กลับมาอ่านอีกรอบครับ... พบบางประเด็นในคำวิจารณ์...
ตอนแรกว่าจะสั่งซื้อเหมือนกันครับ แต่ว่าอ่าน บางบทวิจารณ์แล้วลังเลครับลุงวัฒน์
http://www.nangdee.com/webboard/viewtopic.php?t=5701ที่มา คมชัดลึก โดย "นันทขว้าง สิรสุนทร"
...
ผมไม่แปลกใจที่มีหลายๆ คนบ่นว่า ดูหนังเรื่องนี้ไม่เข้าใจและไม่สนุก ผู้กำกับ ริดลีย์ สกอตต์ อาจจะไม่ทิ้งจังหวะแอ็กชั่นที่เคยใช้ใน
Black Hawk Down แต่พอมองในส่วนของเนื้อหา มันขาดความพอดี ทั้งการเล่าเรื่องที่เร็วเกินเหตุ แง่มุมที่น่าสนใจซึ่งทิ้งไป
และบทซึ่งขาดรายละเอียด ที่จะเชื่อมพล็อตกับคาแรกเตอร์ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
การเน้นหนักไปที่แอ็กชั่น แต่เล่าเรื่องอย่างรวดเร็วเกินเหตุในหลายช่วงตอน คำถามที่ตามมาก็คือ คนดูอาจจะไม่สนุก เพราะไม่เคลียร์
กับรายละเอียดต่างๆ ที่พวกเขาอยากได้ แง่มุมนี้หมายความว่า ขณะที่แอ็กชั่นทำงานไป แต่เรื่องราวต่างๆ คนดูไม่ได้อินไปกับหนัง
หรือเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
สิ่งที่ตามมาก็คือ พวกเขาอาจจะไม่สนุกกับการดู Body of Lies เท่าที่ควรจะเป็น แถมบางส่วนของเนื้อหาก็มีเรื่องสงสัยอยู่ในหัว
แทนที่ลื่นไหลไปกับตัวหนัง สนุกไปกับแอ็กชั่น ก็ไม่ได้ทั้งสองด้านและกร่อยไป
มันเหมือนจะไปดูมวยชิงแชมป์ถูกคู่ที่หมัดหนัก แต่พอเริ่มต่อย แพทย์ข้างสนามก็เรียกตรวจนั่นตรวจนี่ ต่อมาไฟดับ และเดี๋ยวก็ต้องหยุด
เพื่อเช็ดเวทีเพราะมีเหงื่อ พอจะต่อยต่อ ก็เชือกหลุดกระจับหลุด คนดูก็ไม่ลื่นไหลไปกับมวยแอ็กชั่น
จุดขายที่มีอยู่ในสินค้าพอสมควร จึงมีประโยชน์แค่ตีพิมพ์ในตั๋วผ่านประตู
... (1) ... นายสมชาย
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา ข่าวสด โดย กฤษดา
ทั้งชื่อเรื่องและเนื้อหาของหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ "7 ตุลาฯ" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชื่อของหนังนำไปสู่การตั้งคำถามสำคัญว่ากลุ่มคนหรือหน่วยงานใดที่เป็น "body of lies"
โดย body ในที่นี้คงไม่ได้หมายถึง โครงสร้างทางกายภาพ หรือลำตัว (ของคนหรือสัตว์) แต่น่าจะหมายถึง
"กลุ่มบุคคลผู้ร่วมกันทำงานเพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง"
Body of Lies จึงน่าจะหมายถึง "กลุ่มบุคคลผู้หลอกลวง" หรือ "กลุ่มคนแห่งการโกหก"
เมื่อนำไปพิจารณาเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ก็น่าจะสามารถมองเห็นคำตอบและความเป็นไปได้ว่าพวก ไหนกลุ่มใดที่โกหกหลอกลวง
นอก เหนือจากเนื้อหาและงานการกำกับ Body of Lies ยังมีจุดเด่นที่พลังดาราและฝีมือการแสดงของ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ
และรัสเซลล์ โครว์ โดยเฉพาะ โครว์ นั้นได้ข้อมูลมาว่าเขาเพิ่มน้ำหนักหลายสิบปอนด์เพื่อให้ดูเป็นซีไอเอรุ่น ใหญ่
สำหรับคนดูที่ชอบดูพลังดารา ผมว่าแค่ 2 คนนี้ ก็คุ้ม
... (2) ... นายสมชาย
--------------------------------------------------------------------------------
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ โดย : อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
ถึงนาทีนี้ ผมเชื่อว่า คอหนังแอ็กชั่นคงจะรู้แจ้งกันไปแล้วว่า ผลงานเรื่องใหม่ล่าสุดของผู้กำกับริดลี่ย์ สก็อต ไม่ใช่หนังบู๊ที่จะดูเอามัน
สะบั้นหั่นแหลก และแน่นอนที่สุด อาการที่เกิดตามมาก็คงไม่พ้น ผิดหวัง...มากหรือน้อย แตกต่างกันไปในแต่ละคน อย่างไรก็ดี
ผมคิดว่า นี่ก็น่าจะเป็นบทเรียนอีกหนึ่งบทที่คนดูหนังพึงสังวรไว้เช่นกัน
เพราะอะไรน่ะหรือ?
