เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ธันวาคม 26, 2025, 09:12:36 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ขออนุญาตถามท่านสมาชิกเวปที่เรียนนิติศาสตร์มาหน่อยครับ  (อ่าน 8901 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
werasak
Hero Member
*****

คะแนน 74
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2230



« ตอบ #30 เมื่อ: เมษายน 06, 2009, 12:06:46 PM »

 Smiley......ลองอ่านกระทู้ของผมดูนะครับ ระบบที่อเมริกามันก็ดีครับอยู่ที่ความสามารถ และความชอบของตัวเอง
บางคน "ทำหน้าที่สายตรวจ" จนเกษียณ บางคนไปเป็น "นักสืบ" (ไม่ใช่สายสืบ) มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายมากมาย ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงรัฐบาลกลาง   เพราะระบบที่ต่างกันและพื้นฐานการศึกษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตต่างกัน
             เรื่องตำรวจวุฒิ ป.ตรี ที่เป็นปัญหาในตอนนี้เป็นเพราะพวกนี้ยังไม่ใช่ตำรวจที่แท้จริง หรือเรียกว่าสีกากียังไม่จับ การทำงานของตำรวจเราต้องใช้ การทำงานเป็นทีม+การเสียสละ*ความอดทน เป็นพื้นฐาน และที่สำคัญที่พวกนี้
อาจจะลืมไป ก็คือ ระดับความรับผิดชอบในแต่ละระดับขั้น นายร้อย ย่อมมี"ภาระความรับผิดชอบ" มากกว่า
นายสิบ  นายพันก็มี "ภาระความรับผิดชอบ" มากว่านายร้อย
              เท่าที่อ่านความเห็นของ จขกท. แนะนำลองไปหาหนังสือเกี่ยวกับการบริหารงานองค์กรภาครัฐมาศึกษา
หรือถ้ามีโอกาสลองพูดคุยกับพวกที่จบ ป.โท ทางบริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์ ก็อาจจะได้แนวคิดที่มีมุมมองต่างจากเดิมก็ได้ อย่าไปน้อยใจครับ คิดว่าเราทำหน้าที่ของเราให้ดีก็ใช้ได้ Smiley
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 06, 2009, 12:08:41 PM โดย werasak » บันทึกการเข้า
officerLudlow
Full Member
***

คะแนน 10
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 152



« ตอบ #31 เมื่อ: เมษายน 07, 2009, 12:38:41 AM »

      เห็นว่าในอนาคตจะกระจายการรับสมัครนสต.วุฒิป.ตรี     ไปที่ภูธรภาคต่างๆด้วยใช่ไหมครับ      เเล้วหลักเกณฑ์การสมัครจะมีการดูที่ภูมิลำเนาเเบบเดิมหรือป่าวครับ       หรือสมัครจากที่ไหนมา           ก็ไม่เกี่ยวกับการเลือกที่ลงตอนเลือกตำเเหน่ง   เเล้วเขาอบรมกันนานเท่าไรครับ1ปีเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ
บันทึกการเข้า

เชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ เชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว
           แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว

      คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก
 
ความสำเร็จเป็นของทุกคน...ขอแค่อย่ายอมแพ้
มะขิ่น
Hero Member
*****

คะแนน 2453
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17813


"ทหารแก่ไม่มีวันตาย แต่จะค่อยๆเลือนหายไป"


« ตอบ #32 เมื่อ: เมษายน 07, 2009, 07:49:01 AM »



                 เเต่ผมกลับไม่เห็นด้วยเลยครับ      ผมคิดว่าเป็นการเเก้ปัญหาที่กำปั้นทุบดินมากไปหน่อย        การที่คิดเเค่ว่ารับคนที่จบสูงๆมา     จะได้มีเเต่คนดีเเละเก่งผมว่ามันคนละเรื่องกันเลย     กลายเป็นว่าคนนึงจบป.ตรีจากมหาลัยได้เป็นนายสิบ    อีกคนจบสามพรานวุฒิระดับเดียวกันเเต่ได้เป็นนายร้อย   มันหมายความว่าหลักสูตรป.ตรีจากสามพรานมีคุณภาพกว่าของมหาลัยภายนอกหรือ??      คนอยากเป้นนายร้อยที่บ้านฐานะดีสอบเตรียมทหารติดได้เป็นว่าที่นายร้อยตั้งเเต่อายุ14      มีเงินเดือน   เสื้อผ้าฟรี  อุปกรณ์การเรียนฟรี     คนอยากเป็นนายสิบต้องขวนขวายเรียนเอง(ยากจนไม่มีปัญญาเรียนก็ไม่ต้องมาเป็นตำรวจ)        จนจบป.ตรี       เเล้วถึงจะมีสิทธิมาเป็นลูกน้องคนจบนายร้อยอีกทีเวรกรรมนายสิบบางคนกับเชี่ยวชาญกฏหมายหว่านายร้อยซะอีก    เเต่ต้องเป็นเเค่นายสิบ     เเล้ววุคิดดูว่างานของชั้นประทวนต่างๆ     ให้พวกนายร้อยมานั่งทำเขาจะทำกันไหม     นั่งเฝ้าห้องขัง   พิมพ์ลายนิ้วมือ   ยืนโบกรถตามสี่เเยก   พวกนี่ต้องใช้ความรู้ถึงวุฒิปริญญาตรีหรือ     ค่าเเรงค่าตอบเเทนสวัสดิการคุ้มหรือไม่    เเล้วนักเรียนนายสิบวุฒิปริญญาตรีที่ผ่านมาถือว่ามีคุณภาพหรือไม่    ผมเห้นเเต่พวกอยากเป้นนายร้อย    โดนหลอกขายฝันมาตอนสมัครว่า  สอบมาเป็นนายสิบชั่วคราว    เดี๋ยวมีสอบภายในก็ได้เป็นนายร้อย   วันๆไม่คิดอะไรมากทำงานเเบบถนอมตัว     อะไรเสี่ยงอะไรลำบากไม่ทำ    คิดว่าจบตั้งป.ตรีทำไมต้องมาลำบากเเบบพวกรุ่นพี่วุฒิม.6     วันๆจะรอสอบเป็นนายร้อยอย่างเดียว    ไม่มีความเคารพรุ่นพี่เลย   ถือว่าตัวเองจบมาสูงกว่าฉลาดกว่า    อนาคตนายร้อย  เเล้วงานมันจะไปมีคุณภาพได้ยังไง    นี่หรือคนเเบบที่สตช.ต้องการ     เเล้วคนที่เขาอาจจะตั้งใจเป้นตำรวจจริงๆ    เเต่ฐานะลำบากจบเเค่ม.6กลับไม่มีโอกาศเป็นตำรวจเลย    ผมเห็นตำรวจเยอะเเยะ    จบม.6มาสอบนายสิบ   พอเป็นตำรวจมีการมีงานไม่ลำบากที่บ้าน    เขาก็กระตือรือล้นที่จะขวนขวายเรียนต่อป.ตรี    จนได้เป็นนายร้อย      เเต่ต่อไปคนเหล่านี้จะไม่ได้รับโอกาศได้เป็นตำรวจอีกเเล้ว      โดยวัดคุณค่าของคนเพียงเเค่กระดาษเเผ่นเดียว    ที่บอกว่าผู้บังคับบัญชาหวังดีอะผมถามคำเดียวท่านทำอะไรเคยถามความเห็นลูกน้องบ้างหรือเปล่า   
                      หรือท่านคิดว่าท่านเองเก่งอยู่เเล้วทำอะไรไปก็ต้องถูกเสมอ(ลูกน้องมีหน้าที่เเค่ปฏิ
บัติตาม)     นายพลนายพันประชุมกัน100กว่าคนถือว่าเป็นความเห็นของทั้งสตช.ทั้ง200,000คนใช่หรือไม่     

ขอแสดงความเห็นด้วยคนนะครับ .............. ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มีเส้นทางการเรียนและอาชีพ ตามที่เจ้าของกระทู้กล่าว แต่ออกแนวคล้ายๆกัน

ตามที่อ่านๆมา .............. จะบอกให้เป็นข้อมูลพิจารณาแนวทางในการกำหนดเส้นทาง (ต้องขออภัยไว้ก่อนถ้า"ตรง"เกินไป)

รร.นายร้อยตำรวจ (รร.นรต.) คือสถาบันที่ ตำรวจเขาตั้งมาเพื่อผลิต นายตำรวจ"หลัก" ของ สตช. ซึ่งการหล่อหลอมและเล่าเรียน สตช.เป็นคนกำหนด สำหรับการทำงานใน สตช. ที่สถาบันอื่นไม่ได้หล่อหลอมและเล่าเรียน ตามที่ สตช.กำหนด............... อย่างแรก ถ้าอยากเรียน ต้อง"สอบให้ได้" สอบได้ก็เข้าไป"เรียนให้จบ" ................. ถ้าสอบไม่ได้ ก็ช่วยไม่ได้ และไม่ควรไปวิจารณ์การคัดเลือก การเรียนการสอน และ แนวทางการรับราชการของบุคลากรเหล่านี้ ......................ส่วนใครจบมา ทำตัวดี หรือเลว อย่างไร เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลๆไป .................

