ขออนุญาตเล่าประสพการณ์ที่เพิ่งเจอมาไม่นานนี่ดีกว่า
ผมโดนชักชวนให้เข้าร่วมทำกิจการ แค่ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล บริโภคสินค้าของเค้า และดึงคนเข้ามาร่วมทำธุรกิจกับเรา
สินค้าที่ว่าก็คือ Agel ครับ ไม่รู้ว่ารู้จักกันหรือเปล่า
Agel เป็นวิตามินในรูปของเจล บรรจุซองพร้อมดื่ม เหมือนเยลลี่ที่เด็กๆกินน่ะแหละครับ
มันถูกแบ่งออกเป็นหลายชนิด หลายจุดประสงค์ ใช้สำหรับต้านอนุมูลอิสระ, บำรุงร่างกาย, ควบคุมน้ำหนัก, เพิ่มพลังงาน ฯลฯ โดยแต่ละผลิตภัณฑ์ก็จะแบ่งยิบย่ิิอยลงไปอีกว่ามีสรรพคุณอะไรต่อมิอะไร
เค้าโฆษณาว่าสกัดมาจากผลไม้และพืชต่างๆที่หายากมากๆในโลก ผมดูๆแล้วก็สงสัยว่าหายากตรงไหน มังคุด, ว่ายหางจระเข้, ผลไม้จำพวกเบอรี่ต่างๆ, ทับทิม ฯลฯ
เค้าพยายามจะชวนผมให้ร่วมทำเพราะอะไร? เค้าก็พูดเหมือนหวังดีนะ ว่าอยากให้ลองทำงานแบบนี้ ได้เงินดี เอาโน่นเอานี่มาอ้าง เช่นบริษัทจะให้รถเบนซ์ถ้าทำยอดขายดี, ทำแป๊บเดียวก็ได้ทุนคืน แถมได้กำไรด้วย, บลา บลา บลา สารพัดจะชักชวน และเหตุอีกผลหนึ่งก็คือ ถ้าเค้าหาคนได้ครบตามเป้าแล้ว เค้าจะได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นผู้จัดการ...โฮ่ๆๆๆ
แรกๆผมก็ว่าน่าสนใจดี เพราะเป็นงานอิสระ และมีรายได้ดี(ตามที่เค้าโฆษณา) และเป็นงานที่ทำง่ายๆ ไม่ยากอะไร แค่หาลูกค้า, ทดลองใช้สินค้า ฟังดูเหมือนง่าย แต่ก็ไม่ง่ายแน่นอน และที่สำคัญที่ทำให้ผมคิดที่จะไม่ลงทุนทำในส่วนนี้ก็คือ ผมจะต้องเริ่มต้นลงทุนโดยการใช้เงินตัวเองจำนวน 1,000 เหรียญออสเตรเลีย หรือประมาณ 23,000-30,000 บาท (แล้วแต่ช่วงระยะเวลาที่ค่าเงินผันผวน) แต่เค้าก็บอกว่าจะได้กำไรภายในไม่ช้า เดือนนึงก็ได้แล้ว อะไรทำนองนั้น
หลักการของการทำตลาดก็คือ 1 กระจายเป็น 2, 2 กระจายเป็น 4, 4กระจายเป็น 8 ก็คือผมต้องไปหาคนอีก 2 คน แล้วสองคนนั้น ต่างคนก็จะไปหาอีกคนละ 2 คน ก็กลายเป็น 4 กระจายแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเค้าก็บอกว่าคนระดับบนๆสบาย ได้เงินดี เพราะคนที่เราหาเค้าก็ไปหาต่อ เหมือนกับ Hierarchy (คงนึกภาพกันออกนะครับ) ก็หมายความว่าเราควบคุมดูแลแค่ 2 คน แล้วก็ปล่อยให้ระดับถัดลงไปจากเราดูแลคนที่ถัดเค้าลงไปอีก
ผมเล่าแค่นี้ดีกว่า
สรุปคือ มันก็คือการตลาดอย่างหนึ่งครับ ซึ่งพึ่งเอาผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเข้ามาช่วย ผมมองว่าเหมือนการหลอกขายคนอื่นไปเรื่อยๆ แล้วก็ให้เค้าเอาไปหลอกขายคนอื่น เป็นทอดๆไปแบบนี้ เพื่อที่จะให้เราได้มีตำแหน่ง มีรายได้ดีๆ ผมเชื่อว่าของแบบนี้อาจขายได้ในบางกลุ่มคน แต่สำหรับบางกลุ่ม เราเจาะตลาดไม่ได้แน่ๆ(อย่างเช่นผมเป็นต้น)
อีกอย่าง คนที่ชวนผมทำนั้น เป็นศิษย์วัดขนาดใหญ่วัดหนึ่งแถวๆปทุมธานีที่เคยเป็นข่าวดังเมื่อหลายปีก่อน ผมเองไม่ศรัทธาในวัดนี้เป็นการส่วนตัวครับ พูดก็พูดตรงๆเลย ผมเคยไปสัมผัสมาด้วยตัวเองแล้ว ไปครั้งแรกก็รับรู้ได้เลยว่าบิดเบือนสุดๆ และหลักการของวัดนี้ก็อย่างที่เห็นๆกัน คือเค้าพยายามจนถึงที่สุด ที่จะดึงคนเข้าวัดให้มากที่สุด ถึงขนาดจัดรถรับส่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้คนไปวัดให้ได้ และหลักการที่เค้าดึงคนเข้าวัดก็คือหลักการที่เป็นไปในเชิงการตลาด เหมือนกับ Agel นี่แหละครับ ก็คือบอกปากต่อปาก และพยายามดึงจนถึงที่สุด และการทำบุญด้วย "เงิน" เป็นหลัก ซึ่งผมไม่ค่อยชอบซักเท่าไร ไม่ใช่สิ ไม่ชอบเลย หลักการแบบนี้ บิดเบือนสุดๆครับ
เมื่อเอามาเปรียบเทียบกันแล้ว ภาพลักษณ์มันเหมือนกันครับ สำหรับการกระจายตลาดของ Agel และวัดที่ว่านี้ คือพยายามหาสมาชิกให้ได้มากที่สุด หาไปเรื่อยๆ ยิ่งมากยิ่งดี อะไรทำนองนั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง หน้าตา และอะไรต่างๆนานา
ตอนนี้ผมเงียบเรื่องนี้กับเค้าไปละครับ พยายามจะไม่พูดถึง เดี๋ยวเข้าตัวแล้วจะยุ่งเปล่าๆ

ที่เล่าก็เพื่อที่จะแชร์ประสพการณ์ครับ เพราะทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการตลาดอย่างที่พี่โทนกล่าว บางทีถ้าเราฟังมาผิวเผิน อย่างเช่นบริโภคนั่นดี นี่ไม่ดี ทำอย่างนั้นดี แบบนี้ไม่ดี โดยที่ไม่มีบทพิสูจน์ที่แน่ชัดหรือเรายังไม่ได้เข้าไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง มันก็ยังไม่น่าเชื่อถือซักเท่าไรครับ มันก็เป็นแค่สมมุติฐาน(หรือบางทีผมเรียกว่าสร้างวิมานในอากาศ อย่างเคส Agel ที่ผมเล่าไป) แค่นั้นเองครับ