สั้นๆ เลยครับ Body of Lies ทำให้ผมนึกไปถึงหนังอีกหลายๆ เรื่องที่ได้เข้ามาฉายในบ้านเรา ยกตัวอย่างเมื่อปีที่แล้ว กับผลงานของ
โรเบิร์ต เรดฟอร์ด เรื่อง Lions For Lamp ที่คำโฆษณาตลอดจนตัวทีเซอร์ที่ใช้สำหรับการโปรโมท ทำให้คนดูรู้สึกหรือคาดหวังไปว่า
มันคงเป็นหนังแอ็กชั่นสงครามที่รบกันสนั่นจอ แต่ตัวหนังที่ออกมาจริงๆ กลับเข้มข้นหนักหน่วงด้วยเนื้อหาความคิดที่ตัวละครงัดออกมา
รัวใส่กันจนฟัง (และคิดตาม) แทบไม่ทัน แน่นอนว่า Lions For Lamp มีฉากแอ็กชั่นอย่างโต้แย้งไม่ได้ แต่ก็มีอยู่แค่ 4-5 ฉากเท่าๆ กับ
ที่เห็นในทีเซอร์เท่านั้นนั่นแหละ!!
ทิศทางของสองตัวละครหลักมีลักษณะใกล้เคียงกับตัวละครในหนังคู่หูแนวๆ Rush Hour เพียงแต่คู่หูในหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีรูปแบบ
ไปไหนไปกัน เพราะในขณะที่เฟอร์ริสต้องรับบทสายลับลงปฏิบัติงานในพื้นที่ เอ็ด ฮอฟฟ์แมน กลับนั่งบัญชาการอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ
ของสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตันดีซี
ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ รับบทบาทสายลับขาลุยได้ดูสมจริงสมจัง เนี้ยบ และดูเข้ม ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อหนุ่มลีโอฉีกมาดผู้ชายหล่อ
เหลาเจ้าสำอางมารับบทเข้มๆ เพราะอย่างน้อยๆ เราก็เคยได้เห็นเขาในบทบาทแบบนี้มาแล้วใน Blood Diamond และ Body of Lies
ก็คือพัฒนาการอีกขั้นของพ่อหนุ่มคนนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธ ส่วนรัสเซล โครว์ ที่เพิ่มน้ำหนักจนพุงพลุ้ยเพื่อรับบท เอ็ด ฮอฟฟ์แมน
กลับทำให้ดูตุ้ยนุ้ยอืดอาดเกินไป รวมทั้งลักษณะคาแรกเตอร์ก็ดูเหลาะแหละเหมือนคนไม่เอาจริงเอาจัง และในที่สุด มันก็ส่งผลให้
ตัวละครตัวนี้ดูไม่สมบทบาทของซีไอเอที่รับผิดชอบความเป็นความตายของผู้คน
ในส่วนของเนื้อหา ถือได้ว่า Body of Lies มีความแปลกใหม่ในตัวเองพอสมควร เพราะถึงแม้มันจะเป็นหนังที่พูดถึงการก่อการร้าย
แต่ก็ไม่ได้มุ่งเน้นจะตีแผ่หรือประณามความเลวร้ายของเหล่า Terrorist แต่อย่างใด แต่หันมาโฟกัสที่ฝ่ายปราบปรามแทน
ซึ่งหนังก็ทำให้เราได้เห็นว่า มองในบางมุม คนเหล่านี้ บางที ก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก ผู้ก่อการร้าย สักเท่าไหร่ เพราะในขณะที่โลก
กำลังลุกไหม้เป็นไฟ มันก็ยังมีคนบางที่กำลังเล่นเกมปราบปรามการก่อการร้ายอย่างสกปรก ซึ่งในหนังเรื่องนี้ก็คือ การกุเรื่องโกหกลวง
