จากข้อมูลราชการระบุว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครมีการออกใบอนุญาตขายอาวุธปืน 243 ใบ ในขณะที่ต่างจังหวัดรวมกันทั้งสิ้นมี 94 ใบอนุญาต
เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัจจุบันหน่วยงานที่ออกใบอนุญาตเกี่ยวกับอาวุธปืนในกรุงเทพฯกลายเป็นแหล่งรายได้ขนาดใหญ่
ในช่วงที่งานทะเบียนอาวุธปืนขึ้นตรงกับตำรวจ แทบจะไม่มีเรื่องการหาผลประโยชน์ เนื่องจากตำรวจไม่เรียกร้องเงินทองจากประชาชนโดยตรง แต่ร้านค้าปืนซึ่งมีฐานะเป็นพ่อค้าไม่ได้ไปพบกับข้าราชการแบบมือเปล่า
เพราะการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนปืน พ่อค้าย่อมเข้าๆออกๆ สำนักงานทะเบียนปืนตลอดเวลา อาทิ ขอใบอนุญาตสั่งปืนมาขาย การนำปืนไปตอกเครื่องหมายทะเบียน การตัดยอดปืนออกจากบัญชี การขอให้ออกใบคู่มือให้กับลูกค้าต่างจังหวัด หรือการตรวจบัญชีร้านปืน
เรื่องที่ทำรายได้จำนวนมหาศาลเกิดจากการขออนุญาตซื้ออาวุธปืนของประชาชน ที่นิยมยื่นขอผ่านร้านปืน ด้วยความที่ไม่อยากไปพบกับข้าราชการ ซึ่งตกใบละ 2,000-3,000 บาท แล้วแต่ชนิดของปืน ซึ่งถ้าประชาชนไปยื่นขอใบอนุญาตด้วยตัวเองจะเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
จนกระทั่งงานทะเบียนอาวุธปืนโอนไปยังกรมการปกครองเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2548 การเรียกรับผลประโยชน์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้ธุรกิจค้าอาวุธปืนเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้สูง ผลประโยชน์ตกอยู่กับบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งใช้ชื่อว่า สมาคมผู้ประกอบการอาวุธปืน หรือ สปป.
บางครั้งสมาคมนี้ยังถูกเรียกกันเล่นๆ ว่า \"สมาคมเปาเปียว\" อันเนื่องมาจากมีเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ จัดสรรเงินที่เรียกเก็บมาจากสมาชิกรายเดือนและรายปี เอาไปให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในธุรกิจ
นายเสกสรรค์ ถมังกิจ หนึ่งในสมาชิกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจอาวุธปืน เปิดเผย \"ประชาชาติธุรกิจ\" ว่า หากจะคิดเปิดร้านปืน ก่อนอื่นต้องหาโควตาซึ่งปัจจุบันหากันด้วยราคา 2-3 ล้านบาทต่อ 1 โควตา ในร้านหนึ่งอาจจะสามารถถือได้หลายโควตา เพราะ 1 โควตาจะสั่งปืนสั้นเข้ามาขายได้ 30 กระบอก ปืนยาวได้ 50 กระบอกต่อปี หากขายหมดก่อนก็จะต้องรอให้ครบรอบปีจึงจะสั่งได้ใหม่
\"ระบบนี้เริ่มใช้มาในยุค รสช. เนื่องจากมีร้านปืน 2-3 ร้านที่มีโควตาจำนวนมาก ต้องการกำหนดราคาขายเอง และต้องการให้ร้านปืนเล็กๆ ออกจากระบบ โดยไปล็อบบี้กับผู้มีอำนาจในยุคนั้น ด้วยเงินถึง 30 ล้านบาท เพื่อให้ออกคำสั่งดังกล่าว ราคาปืนในยุคหลังจึงถีบตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว บางร้านหาทางออกด้วยการไปจัดปืนสวัสดิการให้กับหน่วยงานของรัฐก็มี\"
นายเสกสรรค์อธิบายขั้นตอนการสั่งปืนเข้ามาขาย อันก่อให้เกิดความไม่ชอบมาพากลว่า เมื่อใบอนุญาตนำเข้าปืน (ป.2) ที่ผู้สั่งจะระบุขนาด จำนวน และประเทศที่จะสั่งลงไปในใบอนุญาต ก็จะส่งเงิน โดยทุกร้านจะทำราคาให้ต่ำกว่าความเป็นจริง หรือที่เรียกกันว่า \"อันเXXXXXร์\" เพื่อที่จะเสียภาษีนำเข้าให้น้อยลง โดยจะโอนเงินเป็น 2 ชุด
