ช่วงยุคนี้ดาบปลายปืนจะเริ่มมีด้ามจับแบบมีดแล้วและใช้วิธีล็อคติดกับแกนด้านล่างของปืน ต่างกับสมัยก่อนหน้าที่มักจะทำเป็นรูกลวงไว้ตรงปลายเพื่อเอาไว้สอดล็อคตรงลำกล้องปืน
ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าพวกทหารหอกนั้นถึงจะสามารถต่อกรกับทหารม้าได้ดีแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วพลทหารราบติดหอกก็เปรียบเสมือนเป้าชิ้นโตให้พลปืนข้าศึกสอยร่วงดีๆนั่นเอง เพราะยุคนั้นเสื้อเกราะที่สามารถทนทานต่ออำนาจการทะลุทะลวงของปืนคาบศิลาได้นั่นยังไม่ค่อย
แพร่หลายและมีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูงมาก
ดังนั้นแนวคิดที่จะรวมพลปืนคาบศิลาเข้ากับพลหอกเข้าด้วยกันจึงมาสำเร็จเอาด้วยเจ้าดาบปลายปืนนี่แหละครับ ที่ทหารสามารถนำมันมาติดกับปืนคู่กายใช้เพื่อต่อกรกับม้าของข้าศึกได้ (ดาบปลาบปืนสมัยก่อนจะค่อนข้างยาวครับ ถึงแม้จะเกะกะแต่ก็เหมาะอย่างยิ่งในการรับมือกับทหารม้าข้าศึก)
จากภาพ แสดงถึงกองทหารของยุโรปในสมัยก่อน....จะเห็นว่ามีทหารถือหอกยืนอยู่ด้วย

ดังนั้นโดยการรบด้วยปืนคาบศิลาในสมัยก่อนจึงมีแนวคิดในการจัดแถวและสับเปลี่ยนรูปขบวนมากมายหลายหลาก เหตุผลหนึ่งก็เพราะการบรรจุลูกกระสุนแต่ละครั้งนั้นค่อนข้างช้าแถมกระสุนที่ยิงออกไปก็ยังเอาแน่เอานอนหาความแม่นยำไม่ค่อยจะได้ ดังนั้นการจัดทัพการยิงให้เหมาะสมถูกจังหวะและเวลาจึงเป็นตัวชี้วัดผลการรบได้เลย ซึ่งโดยส่วนมากแล้วประเทศในยุโรปมักใช้วิธีจัดทัพแบบทรงจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าตอนลึก
กล่าวคือพอทหารแถวแรกยิงเสร็จปุ๊ป! ก็จะรีบวิ่งไปต่อท้ายด้านหลังสุด (ถ้ายังไม่ตายซะก่อน) ก่อนจะเปิดโอกาสให้แถวต่อไปได้ยิงทันทีซึ่งกว่าที่แถวต่อมาจะยิงจนเสร็จทหารแถวแรกที่วิ่งไปต่อท้ายก่อนใครเพื่อนนั้นก็จะบรรจุกระสุนเสร็จและพร้อมยิงต่อทันทีโดยไม่ติดขัด เพียงแต่มันจะมีอยู่ประเทศหนึ่งที่แปลกกว่าคนอื่นเขานั่นก็คือพวกอังกฤษ ที่มักจะจัดการยิงแถวแค่สองแถว (แถวหน้านั่งยองแถวหลังยืน) เป็นแนวยาวหรือจัดแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ไม่เน้นความลึก....
นั่นก็เพราะพวกอังกฤษถือว่าทหารแต่ละคนของตนนั้นล้วนเป็นทหารอาชีพซึ่งมีฝีมือสูง ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่แปลกที่เขาจะโอ้อวดแบบนี้ได้ เพราะทหารราบอังกฤษในสมัยก่อนนั้นจำเป็นต้องฝึกหนักมากกว่าที่จะออกรบได้จริง นั่นจึงทำให้พวกเขาสามารถทำเวลาในการบรรจุกระสุนได้รวดเร็วมาก ดังนั้นการจัดแถวแค่สองแถวจึงเพียงพอแล้ว
แต่พอมาเจอพวกกองโจรชาวอาณานิคมอเมริกันในการรบเพื่อประกาศอิสรภาพที่อเมริกา กองทหารเสื้อแดงของอังกฤษก็ต้องแพ้ร่นไม่เป็นท่าเหมือนกัน