หลอกศัตรูที่กลับนำมาซึ่งผลลัพธ์อันไม่พึงประสงค์ ส่วนชื่อของหนังที่มีคำว่า Body รวมอยู่ด้วย ก็ไม่ได้หมายถึง ร่างกาย หรือ
ศพ แต่หมายถึง กลุ่มคนซึ่งสมรู้ร่วมคิดกันในปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพียงแต่ปฏิบัติการใน Body of Lies ไม่ใช่ปฏิบัติการ
ที่สวยหรูเท่าไรนัก เพราะมันข้นคลั่กไปด้วยการโกหกหลอกลวง (นั่นก็คือคำว่า Lies ในชื่อหนัง)
อย่างไรก็ตาม ประเมินโดยภาพรวมทั้งหมด ผมเห็นว่า Body of Lies ดูจะแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับผลงานที่ผ่านๆ มาของ
ริดลี่ย์ สก็อต ในแง่ของ ความน่าประทับใจ เพราะใครก็ตามที่เคยดู Black Hawk Down, The Gladiator หรือแม้กระทั่ง
Thelma & Louise จะเห็นว่า หนังเหล่านั้น อย่างน้อยที่สุด มันได้ทิ้ง บางสิ่งบางอย่าง ติดค้างและตราตรึงอยู่ในใจเรา
หลังจากดูจบ แต่ Body of Lies กลับดูเหมือนหนังประเภทสายลับพื้นๆ ทั่วๆ ไปที่เปิดฉากไล่ล่าผู้ร้ายตั้งแต่ต้นจนจบ
พูดแบบพื้นๆ ก็คือ หนังไม่มี ประเด็น ที่เด่นชัดและหนักแน่นเพียงพอที่จะตราตรึงอยู่ในใจเราเหมือนหนังหลายๆ
เรื่องที่ผ่านมาของริดลี่ย์ สก็อต (ในศิลปะวรรณกรรมอาจจะเรียกอะไรแบบนี้ว่า ความสะเทือนใจ ซึ่งความสะเทือนใจที่ว่านี้
ก็ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการสูญเสียหรือเจ็บปวดเสมอไป แต่เป็นอะไรก็ได้ที่มันสามารถ กระทบ ต่อความรู้สึกของเรา
ไม่ว่าจะในทางบวกหรือลบก็ตามที)
สรุปก็คือ จากหนังที่ดูเหมือนจะมีอะไรบ้างในตอนแรกๆ ซึ่งอย่างน้อยที่สุด เนื้อหาของหนังก็ดูเหมือนจะพยายามเข้าไปแตะ
ด้านมืด บางด้านของซีไอเอที่แม้จะมีความตั้งใจดีในการปราบปรามการก่อการร้ายจนแต่บางทีก็ไม่ได้สนใจวิธีการจนเกือบจะนำมา
ซึ่งความสูญเสียและเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น แต่หนังก็ไม่ได้เน้นย้ำเท่าที่ควร เท่าๆ กับที่บางขณะ เนื้อหาบางส่วนของหนังก็เหมือน
จะทำให้คนดูเกิดคำถามในใจว่าซีไอเอมี วาระซ่อนเร้น อะไรอยู่ในปฏิบัติการนี้หรือเปล่า แต่หนังก็พูดแบบอ้อมๆ แอ้มๆ ไม่ชัดถ้อยชัดคำ
นั่นจึงทำให้ Body of Lies ที่ออกสตาร์ทด้วยท่วงท่าลีลาของความเป็นดราม่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ลงท้าย ผู้กำกับริดลี่ย์ สก็อต กลับดู
เหมือนจะพอใจที่จะหยุดมันไว้แค่การเป็นหนังที่ดูสนุกตอบสนองความบันเทิงอันว่าด้วยเรื่องราวของตัวละครที่พาตัวเองเดินเข้าสู่
มุมอับและประสบการณ์เฉียดตาย...เท่านั้นเอง...