ไม่ใช่สอบเข้าไปเรียนไม่ได้ แล้วมากล่าวประชดว่า เรียนฟรี มีอนาคต ............. ถ้าอยากเป็นแบบเขา "ต้องสอบให้ได้" ถ้าสอบไม่ได้ ก็ไปหาทางอื่น .........

ทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือ จบ ป.ตรีแล้วเข้ารับราชการเป็นนายตำรวจสัญญาบัตร .................. ก็สอบเข้าให้ได้ เมื่อเข้าไปแล้ว ก็ทำงานไปตามระบบ จะดี จะเลว อยู่ที่ตัวบุคคล .................... แต่ถ้าจะหวังว่าตัวเองไปเทียบกับ นายร้อยหลัก ก็คิดได้ และต้องทำงานให้ดีกว่า โอกาสก้าวหน้ามีแน่นอน .................... แต่บอกไว้ให้อย่างหนึ่งว่า สตช.เขามีแหล่งผลิต นายตำรวจหลัก ของหน่วยงานอยู่................

งานของนายสิบ ที่กล่าวมา............. ก็ถูกต้องแล้วนี่ครับ เขาจะให้นายร้อยไปทำได้ยังไง  คนที่เป็นนายสิบ มีใครบังคับ ............. สอบบรรจุเป็นพลตำรวจตอนแรกเจ้าตัวเลือกเองไม่ใช่หรือ .................... มีใครไปบังคับว่า สอบนายร้อยไม่ได้ ต้องไปสอบพลตำรวจเท่านั้น ........

ที่กล่าวว่างานนายร้อย นายสิบบางคนทำได้ดีกว่าเสียอีก ................ ก็ใช่ เพราะความเก๋า กับความใส่ใจในหน้าที่การงานที่พัฒนาตัวเองขึ้น .............. เขาถึงกำหนดให้มีการสอบเลื่อนฐานะจากนายตำรวจชั้นประทวน เป็นชั้นสัญญาบัตรไงครับ ................... อยากเลื่อนฐานะก็ต้องมีวุฒิตามที่กำหนด และ"ต้องสอบให้ได้" ........................ไม่เห็นมีอะไรแปลก แต่งานระดับนายพัน หานายสิบยาก ที่จะทำงานระดับนี้ได้ ............ ถ้าไม่ผ่านงานระดับนายร้อยมาก่อน ...........

ทั้งนายสิบ และนายร้อยบางคน ใน"ภาพรวม" เวลาเกเร เกตุง .............. เห็น"ดับ"ทุกราย ไม่ก้าวหน้ากันสักคน ............. ถ้าทำงานดี ก็เห็น"ได้ดี"กันทุกคน ................

สตช.เป็นหน่วยงานที่"มีสายการบังคับบัญชา" เช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นๆของรัฐ แม้แต่บริษัท ก็มีสายการบังคับบัญชา .................การที่กล่าวว่า "นายพลนายพันประชุมกัน100กว่าคนถือว่าเป็นความเห็นของทั้งสตช.ทั้ง200,000คนใช่หรือไม่     " นั้น ............. ถ้าตอบตรงๆตามหลักการ"บังคับบัญชา" ก็ถือว่าใช่ เพราะว่าเป็นผู้รับผิดและรับชอบ ในการกระทำหรือตกลงใจทั้งสิ้น เป็นขอบเขตอำนาจหน้าที่ ตามที่ กฎหมายกำหนด ..................ถ้าเอาคนสามแสนกว่าคนใน สตช. มากระทำหรือตกลงใจพร้อมๆกัน คงพิลึก................ บริษัทเอกชน มีใครเขาให้พนักงานเป็นพันเป็นหมื่นคนมาตกลงใจในเรื่องกิจการบ้าง................เขามี Boss กันทั้งนั้น

ตราบใดที่เข้ามาอยู่ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นของรัฐ หรือเอกชน ................ ต้องดำเนินวิถีทางการทำงานไปตามระบบ .............ถ้าอยากจะตัดสินใจเอง ทำเอง ........... ก็ต้องเป็นเจ้าของกิจการเอง แบบหลงจู๊..............

การทำงานในองค์กรต่างๆนั้น .................ไม่เหมือนกับการเรียนหนังสือหรอกครับ

เรียนหนังสือ รับผิดชอบแค่ตัวเอง ............. เป็นไอดีลล้วนๆ ตามหลักวิชาการ ตามประสบการณืของผู้สอนที่จะถ่ายทอดให้ฟัง ให้คิด แต่ยังไม่ได้เจอกับตัว ...............

ทำงานเจอทั้งลูกน้องเจอทั้งนาย ................. ซ้ำยังต้องรับผิดชอบงานในหน้าที่ ไหนจะต้องกันตัวเองไม่ให้เข้าไปอยู่ในวังวนความชั่วร้าย  ................. ไหนจะระวังไม่ให้ไปขัดขาใคร ................... ไหนจะต้องพัฒนาตนเอง บุคลากร รวมถึงหน่วยงาน(ถ้าสำนึก) ............... ไหนจะต้องอึดอัดใจ ท้อใจ ลำบากใจ ในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกแต่นโยบายเบื้องสูงไม่ทำ ตามที่เราคิด .................. ไหนจะระวังตัวว่า ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้นาย ให้หน่วยงานเห็น แต่ต้องไม่เชื่อมั่นขนาด"ดื้อ" (เราคิดว่าเจ๋ง แต่คนอื่นว่าไอ้บ้านี่ดื้อ)....................... ฯลฯ

เลือกทางเองครับ ................ คนเรามีทางเลือกไม่มากนัก บางคนอาจจะแค่ทางเดียว (ถ้าไม่เปลี่ยนวิถีชีวิตกลางคัน) ...............

สอบเข้าไม่ได้ ก็อย่าบ่น .............. เลือกทางใหม่เอา ถ้าทุกคนเลือกได้ตามที่ใจนึก ทำตามที่ตนเองต้องการได้เสียทั้งหมด โลกใบนี้คงแปลกๆ

 Cheesy
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 07, 2009, 07:50:54 AM โดย มะขิ่น » บันทึกการเข้า

อย่าดึงฟ้าต่ำ  อย่าทำหินแตก  อย่าแยกแผ่นดิน
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #33 เมื่อ: เมษายน 07, 2009, 08:08:27 AM »



