กราบขอประทานโทษ คุณshobajung และท่านผู้ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ทุกท่าน เนื่องด้วย มีข้อคลาดเคลื่อนทางข้อมูลที่ผมได้เขียนลงไป นั้น คือ ชนิดของอาวุธปืนที่ผมได้นำมากล่าวถึง ว่า ปืนเล็กกล(ปลก.)เอ็ม 16 ซึ่งผิด ที่ถูกต้องคือ ปืนเล็กยาว(ปลย.)เอ็ม 16 ความคลาดเคลื่อนเกิดจากแหล่งที่มาของข้อมูลตามไฟล์ บัตรเหรียญคุณวุฒิ ที่ได้แนบมาด้วยแล้ว(ลบแล้ว) และผมขอไถ่โทษ คุณshobajung และท่านผู้ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ทุกท่าน ด้วยการค้นคว้านำข้อมูลโดยอ้างอิงที่มาของเรื่องดังกล่าวอีกครั้งครับ
ความหมาย ของคำว่า
ปืนเล็กยาว (อ้างอิง*วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) ดังนี้ครับปืนเล็กยาวหรือปืนไรเฟิลเป็นอาวุธปืนที่ถูกออกแบบมาให้ยิงโดยการประทับไหล่ ภายในลำกล้องมีการเซาะให้เป็นสันและร่องเกลียวที่ผนังลำกล้อง ซึ่งสันเกลียวเรียกว่า "Land" ส่วนร่องเกลียวเรียกว่า "Groove" ซึ่งสันเกลียวนี้จะสัมผัสกับหัวกระสุนและรีดหัวกระสุนไปตามสันเกลียวและหมุนควงรอบตัวเอง เพื่อรักษาการเคลื่อนที่ของหัวกระสุนมิให้ตีลังกาในอากาศและเพื่อเพิ่มความแม่นยำตลอดจนอานุภาพสังหาร เทียบได้กับการขว้างลูกบอลในกีฬาอเมริกันฟุตบอลหรือกีฬารักบี้ คำว่า"ไรเฟิล (Rifle)" นั้นมาจากคำว่า Rifling ซึ่งแปลว่าการทำให้เป็นร่อง นิยมใช้ในราชการสงคราม การล่าสัตว์ หรือกีฬายิงปืน
ในทางทหารแล้วคำว่า "ปืน (Gun)" ไม่ได้หมายถึงปืนเล็กยาว ในทางทหารคำว่า"ปืน (Gun)"หมายถึง ปืนใหญ่ นอกจากนี้ ในงานนวนิยายหลายเรื่อง คำว่าปืนเล็กยาวหรือปืนไรเฟิลจะหมายถึงอาวุธใดๆ ก็ตามที่มีพานท้ายและต้องประทับบ่าก่อนยิง ถึงแม้ว่าอาวุธดังกล่าวจะไม่ได้ทำร่องในลำกล้องหรือไม่ได้ยิงกระสุนก็ตามเดิมทีแล้ว ปืนเล็กยาวถูกใช้โดยนักแม่นปืน ขณะที่ทหารราบจะใช้อาวุธที่ทรงอานุภาพมากกว่า อย่างปืนคาบศิลา ซึ่งจะยิงกระสุนกลมๆ ซึ่งอาจมีขนาดถึง 19 ม.ม. (0.75 นิ้ว) เบนจามิน โรบินส์ เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้รู้ว่ากระสุนจะพุ่งได้เร็วกว่ากระสุนแบบกลม งานของโรบินส์และคนอื่นๆ นั้น กว่าจะได้การยอมรับก็ต้องรอจนถึงทศวรรษที่ 18
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 19 อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงที่เหมาะสมทำให้ปืนคาบศิลาถูกแทนที่ด้วยปืนเล็กยาวมักจะยิงทีละนัด บรรจุกระสุนทางด้านท้ายถูกออกแบบมาเพื่อการเล็ง , จะถูกยิงอย่างรอบคอบโดยทหารบางคน จากนั้น จนถึงปัจจุบัน ปืนเล็กยาวก็เริ่มมีพานท้าย เพื่อประทับยิง ปืนเล็กยาวของกองทัพในช่วงแรก อย่าง ปืนไรเฟิลบาร์คเกอร์ มันมีขนาดสั้นกว่าปืนคาบศิลา และมักใช้โดยพลแม่นปืน จนกระทั่งทศวรรษที่ 20 ปืนเล็กยาวเริ่มมีความยาวมากปืน 1890 มาตินี่ เฮนรี่ มีความยาวเกือบ 2 เมตร และติดดาบปลายปืน ความต้องการอาวุธที่กระชับขึ้นของทหารม้าทำให้เกิดปืนเล็กสั้น (Carbine) ขึ้นมา
ประวัติของปืนเล็กยาว เอ็ม 16 (อ้างอิงจาก