\"ชุดแรกโอนกับธนาคารตามปกติ ชุดหลังจะโอนใต้ดินเวลาที่ออกของ จะมีการทำอินวอยซ์ลงราคาใหม่ทั้งหมด\" นายเสกสรรค์กล่าวและว่า
ราคาปืนในท้องตลาดยกตัวอย่าง ปืน GLOCK ราคาทุน 315 XXXXXลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 12,600 บาท เมื่อนำมาคูณ 60% (ภาษีบวกค่าใช้จ่าย) จะมีราคา 7,560 บาท รวมเป็น 20,160 บาท
\"ทุกร้านจะคิดค่าโควตาของตัวเองกระบอกละประมาณ 20,000 บาท รวมเป็น 40,160 บาท แต่ราคาปืน GLOCK ที่ขายในตลาดคือกระบอกละ 60,000 บาท ทุกคนที่ซื้อปืนก็ต้องจำใจในราคาที่ว่านี้ ราคานี้เป็นราคาที่ต้องจ่ายเงินจริงๆ กับทางโรงงาน แต่ราคาที่แจ้งในอินวอยซ์เพื่อเสียภาษีแจ้งไม่ถึง\"
นอกจากนี้นายเสกสรรค์ตั้งข้อสังเกตอีกว่า ไม่เคยมีใครได้รับใบกำกับภาษีจากร้านค้าปืนเพราะไม่มีใครออกให้เต็มจำนวนเงินที่ซื้อ 60,000 บาท เนื่องจากทางร้านเขียนใบกำกับภาษีแค่ 20,000 บาท จึงไม่ให้ลูกค้า และหากลูกค้าต้องการชำระค่าปืนด้วยบัตรเครดิตก็จะถูกบ่ายเบี่ยง แต่มีบางร้านที่ไปตกลงกับธนาคารให้เงินจากการรูดบัตรเครดิตโอนเข้าบัญชีส่วนตัว ก็สามารถตรวจสอบได้ระดับหนึ่ง หากใครร้องขอใบกำกับภาษีจากร้าน ก็จะให้ชำระค่า VAT อีก 7% (4,200 บาท) ซึ่งก็จะไม่มีใครยอมเสียเพราะเอาไปหักภาษีไม่ได้
\"กรมสรรพากรสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย จากใบอนุญาต ป.3 ที่มีชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้ออยู่แล้ว ว่ามีใครได้รับใบกำกับภาษีบ้าง และปืนที่ซื้อไปกระบอกละเท่าไร ตรงกับเอกสารที่แจ้งต่อกรมสรรพากรหรือไม่\" นายเสกสรรค์กล่าว
นั่นหมายความว่า ร้านปืนหลีกเลี่ยงภาษีจากการนำเข้าหรือไม่ เนื่องจากแจ้งราคาต่ำ บวกกำไรจากสินค้าสูง แต่กลับนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มต่ำกว่าที่เก็บมาได้
ในขณะที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่กำลังจะกลายเป็นพ่อค้าปืนรายใหญ่ของประเทศ เพราะนำเข้าปืนมากที่สุด ตกปีละ 50,000 กระบอก ทั้งๆ ที่ไม่มีใบอนุญาตสั่งและนำเข้าปืน (ป.5) แต่ร้านปืนทั่วประเทศสั่งนำเข้าได้เพียงปีละ 10,110 กระบอก
สังคมยังคงรอคำตอบจากข้อครหาเหล่านี้ ว่าการค้าการขายในระบบปืนสวัสดิการ มีความชอบธรรมหรือไม่ เงินกำไรที่ได้อยู่ที่ไหน
ยังไม่นับว่ากรมการปกครองนำเข้าปืนที่ผิดไปจาก พ.ร.บ.อาวุธปืนที่กำหนด อันมาจากนำเข้าปืนที่สามารถบรรจุกระสุนเกิน 10 นัด
กล่าวกันว่า ราคาปืนจากต่างประเทศอาจปรับราคาสูงขึ้นบ้างตามสภาวะตลาด แต่ก็ไม่มากนัก แต่ราคาปืนในประเทศไทยกลับขยับตัวสูงขึ้นมากกว่า 100% ซึ่งอาจมาจากค่าต๋งค่าส่วยระหว่างทางที่ร้านปืนต้องจ่ายออกไป จึงนำกลับมาบวกไว้ในราคาสินค้าที่ผู้ซื้อต้องรับภาระไปแทน
แต่ถ้าหากเงินส่วนนั้นนำเข้ารัฐเพื่อไปพัฒนาประเทศ คงไม่มีใครติดใจเอาความ ในทางกลับกัน ถ้าเงินส่วนนั้นที่ผู้บริโภคจ่ายไปเข้ากระเป๋าคนบางกลุ่ม
รัฐบาลยุคนี้ที่ป่าวประกาศวาระแห่งชาติว่า ต้องโปร่งใสและเป็นธรรม ควรล้างบางทันที
หน้า 32
ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ประชาชาติ
อ้างอิง
http://www.thairealtv.com/webboard/topic.php?tid=3701