                 เเต่ผมกลับไม่เห็นด้วยเลยครับ      ผมคิดว่าเป็นการเเก้ปัญหาที่กำปั้นทุบดินมากไปหน่อย        การที่คิดเเค่ว่ารับคนที่จบสูงๆมา     จะได้มีเเต่คนดีเเละเก่งผมว่ามันคนละเรื่องกันเลย     กลายเป็นว่าคนนึงจบป.ตรีจากมหาลัยได้เป็นนายสิบ    อีกคนจบสามพรานวุฒิระดับเดียวกันเเต่ได้เป็นนายร้อย   มันหมายความว่าหลักสูตรป.ตรีจากสามพรานมีคุณภาพกว่าของมหาลัยภายนอกหรือ??      คนอยากเป้นนายร้อยที่บ้านฐานะดีสอบเตรียมทหารติดได้เป็นว่าที่นายร้อยตั้งเเต่อายุ14      มีเงินเดือน   เสื้อผ้าฟรี  อุปกรณ์การเรียนฟรี     คนอยากเป็นนายสิบต้องขวนขวายเรียนเอง(ยากจนไม่มีปัญญาเรียนก็ไม่ต้องมาเป็นตำรวจ)        จนจบป.ตรี       เเล้วถึงจะมีสิทธิมาเป็นลูกน้องคนจบนายร้อยอีกทีเวรกรรมนายสิบบางคนกับเชี่ยวชาญกฏหมายหว่านายร้อยซะอีก    เเต่ต้องเป็นเเค่นายสิบ     เเล้ววุคิดดูว่างานของชั้นประทวนต่างๆ     ให้พวกนายร้อยมานั่งทำเขาจะทำกันไหม     นั่งเฝ้าห้องขัง   พิมพ์ลายนิ้วมือ   ยืนโบกรถตามสี่เเยก   พวกนี่ต้องใช้ความรู้ถึงวุฒิปริญญาตรีหรือ     ค่าเเรงค่าตอบเเทนสวัสดิการคุ้มหรือไม่    เเล้วนักเรียนนายสิบวุฒิปริญญาตรีที่ผ่านมาถือว่ามีคุณภาพหรือไม่    ผมเห้นเเต่พวกอยากเป้นนายร้อย    โดนหลอกขายฝันมาตอนสมัครว่า  สอบมาเป็นนายสิบชั่วคราว    เดี๋ยวมีสอบภายในก็ได้เป็นนายร้อย   วันๆไม่คิดอะไรมากทำงานเเบบถนอมตัว     อะไรเสี่ยงอะไรลำบากไม่ทำ    คิดว่าจบตั้งป.ตรีทำไมต้องมาลำบากเเบบพวกรุ่นพี่วุฒิม.6     วันๆจะรอสอบเป็นนายร้อยอย่างเดียว    ไม่มีความเคารพรุ่นพี่เลย   ถือว่าตัวเองจบมาสูงกว่าฉลาดกว่า    อนาคตนายร้อย  เเล้วงานมันจะไปมีคุณภาพได้ยังไง    นี่หรือคนเเบบที่สตช.ต้องการ     เเล้วคนที่เขาอาจจะตั้งใจเป้นตำรวจจริงๆ    เเต่ฐานะลำบากจบเเค่ม.6กลับไม่มีโอกาศเป็นตำรวจเลย    ผมเห็นตำรวจเยอะเเยะ    จบม.6มาสอบนายสิบ   พอเป็นตำรวจมีการมีงานไม่ลำบากที่บ้าน    เขาก็กระตือรือล้นที่จะขวนขวายเรียนต่อป.ตรี    จนได้เป็นนายร้อย      เเต่ต่อไปคนเหล่านี้จะไม่ได้รับโอกาศได้เป็นตำรวจอีกเเล้ว      โดยวัดคุณค่าของคนเพียงเเค่กระดาษเเผ่นเดียว    ที่บอกว่าผู้บังคับบัญชาหวังดีอะผมถามคำเดียวท่านทำอะไรเคยถามความเห็นลูกน้องบ้างหรือเปล่า   
                      หรือท่านคิดว่าท่านเองเก่งอยู่เเล้วทำอะไรไปก็ต้องถูกเสมอ(ลูกน้องมีหน้าที่เเค่ปฏิ
บัติตาม)     นายพลนายพันประชุมกัน100กว่าคนถือว่าเป็นความเห็นของทั้งสตช.ทั้ง200,000คนใช่หรือไม่     

ขอแสดงความเห็นด้วยคนนะครับ .............. ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มีเส้นทางการเรียนและอาชีพ ตามที่เจ้าของกระทู้กล่าว แต่ออกแนวคล้ายๆกัน

ตามที่อ่านๆมา .............. จะบอกให้เป็นข้อมูลพิจารณาแนวทางในการกำหนดเส้นทาง (ต้องขออภัยไว้ก่อนถ้า"ตรง"เกินไป)

รร.นายร้อยตำรวจ (รร.นรต.) คือสถาบันที่ ตำรวจเขาตั้งมาเพื่อผลิต นายตำรวจ"หลัก" ของ สตช. ซึ่งการหล่อหลอมและเล่าเรียน สตช.เป็นคนกำหนด สำหรับการทำงานใน สตช. ที่สถาบันอื่นไม่ได้หล่อหลอมและเล่าเรียน ตามที่ สตช.กำหนด............... อย่างแรก ถ้าอยากเรียน ต้อง"สอบให้ได้" สอบได้ก็เข้าไป"เรียนให้จบ" ................. ถ้าสอบไม่ได้ ก็ช่วยไม่ได้ และไม่ควรไปวิจารณ์การคัดเลือก การเรียนการสอน และ แนวทางการรับราชการของบุคลากรเหล่านี้ ......................ส่วนใครจบมา ทำตัวดี หรือเลว อย่างไร เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลๆไป .................

ไม่ใช่สอบเข้าไปเรียนไม่ได้ แล้วมากล่าวประชดว่า เรียนฟรี มีอนาคต ............. ถ้าอยากเป็นแบบเขา "ต้องสอบให้ได้" ถ้าสอบไม่ได้ ก็ไปหาทางอื่น .........

ทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือ จบ ป.ตรีแล้วเข้ารับราชการเป็นนายตำรวจสัญญาบัตร .................. ก็สอบเข้าให้ได้ เมื่อเข้าไปแล้ว ก็ทำงานไปตามระบบ จะดี จะเลว อยู่ที่ตัวบุคคล .................... แต่ถ้าจะหวังว่าตัวเองไปเทียบกับ นายร้อยหลัก ก็คิดได้ และต้องทำงานให้ดีกว่า โอกาสก้าวหน้ามีแน่นอน .................... แต่บอกไว้ให้อย่างหนึ่งว่า สตช.เขามีแหล่งผลิต นายตำรวจหลัก ของหน่วยงานอยู่................

งานของนายสิบ ที่กล่าวมา............. ก็ถูกต้องแล้วนี่ครับ เขาจะให้นายร้อยไปทำได้ยังไง  คนที่เป็นนายสิบ มีใครบังคับ ............. สอบบรรจุเป็นพลตำรวจตอนแรกเจ้าตัวเลือกเองไม่ใช่หรือ .................... มีใครไปบังคับว่า สอบนายร้อยไม่ได้ ต้องไปสอบพลตำรวจเท่านั้น ........

ที่กล่าวว่างานนายร้อย นายสิบบางคนทำได้ดีกว่าเสียอีก ................ ก็ใช่ เพราะความเก๋า กับความใส่ใจในหน้าที่การงานที่พัฒนาตัวเองขึ้น .............. เขาถึงกำหนดให้มีการสอบเลื่อนฐานะจากนายตำรวจชั้นประทวน เป็นชั้นสัญญาบัตรไงครับ ................... อยากเลื่อนฐานะก็ต้องมีวุฒิตามที่กำหนด และ"ต้องสอบให้ได้" ........................ไม่เห็นมีอะไรแปลก แต่งานระดับนายพัน หานายสิบยาก ที่จะทำงานระดับนี้ได้ ............ ถ้าไม่ผ่านงานระดับนายร้อยมาก่อน ...........

ทั้งนายสิบ และนายร้อยบางคน ใน"ภาพรวม" เวลาเกเร เกตุง .............. เห็น"ดับ"ทุกราย ไม่ก้าวหน้ากันสักคน ............. ถ้าทำงานดี ก็เห็น"ได้ดี"กันทุกคน ................

สตช.เป็นหน่วยงานที่"มีสายการบังคับบัญชา" เช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นๆของรัฐ แม้แต่บริษัท ก็มีสายการบังคับบัญชา .................การที่กล่าวว่า "นายพลนายพันประชุมกัน100กว่าคนถือว่าเป็นความเห็นของทั้งสตช.ทั้ง200,000คนใช่หรือไม่     " นั้น ............. ถ้าตอบตรงๆตามหลักการ"บังคับบัญชา" ก็ถือว่าใช่ เพราะว่าเป็นผู้รับผิดและรับชอบ ในการกระทำหรือตกลงใจทั้งสิ้น เป็นขอบเขตอำนาจหน้าที่ ตามที่ กฎหมายกำหนด ..................ถ้าเอาคนสามแสนกว่าคนใน สตช. มากระทำหรือตกลงใจพร้อมๆกัน คงพิลึก................ บริษัทเอกชน มีใครเขาให้พนักงานเป็นพันเป็นหมื่นคนมาตกลงใจในเรื่องกิจการบ้าง................เขามี Boss กันทั้งนั้น

ตราบใดที่เข้ามาอยู่ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นของรัฐ หรือเอกชน ................ ต้องดำเนินวิถีทางการทำงานไปตามระบบ .............ถ้าอยากจะตัดสินใจเอง ทำเอง ........... ก็ต้องเป็นเจ้าของกิจการเอง แบบหลงจู๊..............

การทำงานในองค์กรต่างๆนั้น .................ไม่เหมือนกับการเรียนหนังสือหรอกครับ

เรียนหนังสือ รับผิดชอบแค่ตัวเอง ............. เป็นไอดีลล้วนๆ ตามหลักวิชาการ ตามประสบการณืของผู้สอนที่จะถ่ายทอดให้ฟัง ให้คิด แต่ยังไม่ได้เจอกับตัว ...............