แต่เอาล่ะ สิ่งหนึ่งซึ่งขอชมว่าเป็นความโดดเด่นยิ่งสำหรับ Body of Lies ก็คือ บทภาพยนตร์ซึ่งผูกพล็อตวางสถานการณ์ในหนังให้
พลิกกลับไปกลับมาอยู่ตลอด (แน่นอน มันเป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ สำหรับคนดูเมื่อหนังคลี่คลายความจริง) โดยเฉพาะในช่วงพีคท้ายๆ
เรื่องที่ต้องบอกว่า ห้ามเผลองีบเป็นเด็ดขาด เพราะมันอาจจะทำให้คุณ ต่อไม่ติด กับเรื่องราวในหนังไปเลยก็เป็นได้
และเพราะความเป็นหนังที่มี เนื้อหา เป็นตัวนำหน้า ฉากแอ็กชั่นในงานชิ้นนี้จึงทำหน้าที่เป็นเพียง ส่วนประกอบย่อยๆ หรือ
น้ำจิ้ม พอให้ได้ตื่นเต้นกันบ้างเป็นระยะๆ ซึ่งจริงๆ ผมเห็นว่า นอกจากฉากระเบิดตึกตูมตามนั้นแล้ว ฉากแอ็กชั่นที่เหลือก็ไม่ใช่สิ่ง
จำเป็นของหนังที่ขาดไม่ได้ เพราะถึงแม้เราจะตัดฉากแอ็กชั่นเหล่านี้ออกไป มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของหนังแต่อย่างใด
... (3) ... นายสมชาย
1) หนังเรื่องนี้ผูกเรื่องอยู่ที่ประโยคบางประโยคของตัวละครครับ... บางฉากถูกผูกเรื่องในบทสนทนาแค่สองสามประโยค แล้วลากโยงไปหาบุคคล หรือสถานที่... "นันทขว้าง สิรสุนทร" ฟัง(หรืออ่าน)บทสนทนาไม่แตก จะดูหนังไม่รู้เรื่องครับ
2) "กฤษดา" และ "อภินันท์ บุญเรืองพะเนา" ไม่แตกฉานในความหมายของคำว่า Body ในชื่อหนังครับ... คำว่า Body ไม่ได้แปลว่ากลุ่มคน... แต่แปลทำนองว่า
... แปลความตามท้องเรื่องจะได้ทำนองว่า
คือบรรดาสายลับ ที่หลอกกันไปหลอกกันมาแม้แต่พวกเดียวกันก็หลอกกันได้ด้วย...
การที่แปลความหมายไม่แตก ทำให้มองไม่เห็นความเชื่อมโยงและจุดกระทบอารมณ์ผู้ดู...
3) นักวิจารณ์ทั้งหมดไม่ได้"เล่นปืน"ครับ เลยมองฉากแอกชั่นเป็นแค่น้ำจิ้ม... ฉากแอกชั่นหลายฉาก เปิดฉากจากสถานการณ์คลุมเครือ เป็นสถานการณ์ที่ชาวปืนทั้งหลายกังวลอยู่ตลอดครับ... ว่าเมื่อไหร่จะเริ่มคว้าด้ามปืน เมื่อไหร่จะเริ่มยิง แล้วจะยิงใคร... ใครมิตร ใครศัตรู...
จะเห็นว่าฉากที่อีตาชู้รักเรือล่มไล่แทงสายลับหนึ่งคนก่อนโดนหมากัดขาเป๋... ฉากนั้นไม่ได้ตั้งใจไปฆ่าคนนะครับ ไปถึงแล้วต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้น ไล่แทงเดี๋ยวนั้น(ไม่ได้ใช้ G19 เพราะชาวบ้านแยะ)... แม้แต่ตัวละครเองยังต้องได้รับคำยืนยันจากหัวหน้า Intelligence Dep ของจอรห์แดนว่าที่ฆ่าไปน่ะ สมควรแล้ว...
ผู้วิจารณ์หนังทั่วไปจะมองหนังบู๊สนุก ก็คือหนังบู๊แบบแบ่งฝ่ายชัดเจน... แต่คนเล่นปืนจะทราบว่าในเวลานั้นๆ สถานการณ์นั้นๆ มีปืนก็ไม่รู้จะยิงเมื่อไหร่ และยิงใคร นี่คือปัญหาหลักครับ...