอุปกรณ์ตามโครงการ Deep Water Program เพื่อนำไปใช้ในภารกิจค้นหาและกู้ภัยการขัดขวางทางทะเล การต่อต้านยาเสพติด และภารกิจอื่นๆ หน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ จะนำ เอบี 139 ไปใช้งานทดแทนเฮลิคอปเตอร์ เอชเอช-60 เจฮอว์ค ที่มีใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
แผนแบบของ เอบี 139 เป็นเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลาง 2 เครื่องยนต์ ลำตัวยาว 16.65 เมตร สูง 4.95 เมตร น้ำหนักบินขึ้นสูงสุด 6 ตัน ขนาดของห้องโดยสาร ยาว 2.7 เมตร กว้าง 2 เมตร และสูง 1.42 เมตร ใช้ระบบฐานล้อแบบสามฐานสามารถทำการพับเก็บภายในลำตัวเมื่อทำการบินเพื่อลดแรดต้าน เป็นการเพิ่มความเร็วในการบิน ชุดพวงหางอยู่สูงเพื่อลดโอกาสอันตรายใบพัดหางฟันพื้นเมื่อลงจอดหรือบินขึ้น ติดตั้งระบบป้องกันโครงสร้างเสียหายเมื่อเกิดอุบัติเหตุตกลงสู่พื้นมีเสียงดังน้อยขณะทำการบินและมีความเร็วสูงสามารถทำาการเติมเชื้อเพลิงด้านข้างลำตัวทั้งสองข้าง พลังขับเคลื่อนได้จากเครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์ พีที 6 ซี-67ซี จำนวน 2 เครื่อง เครื่องยนต์แต่ละเครื่องให้แรงขับต่อเนื่องสูงสุด 1,531 แรงม้า (1,142 kW) ส่งกำลังไปหมุนใบพัดประธาน 5 กลีบ และใบพัดหาง 4 กลีบ การทำงานของเครื่องยนต์ควบคุมด้วยระบบดิจิตอล FADEC (Full Authority Digital Engine Control) สมรรถนะทางการบิน สามารถทำความเร็วเดินทางต่อเนื่องสูงสุด 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พิสัยบินไกลสุด (ไม่มีเวลาบินสำรอง) 750 กิโลเมตร และบินได้นาน 3.9 ชั่วโมง
เอบี 139 มีเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 2 คน ห้องนักบินเป็นระบบ Glass Cockpit อันทันสมัย แผงเครื่องวัดประกอบการบินติดตั้งจอภาพแสดงข้อมูลการบิน 3-4 จอ สถาปัตยกรรมระบบ (system architecture) ติดตั้งระบบอวิโอนิกส์ Modular Avionics Unit ซึ่งมีระบบประมวลผลการทำงานของระบบต่างๆ เอาไว้ภายในระบบคอมพิวเตอร์ที่มีพลังสูงสามารถนำไปใช้งานในระบบต่างๆ ได้อย่างมากมาย ติดตั้งระบบควบคุมอัตโนมัติ 4 แกน
เอบี 139 ได้รับการออกแบบและสร้างมาสำหรับตอบสนองการใช้งานเป็นเฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์ ทั้งในกิจการทหารและพลเรือน การนำมาใช้งานในกิจการพลเรือน ประกอบด้วยการขนส่งผู้โดยสาร การใช้งานทั่วไปและการสนับสนุนแท่นขุดเจาะน้ำมัน และบทบาทอื่นๆ ได้แก่ การค้นหาและกู้ภัย การบรรทุกสินค้าและการดับไฟ ห้องโดยสารของ เอบี 139 สามารถจัดวางเก้าอี้สำหรับผู้โดยสารได้ 15 ที่นั่ง หรือสัมภาระหนัก 2,500 กิโลกรัม หรือสัมภาระหนัก 2,700 กิโลกรัม ถ้าหากบรรทุกภายนอกโดยการหิ้ว
ในภารกิจค้นหาและกู้ภัย เอบี 139 จะได้รับการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพื่อใช้ในการค้นหาและเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติได้ทั้งกลางวันและกลางคืน คืออุปกรณ์อินฟราเรดติดตั้งใต้จมูกในภารกิจค้นหาและกู้ภัย เอบี 139 ซึ่งสามารถปฏิบัติการได้ทั้งฐานบินบนบกและบนเรือผิวน้ำ มีรัศมีค้นหาผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่ห่างไกลออกไป 50 ไมล์ทะเล เฮลิคอปเตอร์ใช้เวลาเดินทางจากฐานบินไปยังพื้นที่ค้นหาใช้เวลา 20 นาที มีเวลาทำการบินค้นหาเหนือบริเวณพื้นที่ได้นาน 3 ชั่วโมง ช่วยชีวิตคนได้ 6 คน โดยใช้เวลานานในการปฏิบัติการค้นหา 45 นาที (คนรอดชีวิตอาจจะอยู่ ณ จุดห่างกันเวลาบินสำรอง 30 นาที)
บทบาททางทหาร เอบี 139 สามารถบรรทุกทหารไปได้ 15 คน หรือลำเลียงผู้ป่วย 6 เตียง พร้อมผู้ดูแล 4 คน มีคานสำหรับติดอาวุธที่สามารถถอดออกได้ โดยสามารถติดตั้งกระเปาะปืนกลอากาศ กระเปาะจรวด และอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศ สู่ อากาศ
เอบี 139 จะประสบความสำเร็จเหมือนกับ ยูเอช 1 ฮิวอี้หรือไม่ต้องดูกันต่อไป แต่ต้องพบกับเฮลิคอปเตอร์คู่แข่งขันกับเฮลิคอปเตอร์ขนาดเดียวกันมากมายหลายแบบทั้ง ยูเอช 60 แบลคฮอว์ค ซูเปอร์ พูม่า มิ 17 และใหม่ล่าสุดคือ เอ็นเอช 90