ทำงานเจอทั้งลูกน้องเจอทั้งนาย ................. ซ้ำยังต้องรับผิดชอบงานในหน้าที่ ไหนจะต้องกันตัวเองไม่ให้เข้าไปอยู่ในวังวนความชั่วร้าย  ................. ไหนจะระวังไม่ให้ไปขัดขาใคร ................... ไหนจะต้องพัฒนาตนเอง บุคลากร รวมถึงหน่วยงาน(ถ้าสำนึก) ............... ไหนจะต้องอึดอัดใจ ท้อใจ ลำบากใจ ในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกแต่นโยบายเบื้องสูงไม่ทำ ตามที่เราคิด .................. ไหนจะระวังตัวว่า ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้นาย ให้หน่วยงานเห็น แต่ต้องไม่เชื่อมั่นขนาด"ดื้อ" (เราคิดว่าเจ๋ง แต่คนอื่นว่าไอ้บ้านี่ดื้อ)....................... ฯลฯ

เลือกทางเองครับ ................ คนเรามีทางเลือกไม่มากนัก บางคนอาจจะแค่ทางเดียว (ถ้าไม่เปลี่ยนวิถีชีวิตกลางคัน) ...............

สอบเข้าไม่ได้ ก็อย่าบ่น .............. เลือกทางใหม่เอา ถ้าทุกคนเลือกได้ตามที่ใจนึก ทำตามที่ตนเองต้องการได้เสียทั้งหมด โลกใบนี้คงแปลกๆ

 Cheesy


เสธฯ ฮธิบายไว้. ดี ครับ  เยี่ยม 
บันทึกการเข้า

werasak
Hero Member
*****

คะแนน 74
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2230



« ตอบ #34 เมื่อ: เมษายน 07, 2009, 09:19:14 AM »

เท่าที่ทราบเบื้องต้น ทาง ตร. มีนโยบายให้ ระดับชั้นประทวนอยู่ในเขตภูมิลำเนาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา กำลังพลขอย้ายและทำให้กำลังพลขาดแคลน แต่ไม่ตัดสิทธิในการสมัครสอบในแต่ละภาค เช่น
นาย ก มีบ้านอยู่ที่อ่างทอง นาย ก ก็ไปสมัครสอบที่ ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค ๑เมื่อเป็นตำรวจก็ต้องไปอยู่ที่อ่างทองหรือภายในเขตภูธรภาค ๑ แต่นาย ก จะไปสมัครสอบที่ ศูนย์ฝึกอบรมภาค ๒ ก็ได้ แต่ถ้าสอบได้เป็นตำรวจอาจจะต้องอยู่ทำงานภายในภาค ๒ 5 ปี 9 ปี แล้วแต่นโยบาย
บันทึกการเข้า
มะขิ่น
Hero Member
*****

คะแนน 2453
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17813


"ทหารแก่ไม่มีวันตาย แต่จะค่อยๆเลือนหายไป"


« ตอบ #35 เมื่อ: เมษายน 07, 2009, 09:44:01 AM »

เสริมอีกนิดหนึ่งครับ ..................

ลายเซ็นต์ของคุณ officerLudlow ที่เขียนไว้ตามนี้  "ใช้วุฒิป.ตรีรับนสต.เเน่จริงใช้วุฒิป.เอกคัดนายพลดิ"

ผมอ่านแล้วเข้าใจความหมายพอสมควรเลย  คิก คิก ....................

เด็กรุ่นใหม่ จบใหม่ๆ คิดแบบนี้เยอะ .................. ว่าตัวเองจบปริญญาสูงๆ ทำไมต้องมาเป็นลูกน้อง คนจบ ป.ตรี .............. เคยมีคำพูดของคนทำงานระดับกลางๆ พูดว่า "กรูก็จบ ป.โท ทำไมต้องมาฟังหัวหน้าที่แม่งจบ ป.ตรี วะ กรูเรียนสูงกว่า จบสูงกว่าแม่งอีก" ............... ปัจจุบันเจ้าหน้าที่คนนี้อยู่ในพวกกำลังพลเสื่อม เพราะความถือดี ................ ว่าตัวเองเรียนสูง เลยพาลไม่ฟังผู้บังคับบัญชาตามสายงาน ทำงานก็ไม่ได้รับความร่วมมือ แถมถูกแอนตี้อีก งานการเลยล้มเหลว ..............ผลคือ เป็นคนกระด้างกระเดื่อง มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อหน่วยงานและเพื่อนร่วมงาน ................. ดับ เรียบร้อย เพราะเวลาจะมีการเสนอบำเหน็จหรือเลื่อนตำแหน่งใดๆ ................. เจ้าหน้าที่คนนี้ ถูกคัดชื่อออกเสมอ  สาเหตุคือ กระด้างกระเดื่อง ยะโส โอหัง และปากหมา (จบ ป.โท นึกว่าแน่หรือไง)............

นายพลที่คุณกล่าว .............. ถ้าบอกตามวิถีทางการรับราชการ แน่นอนย่อมต้องใช้วุฒิ ป.ตรีในการเข้าทำงาน ................. แต่กว่าจะดำรงตำแหน่งและมีชั้นยศนี้ได้ ................. การทำงาน การฝ่าฟันความยากลำบาก มีมากมาย ที่จะต้องไต่ระดับขึ้นมาได้ขนาดนี้ ตั้งแต่ระดับผู้ปฎิบัติงานเด็กๆ จนขึ้นมาอยู่ระดับผู้บริหารได้  ........................... การขึ้นสู่ตำแหน่งระดับการบังคับบัญชาระดับสูงๆ ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ  ไม่ใช่จบมาแล้วเป็น Boss ใหญ่เลย (ถ้าเป็นบริษัทที่พ่อเป็นเจ้าของ ก็ว่าไปอย่าง)..............ต้องประกอบไปด้วย อุปนิสัย การทำงาน การยอมรับ และที่สำคัญที่สุดคือ "สภาวะความเป็นผู้นำ" ....................

ซึ่งบางคน(เป็นส่วนใหญ่ด้วย) ที่ไปหรือขึ้นไม่ถึง ต่อให้จบ ป.เอกสัก 10 ใบด้วย ................... จบด๊อกเตอร์มา แต่หยิ่งยะโส โอหัง พองขน ใครพูดกรูไม่ฟังใคร เพราะกรูเก่ง จบด๊อกฯ ....................... ผมเห็นอยู่คนเดียวในโลกของตัวเองเสียส่วนใหญ่ ไม่มีใครคบ เพราะดูถูกคนอื่นเขาไปหมด ...................... ทำงานร่วมกับใครก็ไม่ได้ เพราะดูถูกเพื่อนร่วมงาน และเพื่อนร่วมงานรังเกียจเอาเสียอีก ........... ไปๆมาๆ จบ ป.เอก แต่ทำงานง่ายๆตามที่ได้รับมอบ ไม่สำเร็จ เพราะความยะโสโอหัง ..................... ดับ ครับ ไม่รุ่งแน่นอน (บางครั้ง บางที คนขยันๆ ยังไม่รุ่งเลย คนยะโสโอหังจะรุ่งได้อย่างไร)..........................

คนที่จะเป็น"ผู้นำ"ได้ ................ ต้องเป็น"ผู้ตาม"ที่ดีมาก่อน ...............ตามระบบสายการบังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นๆ

ปล. สำหรับสถาบันของเหล่าทัพและตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นนายร้อยหรือนายสิบ ............... อย่างหนึ่งที่เขา"ต้องสอน"และ"ต้องหล่อหลอม"ให้คนที่เรียนได้รับรู้และ"ซึมซับ" คือ "สภาวะความเป็นผู้นำ" และ"หลักการบังคับบัญชา" ครับ  เยี่ยม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 07, 2009, 09:47:04 AM โดย มะขิ่น » บันทึกการเข้า

อย่าดึงฟ้าต่ำ  อย่าทำหินแตก  อย่าแยกแผ่นดิน
บ่าวอู๋
เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย...!
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 294
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3466


« ตอบ #36 เมื่อ: เมษายน 07, 2009, 10:19:20 AM »

ขออนุญาต จขกท. ครับ


เรียนถามพี่สมาชิกผู้รู้ 


เรื่องมีอยู่ว่า  มีคนเล่นการพนันกันแล้วพูดเสียดสีกันนี้แหละครับ...  คนที่โดนว่าก็เลยโกรธ เลยจะเอาปืนมายิง  ปืนที่ใช้เป็นปืนแก็ปครับ คนที่ปืนพูดขึ้นว่า  " ใหนคนไหนว่าให้กรู... ออกมา.." พร้อมกับยกปืนเตรียมจะยิง

เลยอยากจะถามว่า
 
1. คนที่จะยิงมีผิดมั้ย
2. ถ้าแจ้งตำรวจคนที่เล่นการพนันจะมีความผิดเกี่ยวกับการพนันรึเปล่าครับ

ปล. คนที่จะยิงยังเด็กอยู่เลยครับ อายุยังประมาณ 18 ปี
 
ขอบคุณครับ  ไหว้
บันทึกการเข้า

SingCring
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #37 เมื่อ: เมษายน 07, 2009, 03:04:39 PM »