www.thaibbgun.in.th) เป็นปืนเล็กยาวที่กองทัพบกสหรัฐอเมริกากำหนดขึ้น โดยเรียกชื่อไล่จาก Armalite AR-15 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่ยิงด้วยกระสุนขนาด 5.56 x 45 mm. NATO ที่ออกแบบโดยนาย Eugene Stoner ในปีค.ศ. 1950 เดิมใช้เป็นปืนเล็กยาวประจำกายของทหารในกองทัพบกและกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967โดยเข้าประจำการแทนปืน M14 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 7.62x51 mm. NATO (.308 Winchester) และยังใช้กันอยู่ในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การ NATO ทั้ง 15 ประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
ปืน M16 เป็นปืนที่มีน้ำหนักเบา บรรจุกระสุนในซองกระสุน (Magazine) บริหารกลไกด้วยด้วยระบบแรงดันก๊าซ ระบายความร้อนด้วยอากาศ วัสดุที่ใช้ผลิตปืนผสมผสานทั้งเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และพลาสติก
ปืน M16 ผลิตในปีค.ศ. 1963 สังเกตปลอกลดแสง (Flash Hider) ยังเป็นแบบ 3 แฉก (Three-prong Flash Hider) เหมือนของปืน AR-15 อยู่ และไม่มีคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) ติดตั้งมาให้
ปืน M16A1 ผลิตในปีค.ศ. 1967 สังเกตปลอกลดแสง (Flash Hider) จะเป็นซี่คล้ายกรงนกมีรูลดแสง 4 รู("Bird Cage" Flash Hider) และมีคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) ติดตั้งมาให้แล้ว
คันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) มีในปืน M16A1 เป็นต้นมา ใช้สำหรับดันหน้าลูกเลื่อนให้เข้าที่ก่อนทำการยิง ในกรณีที่ไม่ต้องการให้เกิดเสียงดังจากการดึงคันรั้งลูกเลื่อนเพื่อขึ้นลำปืน
ซองกระสุนแบบ STANAG 4179 ซองกระสุนความจุ 20 นัดผลิตโดยบริษัท Colt ประเทศสหรัฐอเมริกา และซองกระสุนความจุ 30 นัดผลิตโดยบริษัท Heckler&Koch หรือ H&K ประเทศเยอรมนี โดยทาง H&K เรียกซองกระสุนรุ่นนี้ว่า "High Reliability"
กระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO บรรจุในแมกกาซีนความจุ 30 นัด
ปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิมใช้เป็นครั้งแรกในสงครามเวียดนาม ซึ่งแต่เดิมนั้น ปืน M16 ออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปีค.ศ.1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนไรเฟิลซ้อมยิงที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ และได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธปืนประจำกายของหน่วยแพทย์ทหารเสนารักษ์และหน่วยสนับสนุนการรบต่างๆในช่วงสงครามเกาหลีด้วย แต่เนื่องจากตัวปืนนั้นมีปัญหาเรื่องลำกล้องปืนมักจะบวมและแตกร้าวเมื่อมีการยิงต่อเนื่องนานๆ จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก
ต่อมาเมื่อบริษัท Armalite ได้ขายแบบแปลนปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ปืน AR-15 ก็ได้รับการพัฒนาจนออกมาเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ.1964 ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก
ต่อมาในปีค.ศ. 1981 บริษัทโคลต์จึงได้พัฒนาและปรับปรุงปืน M16A1 จนออกมาเป็นปืน M16A1E1 เพื่อรองรับกระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO รุ่นใหม่คือกระสุน M855 Ball หรือ SS-109 ซึ่งมีความแม่นยำและอานุภาพทำลายล้างมากกว่าเดิม จนในปีค.ศ. 1982 หน่วย US Department of Defense (US DoD)จึงได้บรรจุปืน M16 รุ่นนี้เข้าประจำการและเรียกในชื่อใหม่ว่า "US Rifle, 5.56mm, M16A2" ซึ่งปืน M16A2 นี้สามารถยิงได้เพียง 2 รูปแบบ คือ แบบกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Auto) ครั้งละ 1 นัด/ครั้ง และแบบอัตโนมัติ (Burst Auto) คือชุดละ 3 นัด/ครั้ง โดยมีคันบังคับการยิงให้จัดเลือกอยู่ทางด้านซ้ายเหนือด้ามปืน ซึ่งต่างจากปืน M16A1 ตรงที่แบบอัตโนมัติของรุ่น A1 จะเป็นแบบอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto) กล่าวคือปืนจะทำการยิงตามวงรอบการทำงานไปเรื่อยๆจนกว่าผู้ยิงจะเลิกเหนี่ยวไกปืนหรือจนกว่ากระสุนจะหมดซองกระสุน มิใช่ยิงเป็นชุดเพียง 3 นัดเท่านั้น ไม่ว่าผู้ยิงจะเหนี่ยวไกค้างไว้หรือไม่ก็ตาม
ในปีค.ศ. 1994 ทางบริษัทโคลต์ได้มีการปรับปรุงสมรรถภาพของปืน M16A2 อีกครั้งเป็นรุ่น A3 และ A4 ตามลำดับ โดยปืน M16A3 นั้นสามารถยิงได้สองโหมดคือ ยิงทีละนัด (Semi-Auto)และยิงอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto)เท่านั้น ส่วนปืน M16A4 นั้นรูปร่างก็มิได้แตกต่างไปจากรุ่น A3 เพียงแต่จะยิงได้สองโหมดนี้คือ โหมดยิงทีละนัด (Semi-Auto) และแบบอัตโนมัติ (Three-Burst Auto) เพียงเท่านั้น โดยทั้งรุ่น A3 และ A4 มีลักษณะภายนอกคล้ายกับ A2 ทุกประการแต่สามารถถอดด้ามหูหิ้ว (Flat Top Recceiver)ออกเพื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆได้ในขณะที่ A2 จะเป็นแบบติดตั้งตายตัว
ในช่วงทศวรรษ 1980 ปืน M16A1 ติดขาทรายและปืนกลเบา M60 จะถูกแทนที่ด้วยปืนกลเบา SAW M249 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO รุ่น M855 Ball เช่นเดียวกับปืน M16A2 เพื่อเพิ่มอานุภาพของอาวุธและลดภาระในการจัดส่งกระสุนและเสบียงเข้าสู่สนามรบของหน่วยพลาธิการ ครั้นถึงทศวรรษ 1990 ปืน M16A2 จำนวนมากเริ่มถูกแทนที่ด้วยปืน M4 Carbine ซึ่งปรับปรุงมาจากปืน M16 เพื่อเพิ่มสมรรถนะและความคล่องตัวในการรบในที่แคบหรือในอาคารต่างๆ
ลักษณะโดยทั่วไป
ปืนอ็ม16 -จัดอยู่ในกลุ่ม ปืนเล็กยาว
สัญชาติ -สหรัฐอเมริกา
ใช้ในสมัย -สงครามเวียดนาม - ปัจจุบัน
การใช้งาน -อาวุธประจำกาย
เป้าหมาย -บุคคล
เริ่มใช้ -พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1967)
ช่วงผลิต -พ.ศ. 2500 - ปัจจุบัน
ช่วงการใช้งาน -พ.ศ. 2503 - ปัจจุบัน
ขนาดลำกล้อง- 5.56 มิลลิเมตร (0.223 นิ้ว 6 เกลียว เวียนขวา)
ความยาวลำกล้อง- 508 มิลลิเมตร
กระสุน- Ball M193 , M855 ขนาด 5.56x45 mm. NATO ระยะครบรอบเกลียว A1=16 ฟุต A2=12 ฟุต
แมกกาซีน- ซองกระสุนแบบ STANAG Magazine ความจุ 20, 30 นัด และแบบ Drum ความจุ 100 นัด
การทำงาน- ขับดันด้วยแก๊ส, ลูกเลื่อนหมุน
อัตราการยิง- 750 - 900 นัด/นาที
ความเร็วปากลำกล้อง- 975 m/s (3,200 ft/s Ball M193)
930 m/s (3,050 ft/s Ball M855)
ระยะหวังผล- A1 = 460 เมตร A2,A3,A4 = 550 เมตร
น้ำหนัก- แล้วแต่แบบ
ความยาว- A1=990.6 มม.,A2=1006 มม.
แบบอื่น- M4 Carbine,AR-15
จำนวนที่ผลิต- มากกว่า 8 ล้านกระบอก