ขออนุญาต จขกท. ครับ


เรียนถามพี่สมาชิกผู้รู้ 


เรื่องมีอยู่ว่า  มีคนเล่นการพนันกันแล้วพูดเสียดสีกันนี้แหละครับ...  คนที่โดนว่าก็เลยโกรธ เลยจะเอาปืนมายิง  ปืนที่ใช้เป็นปืนแก็ปครับ คนที่ปืนพูดขึ้นว่า  " ใหนคนไหนว่าให้กรู... ออกมา.." พร้อมกับยกปืนเตรียมจะยิง

เลยอยากจะถามว่า
 
1. คนที่จะยิงมีผิดมั้ย
2. ถ้าแจ้งตำรวจคนที่เล่นการพนันจะมีความผิดเกี่ยวกับการพนันรึเปล่าครับ

ปล. คนที่จะยิงยังเด็กอยู่เลยครับ อายุยังประมาณ 18 ปี
 
ขอบคุณครับ  ไหว้


ข้อเท็จจริงตอนยกอาวุธปืนแก๊ป เตรียมจะยิงนั้นยังไม่สามารถระบุได้ว่า เด็กชายผู้นั้นมีความผิดฐานใด
- ขณะเรียกให้ออกมา มีคนออกมาหรือไม่
- อานุภาพและความร้ายแรงของปืนแก๊บนั้นว่าสามารถทำอันตรายได้ขนาดไหน อย่างไร
- หากมีคนออกมาตามคำเรียก เด็กชายใจร้อนผู้นั้น ยิงหรือไม่ ถ้ายิง ยิงถูกหรือไม่

ซึ่งสามารถระบุฐานความผิดได้หลายฐาน ฆ่า พยายามฆ่า เจตนาทำร้าย พยามยามทำร้าย เสรีภาพ หรือทำให้ตกใจกลัว ซึ่งต้องแล้วแต่ข้อเท็จจริงครับ
และถ้าอาวุธปืนแก๊บนั้น พนักงานสอบสวนทำการส่งตรวจแล้วเห็นว่า เป็นอาวุธปืน ตาม พรบ อาวุธ ปืน แล้ว ยังไงก็มีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ด้วยครับ

ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน เป็นความผิดที่ผู้เล่นในวงได้กระทำสำเร็จครบองค์ประกอบความผิดไปแล้ว ซึ่งแยกออกจากกันได้ไม่เกี่ยวกับคดีใช้ปืนแก๊ปจะยิง ผู้เล่นพนันจึงผิดแน่นอน ส่งผลให้พนักงานสอบสวนสามารถสอบสวนความผิดเกี่ยวกับการพนันนั้นได้

แต่เท่าที่เคยเจอมา หากแจ้งเรื่องมีเหตุจะยิงกัน พนักงานสอบสวนมักจะสอบสวนสาเหตุของเรื่องที่จะยิงกันเท่านั้น ว่าทำอะไรอยู่ เหตุใดผู้ต้องหาจึงนำอาวุธมาจะยิง แต่จะไม่สอบสวนคดีเกี่ยวกับการพนันและดำเนินคดีกับผู้เล่นพนันก่อนมีเหตุยิง เพราะความยุ่งยากในการสอบสวน เนื่องจากไม่พบการกระทำผิดซึ่งหน้า ของกลางก็ไม่มี และหากพนักงานสอบสวนไปถามภายหลัง คงไม่มีใครรับว่าเล่นการพนันครับ   Grin
บันทึกการเข้า
officerLudlow
Full Member
***

คะแนน 10
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 152



« ตอบ #38 เมื่อ: เมษายน 08, 2009, 12:48:25 AM »

เสริมอีกนิดหนึ่งครับ ..................

ลายเซ็นต์ของคุณ officerLudlow ที่เขียนไว้ตามนี้  "ใช้วุฒิป.ตรีรับนสต.เเน่จริงใช้วุฒิป.เอกคัดนายพลดิ"

ผมอ่านแล้วเข้าใจความหมายพอสมควรเลย  คิก คิก ....................

เด็กรุ่นใหม่ จบใหม่ๆ คิดแบบนี้เยอะ .................. ว่าตัวเองจบปริญญาสูงๆ ทำไมต้องมาเป็นลูกน้อง คนจบ ป.ตรี .............. เคยมีคำพูดของคนทำงานระดับกลางๆ พูดว่า "กรูก็จบ ป.โท ทำไมต้องมาฟังหัวหน้าที่แม่งจบ ป.ตรี วะ กรูเรียนสูงกว่า จบสูงกว่าแม่งอีก" ............... ปัจจุบันเจ้าหน้าที่คนนี้อยู่ในพวกกำลังพลเสื่อม เพราะความถือดี ................ ว่าตัวเองเรียนสูง เลยพาลไม่ฟังผู้บังคับบัญชาตามสายงาน ทำงานก็ไม่ได้รับความร่วมมือ แถมถูกแอนตี้อีก งานการเลยล้มเหลว ..............ผลคือ เป็นคนกระด้างกระเดื่อง มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อหน่วยงานและเพื่อนร่วมงาน ................. ดับ เรียบร้อย เพราะเวลาจะมีการเสนอบำเหน็จหรือเลื่อนตำแหน่งใดๆ ................. เจ้าหน้าที่คนนี้ ถูกคัดชื่อออกเสมอ  สาเหตุคือ กระด้างกระเดื่อง ยะโส โอหัง และปากหมา (จบ ป.โท นึกว่าแน่หรือไง)............

นายพลที่คุณกล่าว .............. ถ้าบอกตามวิถีทางการรับราชการ แน่นอนย่อมต้องใช้วุฒิ ป.ตรีในการเข้าทำงาน ................. แต่กว่าจะดำรงตำแหน่งและมีชั้นยศนี้ได้ ................. การทำงาน การฝ่าฟันความยากลำบาก มีมากมาย ที่จะต้องไต่ระดับขึ้นมาได้ขนาดนี้ ตั้งแต่ระดับผู้ปฎิบัติงานเด็กๆ จนขึ้นมาอยู่ระดับผู้บริหารได้  ........................... การขึ้นสู่ตำแหน่งระดับการบังคับบัญชาระดับสูงๆ ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ  ไม่ใช่จบมาแล้วเป็น Boss ใหญ่เลย (ถ้าเป็นบริษัทที่พ่อเป็นเจ้าของ ก็ว่าไปอย่าง)..............ต้องประกอบไปด้วย อุปนิสัย การทำงาน การยอมรับ และที่สำคัญที่สุดคือ "สภาวะความเป็นผู้นำ" ....................

ซึ่งบางคน(เป็นส่วนใหญ่ด้วย) ที่ไปหรือขึ้นไม่ถึง ต่อให้จบ ป.เอกสัก 10 ใบด้วย ................... จบด๊อกเตอร์มา แต่หยิ่งยะโส โอหัง พองขน ใครพูดกรูไม่ฟังใคร เพราะกรูเก่ง จบด๊อกฯ ....................... ผมเห็นอยู่คนเดียวในโลกของตัวเองเสียส่วนใหญ่ ไม่มีใครคบ เพราะดูถูกคนอื่นเขาไปหมด ...................... ทำงานร่วมกับใครก็ไม่ได้ เพราะดูถูกเพื่อนร่วมงาน และเพื่อนร่วมงานรังเกียจเอาเสียอีก ........... ไปๆมาๆ จบ ป.เอก แต่ทำงานง่ายๆตามที่ได้รับมอบ ไม่สำเร็จ เพราะความยะโสโอหัง ..................... ดับ ครับ ไม่รุ่งแน่นอน (บางครั้ง บางที คนขยันๆ ยังไม่รุ่งเลย คนยะโสโอหังจะรุ่งได้อย่างไร)..........................

คนที่จะเป็น"ผู้นำ"ได้ ................ ต้องเป็น"ผู้ตาม"ที่ดีมาก่อน ...............ตามระบบสายการบังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นๆ

ปล. สำหรับสถาบันของเหล่าทัพและตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นนายร้อยหรือนายสิบ ............... อย่างหนึ่งที่เขา"ต้องสอน"และ"ต้องหล่อหลอม"ให้คนที่เรียนได้รับรู้และ"ซึมซับ" คือ "สภาวะความเป็นผู้นำ" และ"หลักการบังคับบัญชา" ครับ  เยี่ยม




                    ครับผม  ยินดีรับฟังคำชี้เเนะครับผม     คืออันที่จริงผมไม่ได้มีเเนวความคิดที่ว่าจบสูงกว่าเเล้วจะต้องเก๋ากว่าหรอกครับ        ความหมายของลายเซ็นผมก็คือ      การที่จะเป็นนายพลนั้นสิ่งสำคัญมันก็อยู่ที่ผลงานที่ผ่านมา  การประเมินจากผู้บังคับบัญชา     ความขยันขันเเข็งความดีต่างๆ(อย่างที่คุณมะขิ่นว่านั้นผมเห้นด้วยครับ)   โดยที่มองถึงวุฒิป.เอกป.โทเป็นเรื่องรองลงไป(ให้เป็นความได้เปรียบส่วนบุคคล)   ไม่มีป.โทป.เอกก็ได้     ก็เป็นนายพลได้         ถ้าความรู้ความสามารถเเละความดีถึงขั้นเหมาะสมที่จะเป็นนายพล      เเต่การพิจารณารับนายสิบกับให้ความสำคัญกับใบปริญญามากเป็นอันดับ1     เรื่องอื่นค่อยว่ากัน(มันจึงทำให้เกิดพวกจบมาไม่รู้จะทำอะไรมาสอบตำรวจละกัน)    ซื้งผมคิดว่ามันจำกัดสิทธิกันเกินไป      ผมสัญชาติไทยโดยกำเนิด    เเละประเทศไทยก็มีสตช.เเห่งเดียวถ้าจะเป็นตำรวจ   ก็ต้องทำงานที่สตช.      ในขณะที่ถ้าอยากเป็นพ่อครัว    ผมจะไปเป็นพ่อครัวที่โรงเเรมไหนก็ได้มีเป็นร้อยเป็นพัน    เเล้วจะให้ผมไปสมัครสอบที่สตช.ประเทศอื่นเขาก็คงจะไม่รับ    ผมจึงเห็นว่าสตช.จะทำอะไรควรคำนึงถึงคนทั้งประเทศ    ไม่ใช้เเค่คนในสตช.เอง   เพราะมันส่งพลกระทบถึงคนไทยทั้งหมด
                   ส่วนที่บอกว่าก็ให้ไปสมัครนายสิบทหารบก  หรือจ่าทหารเรือเเทนทหารบกก็คือทหารบก  ตำรวจก็คือตำรวจ   มันคนละองค์กรกัน    ถ้าเปรียบทหารบกเป็นคน    ทหารบกก็คงจะบอกว่าอยากได้คนที่ตั้งใจจะเป็นทหารบกชืนชอบงานเเบบทหารบก    ไม่ใช้อยากได้พวกที่ผิดหวังจากตำรวจเเล้วจึงคิดจะมาเป็นทหารบก      ส่วนเรื่องโรงเรีนนายร้อยผมไม่ขอพูดถึงเพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้       ผมเห็นด้วยอยู่เเล้วว่าการสอบคัดเลือกนักเรียนนายร้อยมันก็เหมาะสมอยู่เเล้ว     ถ้าเข้าใจความหมายที่ผมพูด ก็จะเข้าใจว่าผมไม่ได้ประชดอะไรเลย 
                      ทั้งหมดที่ผมพิมพ์มาเป็นเเค่ความเห็นส่วนบุคคลนะครับ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)       ไม่ได้มีข้อมูลอ้างอิงอะไร         ผมพูดเพราะผมรู้สึกเสียดายโอกาสที่มันน้อยลงเท่านั้นเอง     เเละเผอิญมาเจอคุณWERASAKซึ่งมีข้อมูลเรื่องนี้      ผมก็เลยเเสดงเหตุผลทีไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้      เพราะจะได้รับฟังข้อมูลอีกด้านจากคุณWERASAKเท่านั้นเองครับ      ไม่ได้มีอารมณ์โกรธเกลียดอะไร     เเละยิ่งไม่ได้มีเจตตาจะว่าร้ายใครหรือหน่วยงานใดๆทั้งสิ้น         หากทำให้ผู้ใดรู้สึกไม่สบายใจต้องขอโทษด้วยครับ      เเละก็ไม่ได้ยึดติดว่าตัวผมเองเท่านั้นที่ถูกต้อง       คนเราร้อยพ่อพันเเม่ต่างที่มาต่างคุณวุฒิ    ย่อมมีความิดเห็นที่ต่างกันออกไป     ผมไม่คิดเลยว่าเเค่คุยเรื่องสอบนสต.เเล้ว    บรรยากาศกระทู้มันจะเครียดขนาดนี้      เลยกลายเป็นผิดประเด็นจากหัวกระทู้ไปเลย   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 10, 2009, 03:11:29 AM โดย officerLudlow » บันทึกการเข้า

เชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ เชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว
           แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว

      คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก
 
ความสำเร็จเป็นของทุกคน...ขอแค่อย่ายอมแพ้
มะขิ่น
Hero Member
*****

คะแนน 2453
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17813


"ทหารแก่ไม่มีวันตาย แต่จะค่อยๆเลือนหายไป"


« ตอบ #39 เมื่อ: เมษายน 08, 2009, 07:15:33 AM »


                    ครับผม  ยินดีรับฟังคำชี้เเนะครับผม     คืออันที่จริงผมไม่ได้มีเเนวความคิดที่ว่าจบสูงกว่าเเล้วจะต้องเก๋ากว่าหรอกครับ        ความหมายของลายเซ็นผมก็คือ      การที่จะเป็นนายพลนั้นสิ่งสำคัญมันก็อยู่ที่ผลงานที่ผ่านมา  การประเมินจากผู้บังคับบัญชา     ความขยันขันเเข็งความดีต่างๆ(อย่างที่คุณมะขิ่นว่านั้นผมเห้นด้วยครับ)   โดยที่มองถึงวุฒิป.เอกป.โทเป็นเรื่องรองลงไป(ให้เป็นความได้เปรียบส่วนบุคคล)   ไม่มีป.โทป.เอกก็ได้     ก็เป็นนายพลได้         ถ้าความรู้ความสามารถเเละความดีถึงขั้นเหมาะสมที่จะเป็นนายพล      เเต่การพิจารณารับนายสิบกับให้ความสำคัญกับใบปริญญามากเป็นอันดับ1     เรื่องอื่นค่อยว่ากัน(มันจึงทำให้เกิดพวกจบมาไม่รู้จะทำอะไรมาสอบตำรวจละกัน)    ซื้งผมคิดว่ามันจำกัดสิทธิกันเกินไป      ผมสัญชาติไทยโดยกำเนิด    เเละประเทศไทยก็มีสตช.เเห่งเดียวถ้าจะเป็นตำรวจ   ก็ต้องทำงานที่สตช.      ในขณะที่ถ้าอยากเป็นพ่อครัว    ผมจะไปเป็นพ่อครัวที่โรงเเรมไหนก็ได้มีเป็นร้อยเป็นพัน    เเล้วจะให้ผมไปสมัครสอบที่สตช.ประเทศอื่นเขาก็คงจะไม่รับ    ผมจึงเห็นว่าสตช.จะทำอะไรควรคำนึงถึงคนทั้งประเทศ    ไม่ใช้เเค่คนในสตช.เอง   เพราะมันส่งพลกระทบถึงคนไทยทั้งหมด
                   ส่วนที่บอกว่าก็ให้ไปสมัครนายสิบทหารบก  หรือจ่าทหารเรือเเทนทหารบกก็คือทหารบก  ตำรวจก็คือตำรวจ   มันคนละองค์กรกัน    ถ้าเปรียบทหารบกเป็นคน    ทหารบกก็คงจะบอกว่าอยากได้คนที่ตั้งใจจะเป็นทหารบกชืนชอบงานเเบบทหารบก    ไม่ใช้อยากได้พวกที่ผิดหวังจากตำรวจเเล้วจึงคิดจะมาเป็นทหารบก      ส่วนเรื่องโรงเรีนนายร้อยผมไม่ขอพูดถึงเพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้       ผมเห็นด้วยอยู่เเล้วว่าการสอบคัดเลือกนักเรียนนายร้อยมันก็เหมาะสมอยู่เเล้ว    ส่วนเรื่องเรียนฟรี      ถ้าเข้าใจความหมายที่ผมพูด     ก็จะเข้าใจว่าผมไม่ได้ประชดอะไรเลย     เพราะเรื่องเรียนฟรี  มีเงินเดือน   มีค่าอุปกรณ์การเรียน   จบมาได้เป็นนายร้อย    มันเป็นจุดขายของโรงเรียนเตรียมทหารอยู่เเล้ว    เเละผมไปสอบเตรียมทหารก็เพราะข้อดีเหล่านี้    ตอนนี้เวลลาเจอน้องๆที่รู้จักผมก็จะเเนะนำให้ไปสอบเตรียมทหารด้วยเหตุผลเหล่านี้ครับ    เเต่ส่วนใหญ่จะบ่นว่าไม่ชอบเพราะกลัวร้อนบ้างกลัวลำบากบ้าง    ผมก็จะคอยเตือนว่าถ้ามันเลยวัยมาเเล้ว    ถึงคิดจะมาเป็นทหาร ตำรวจ   มันจะยุ่งยากซับซ้อนอีกมาก   มีโอกาสก็ควรจะรีบคว้าเอาไว้             
                      ทั้งหมดที่ผมพิมพ์มาเป็นเเค่ความเห็นส่วนบุคคลนะครับ(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)       ไม่ได้มีข้อมูลอ้างอิงอะไร         ผมพูดเพราะผมรู้สึกเสียดายโอกาสที่มันน้อยลงเท่านั้นเอง     เเละเผอิญมาเจอคุณWERASAKซึ่งมีข้อมูลเรื่องนี้      ผมก็เลยเเสดงเหตุผลทีไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้      เพราะจะได้รับฟังข้อมูลอีกด้านจากคุณWERASAKเท่านั้นเองครับ      ไม่ได้มีอารมณ์โกรธเกลียดอะไร     เเละยิ่งไม่ได้มีเจตตาจะว่าร้ายใครหรือหน่วยงานใดๆทั้งสิ้น         หากทำให้ผู้ใดรู้สึกไม่สบายใจต้องขอโทษด้วยครับ      เเละก็ไม่ได้ยึดติดว่าตัวผมเองเท่านั้นที่ถูกต้อง       คนเราร้อยพ่อพันเเม่ต่างที่มาต่างคุณวุฒิ    ย่อมมีความิดเห็นที่ต่างกันออกไป     ผมไม่คิดเลยว่าเเค่คุยเรื่องสอบนสต.เเล้ว    บรรยากาศกระทู้มันจะเครียดขนาดนี้      เลยกลายเป็นผิดประเด็นจากหัวกระทู้ไปเลย   



ผมเข้าใจความหมายที่คุณกล่าวครับ ...............และไม่ได้กล่าวให้คุณไปสมัครสอบโรงเรียนทหารเลย

แต่บางเรื่องคุณยังไม่รู้จริงอีกมาก....................

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเจ้าหน้าที่ระดับนายสิบนั้น ............. อำนาจหน้าที่และการปฎิบัติงาน ไม่จำเป็นต้องใช้คนที่มีวุฒิ ป.ตรี............เขาถึงกำหนดความรู้ของผู้ที่สอบเข้าไว้ที่ ม.3 ก็มีสิทธิที่จะเข้าสอบ และถ้าสอบได้ก็เข้าเรียน เรียนจบ ก็บรรจุ ............ทำงานไป

ใครจะจบสูงกว่ามาสมัครสอบ.................. เขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะกำหนดวุฒิมาแค่นี้

เมื่อคนๆนี้บรรจุ ทำงานไปจนยศสูงขึ้น ............... เจ้าตัวอยากก้าวหน้า ก็ไปเรียนเพิ่ม และสอบเลื่อนฐานะเป็นนายร้อย ซึ่งย่อมต้องมีข้อกำหนดไว้ เช่น(สมมติ) เป็นสิบเอกมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี หรือจ่ามาไม่ต่ำกว่า 3 ปี นับถึงวันที่รับสมัคร ....... ต้องจบ ป.ตรี ในหลักสูตรที่ กพ.รับรอง และมีหลักฐานการลาไปเรียนในเวลาราชการ ................ แล้วจึงจะมีสิทธิสมัครสอบ ได้ไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง ...........

สำหรับข้อความนี้ " เพราะเรื่องเรียนฟรี  มีเงินเดือน   มีค่าอุปกรณ์การเรียน   จบมาได้เป็นนายร้อย    มันเป็นจุดขายของโรงเรียนเตรียมทหารอยู่เเล้ว    เเละผมไปสอบเตรียมทหารก็เพราะข้อดีเหล่านี้" และอีกข้อความคือ " เเต่ส่วนใหญ่จะบ่นว่าไม่ชอบเพราะกลัวร้อนบ้างกลัวลำบากบ้าง"................... ในฐานะผมเป็นศิษย์เก่า..............ขอบอกไว้เลยว่า

คุณยังรู้ไม่จริงและเข้าใจอะไรผิดๆมากไป ................... โดยเฉพาะคำว่า"จุดขาย" ผมฟังแล้วบอกตรงๆนะครับว่า ผมไม่พอใจที่คุณใช้คำนี้กับสถาบันของผม ................

จริงอยู่ การเข้าเรียนในสถาบันทหาร-ตำรวจ ย่อมได้รับสวัสดิการในการเรียน................ ซึ่งนัยยะคือ เป็นคนของหลวง แต่เฉพาะโรงเรียนเหล่าเท่านั้น ................ นักเรียนเตรียมทหาร ยังไม่ถือว่าเข้าประจำการ ค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าเครื่องแต่งกาย ค่าขนม ยังเป็นภาระของผู้ปกครอง โรงเรียนให้แต่อุปกรณ์การเรียนเท่านั้น ...............

แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ สำหรับการที่จะเข้ามาเรียนของบุคคลเหล่านี้อย่างแท้จริง ....................ความมุ่งหวังที่แท้จริง คือการเข้ามาเรียนเพื่อรับราชการ และต้องตั้งอุดมการณ์ไว้ ทำงาน................... เรียกว่าต้องการอนาคตที่ดี มีงานทำแน่นอน แต่ต้องทุ่มกาย ทุ่มใจอย่างมีอุดมการณ์ด้วย..............

ถ้ากลัวร้อนกลัวลำบากแต่เริ่มแรก ............ ก็ไม่สมควรจะเข้ามาเรียน ผมเห็นคนพวกนี้ สอบเข้ามาได้แค่อาทิตย์สองอาทิตย์ แล้วร้องจ๊าก ..............ฟ้องพ่อฟ้องแม่ ขอลาออกไปแต่ต้นมือก็เยอะ ..................เปลืองงบหลวงที่จะต้องเรียกตัวอะไหล่กลับเข้ามาเรียนในที่นั่งที่ว่าง ...................

ถ้าคิดว่าจะเข้าเรียนเพื่อเรียนฟรี มีอนาคตแค่นี้ ................ก็อย่าคิดเลยดีกว่า  อุปสรรคขวากหนามมันมีเยอะมากมาย  แค่สอบเข้าก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว ............... เข้ามาคิดได้แค่นี้ ผมเห็นลาออกไปเป็นระยะๆ แม้กระทั่งจบมาแล้วสักพักยังมีการลาออกเลย เพราะแนวความคิดของเจ้าตัว ไปไม่ได้ กับระบบ .................

กระทู้นี้ผมว่าเริ่มเครียดแล้วล่ะ ............. เพราะคุณบังอาจมาวิจารณ์โรงเรียนเก่าผม ว่าเอาเรื่องเรียนฟรี มาเป็นจุดขาย

ถ้าคุณสอบเข้าเตรียมทหารไม่ได้ หรือไม่ได้สอบ ก็อย่าเอาความเห็นส่วนตัวของคุณมาวิจารณ์สถาบันของผม .................

อยากจะสอบอะไรก็สอบไป .................. เข้าให้ได้ก็แล้วกัน  แล้วขอให้สมหวังตามที่ได้ตั้งใจไว้

แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า หากในอนาคตคุณสอบบบรจุเป็นนายตำรวจได้ ก็อย่าไปกล่าวก้าวล่วงสถาบันของนายรัอยหลักก็แล้วกัน ..............เดี๋ยวจะมีเรื่องกันเปล่าๆ.....................เรื่องนี้เขาถือกัน

ปล. โรงเรียนเตรียมทหาร ไม่เคยง้อใครที่ไหน ให้เข้ามาสอบเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ............... อยากเข้ามาเรียนก็ต้องสอบเข้าให้ได้ เรียนให้จบ รับระบบให้ได้ ................. ไม่มีปัญญาสอบได้ ก็ไม่ต้องเข้ามาเรียน ไปเรียนที่อื่น............ มีเด็กหนุ่มที่มีความสามารถในประเทศนี้อีกเยอะ ที่ผ่านการทดสอบเข้ามาเรียนได้และเรียนจบได้ ...................และโรงเรียนนี้ไม่เคยเอาเรื่องสวัสดิการที่หลวงให้มาเป็นจุดขาย สำหรับล่อให้คนเข้ามาสอบ ................. เห็นแต่ตะเกียกตะกาย อยากสอบเข้ากันทั้งนั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 08, 2009, 07:24:03 AM โดย มะขิ่น » บันทึกการเข้า

อย่าดึงฟ้าต่ำ  อย่าทำหินแตก  อย่าแยกแผ่นดิน
werasak
Hero Member
*****

คะแนน 74
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2230



« ตอบ #40 เมื่อ: เมษายน 08, 2009, 09:42:22 AM »

อืม........ผมจะพยายามไม่ทำให้กระทู้นี้เครียดนะครับ Grin และจะไม่กล่าวถึงระบบสถาบัน รร.นายร้อย ในแต่ละเหล่าด้วย แต่ขอคุยเรื่อง เฉพาะองค์การ จะดีกว่านะครับ
                  ส่วนเรื่อง วุฒิ ป.ตรี ที่ จขกท.มีความเห็นว่าไม่ควรใช้สำหรับสอบคัดเลือก เข้ามารับราชการเป็นชั้นประทวนโดยให้เหตุผลว่าเป็นการตัดโอกาสคนที่ไม่มีวุฒิดังกล่าว ทาง สตช.พิจารณาแล้วคงมีวิสัยทัศน์และมองไปในช่วงเวลาข้างหน้าว่าน่าจะเป็นการคัดกรองบุคคลให้มีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง เพื่อยกระดับการทำงานในลักษณะวิชาชีพตำรวจเพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและยอมรับในระดับความรู้ความสามารถของตำรวจ
ในข้อเท็จจริง สตช.ยังคงมีการรับตำรวจชั้นประทวน วุฒิต่ำกว่า ป.ตรี อยู่แต่รับน้อยมาก Smiley ยังไงรอดูตอนรับสมัครสอบบุคคลภายนอกอีกไม่กี่เดือนนี้ก็ได้ครับว่าจำนวนจะมีเท่าไรและในครั้งนี้ก็ไม่ได้มีคำกล่าวชวนเชื่อแบบที่ จขกท.กล่าวมาข้างต้น
ยังไงก็คุยกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ครับ Grin
บันทึกการเข้า
สุพินท์ - รักในหลวง
Guns & Games Staff
Hero Member
*****

คะแนน 3539
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 12903



« ตอบ #41 เมื่อ: เมษายน 08, 2009, 09:57:57 AM »

เพิ่มเติมเรื่องปริญญาตรีให้ครับ
ในประเทศอังกฤษ  และอีกหลายประเทศที่เดินตามอังกฤษ  จะไม่ให้ความสำคัญกับปริญญาตรี
โรงเรียนทหาร หรือโรงเรียนตำรวจ   ก็ไม่ได้ให้ความรู้ในวิชาสามัญ  ใครอยากได้ปริญญาตรี ก็ไปเรียนเอาเอง  แต่ได้มาแล้วก็ไม่มีผลกับชีวิตราชการ  เงินเดือนไม่เปลี่ยน   นักเรียนไทยที่ไปเรียนโรงเรียนนายร้อยอังกฤษ  ต้องเสียเวลาเรียนปริญญาตรี อีก 4 ปี   ส่วนที่ไปเรียนประเทศอื่นใช้เวลา 6 ปีเท่ากันแต่ได้ปริญญาโทกลับมาด้วย   แต่ไทยก็ยังส่งไปเรียนอังกฤษ กับสิงคโปร์ทุกปี  เพราะระบบอังกฤษก็มีความดีเด่นในตัวเอง

โรงเรียนนายสิบของอังกฤษ  สอนให้นักเรียนออกมาเป็นผู้บังคับหมู่   มีความรู้ในการปฏิบัติงานในหน้าที่นี้ ให้ดีที่สุดในโลก  ใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี
โรงเรียนนายร้อย  ก็สอนให้ออกมาเป็นผู้บังคับหมวดที่ดีที่สุดในโลก  เรียนประมาณหนึ่งปีครึ่ง
บันทึกการเข้า
rambo1th
Hero Member
*****

คะแนน 143
ออฟไลน์

กระทู้: 1349


« ตอบ #42 เมื่อ: เมษายน 08, 2009, 10:12:23 AM »

เพิ่มเติมเรื่องปริญญาตรีให้ครับ
ในประเทศอังกฤษ  และอีกหลายประเทศที่เดินตามอังกฤษ  จะไม่ให้ความสำคัญกับปริญญาตรี
โรงเรียนทหาร หรือโรงเรียนตำรวจ   ก็ไม่ได้ให้ความรู้ในวิชาสามัญ  ใครอยากได้ปริญญาตรี ก็ไปเรียนเอาเอง  แต่ได้มาแล้วก็ไม่มีผลกับชีวิตราชการ  เงินเดือนไม่เปลี่ยน   นักเรียนไทยที่ไปเรียนโรงเรียนนายร้อยอังกฤษ  ต้องเสียเวลาเรียนปริญญาตรี อีก 4 ปี   ส่วนที่ไปเรียนประเทศอื่นใช้เวลา 6 ปีเท่ากันแต่ได้ปริญญาโทกลับมาด้วย   แต่ไทยก็ยังส่งไปเรียนอังกฤษ กับสิงคโปร์ทุกปี  เพราะระบบอังกฤษก็มีความดีเด่นในตัวเอง

โรงเรียนนายสิบของอังกฤษ  สอนให้นักเรียนออกมาเป็นผู้บังคับหมู่   มีความรู้ในการปฏิบัติงานในหน้าที่นี้ ให้ดีที่สุดในโลก  ใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี
โรงเรียนนายร้อย  ก็สอนให้ออกมาเป็นผู้บังคับหมวดที่ดีที่สุดในโลก  เรียนประมาณหนึ่งปีครึ่ง


  รร. นายร้อย แซนด์เฮิร์ส ของอังกฤษ นี่เรียน 1 ปี ครึ่ง เองเหรอครับ ท่านผู้การ ยังงี้จบมา นายทหารใหม่ ร.ต. ไม่เด็กๆ กันเหรอครับ
บันทึกการเข้า
werasak
Hero Member
*****

คะแนน 74
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2230



« ตอบ #43 เมื่อ: เมษายน 08, 2009, 10:13:02 AM »

สงสัยขอรบกวนพี่ๆที่อยู่อเมริกามาอธิบายเพิ่มเพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบครับ ไหว้
ในระบบตำรวจครับ Grin
บันทึกการเข้า
สุพินท์ - รักในหลวง
Guns & Games Staff
Hero Member
*****

คะแนน 3539
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 12903



« ตอบ #44 เมื่อ: เมษายน 08, 2009, 11:24:48 AM »

เพิ่มเติมเรื่องปริญญาตรีให้ครับ
ในประเทศอังกฤษ  และอีกหลายประเทศที่เดินตามอังกฤษ  จะไม่ให้ความสำคัญกับปริญญาตรี
โรงเรียนทหาร หรือโรงเรียนตำรวจ   ก็ไม่ได้ให้ความรู้ในวิชาสามัญ  ใครอยากได้ปริญญาตรี ก็ไปเรียนเอาเอง  แต่ได้มาแล้วก็ไม่มีผลกับชีวิตราชการ  เงินเดือนไม่เปลี่ยน   นักเรียนไทยที่ไปเรียนโรงเรียนนายร้อยอังกฤษ  ต้องเสียเวลาเรียนปริญญาตรี อีก 4 ปี   ส่วนที่ไปเรียนประเทศอื่นใช้เวลา 6 ปีเท่ากันแต่ได้ปริญญาโทกลับมาด้วย   แต่ไทยก็ยังส่งไปเรียนอังกฤษ กับสิงคโปร์ทุกปี  เพราะระบบอังกฤษก็มีความดีเด่นในตัวเอง

โรงเรียนนายสิบของอังกฤษ  สอนให้นักเรียนออกมาเป็นผู้บังคับหมู่   มีความรู้ในการปฏิบัติงานในหน้าที่นี้ ให้ดีที่สุดในโลก  ใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี
โรงเรียนนายร้อย  ก็สอนให้ออกมาเป็นผู้บังคับหมวดที่ดีที่สุดในโลก  เรียนประมาณหนึ่งปีครึ่ง


  รร. นายร้อย แซนด์เฮิร์ส ของอังกฤษ นี่เรียน 1 ปี ครึ่ง เองเหรอครับ ท่านผู้การ ยังงี้จบมา นายทหารใหม่ ร.ต. ไม่เด็กๆ กันเหรอครับ

ใช่ครับ  ผู้หมวดใหม่ ๆ ของเขาอายุประมาณยี่สิบปี   แต่ก็จะมีหลักสูตรเฉพาะหน้าที่ บังคับเรียน และประเมินค่าไปตลอด
นักเรียนนายเรือของเขาสมัยก่อน ยิ่งเด็กกว่านี้อีกครับ   เรียนบนบก 1-2 ปีแล้วลงเรือ ไปเป็นนักเรียนทำการนายเรือ (midshipman)  ทำงาน มีเงินดือนแล้ว  มีนายทหารเรือทั้งลำเป็นครูฝึก  อีก 2-3 ปีถึงจะเป็นนายเรือตรี  แต่ถ้า "ครู" ตายกันบ่อย ๆ ก็อาจจะเป็นเร็วกว่านั้น   อย่างเช่นเนลสัน แม่ทัพเรืออังกฤษ ก็เป็นนาวาเอก ก่อนอายุสามสิบ (แล้วตายในการรบตอนอายุ 47 เป็นพลเรือโท)
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.123 วินาที กับ 21 คำสั่ง