เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
สิงหาคม 21, 2025, 12:00:16 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ใครสนใจในประวัติศาสตร์ปัตตานี เข้ามาอ่านกันครับ  (อ่าน 11893 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 07:35:05 PM »

ประวัติของแผ่นดินไทย ชายแดนใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดินแดนปลายแหลมทองของไทย ส่วนที่เป็นจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสในปัจจุบันนั้นมีร่องรอยการตั้งหลักแหล่งของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยหินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ที่หมู่บ้าน ช้างไห้ตก ท้องที่ ตำบล ป่าบอน อำเภอโคกโพธิ์ ได้พบ โบราณ วัตถุ ที่น่าสนใจ หลายชิ้น เช่น ขวานหิน เศษ ภาชนะ ดินเผา อิฐโบราณ เทวรูป อวโลติเกศวร และ เบ้าหล่อทองคำ อยู่ใน บริเวณ สวนยาง เอกชน เป็นจำนวนมาก ส่อแสดง ว่า สถานที่ แห่งนี้ เคยเป็น ที่ตั้ง ชุมชน
โบราณ มาก่อน หรืออาจ จะเคย เป็นที่ตั้ง เมืองปัตตานี มาแล้ว ครั้งหนึ่ง บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ต่อเนื่องระหว่างจังหวัดกระบี่กับรัฐเปรัก ของมาเลเซีย มีการพบหลักฐานของมนุษย์โบราณอายุประมาณ ๔๐,๐๐๐ ปี ที่เพิงผาหลังโรงเรียน อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ และ พบหลักฐานมนุษย์โบราณยุคโลหะ ที่รัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ว่า มนุษย์โบราณอายุกว่าหมื่นปีดังกล่าวได้สืบเชื้อสายมาเป็นคนพื้นเมือง ที่เรียกตัวเองว่า “มันนิ” แต่พวกมาเลย์เรียกพวกนี้เป็นทางราชการว่า โอรังอัสลี (Orang Asli)แปลว่า มนุษย์ถิ่นเดิม บางทีก็เรียกว่า “ซาไกหรือซาแก” ซึ่งแปลว่า คนป่า หรือ คนเถื่อน ซึ่งชาวมันนิไม่ชอบเนื่องจากเป็นคำดูถูก ส่วนคนไทยเรียกว่า “เงาะ หรือ เงาะป่า” ในปัจจุบันก็ยังมีชาวมันนิ เหล่านี้กระจายเป็นกลุ่มเล็กๆราว ๗๐,๐๐๐ คน ที่รัฐเคดะห์ และรัฐเปรักประเทศมาเลเซีย ในส่วนลึกของ เกาะนิวกินี หมู่เกาะฟิลลิปปินส์ รวมทั้งในหมู่เกาะต่างๆในทะเลอันดามัน คนพวกนี้นับถือผี เก็บหาของป่าเป็นอาหาร ไม่เพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ ขณะนี้ในภาคใต้ของประเทศไทยยังมีซาไกเหลืออยู่สี่เผ่า รวมประมาณ ๓๐๐ คน คือซาไกกันซิว(Kansiw) อยู่ที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ซาไกยะฮาย (Yahai) อยู่ที่อำเภอแว้งและระแงะ จังหวัดนราธิวาส  ซาไก แตะเดะ(Tea-de) อยู่ใกล้เหมืองทองคำโต๊ะโม๊ะ อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส
ซาไก แต็นเอ็น(Tean-ean) บริเวณเทือกเขาบรรทัด ในอำเภอปะหลียน จังหวัดตรัง  และอำเภอละงู จังหวัดสตูล นอกจากนั้นยังมีชาวเลทำประมง พวกอุรักละโว้ย อยู่ที่เกาะลันตาจังหวัดกระบี่ และพวกมอร์แกนที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีภาษาและวัฒนธรรมคล้ายชาวเกาะในฟิลิปปินส์
และอินโดนีเซียอีกด้วย


บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 07:39:05 PM »

สมัยต้นประวัติศาสตร์
ประมาณ ๒ พันปีมาแล้ว มีชาวอินเดียนับถือศาสนาฮินดูและพุทธลงเรืออพยพจากบ้านเมืองของตนมาตั้งหลักแหล่งในเกาะชวา และเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย บางส่วนเลยไปตั้งหลักแหล่งถึงประเทศกัมพูชา และได้สร้างปราสาทหินนครวัดตามค่านิยมของอินเดียใต้ การอพยพใหญ่ครั้งแรกอาจเป็นลี้ภัยสงครามของพวกกลิงค์ในอินเดียริมทะเลด้านใต้ ราว พ.ศ. ๒๓๐ สมัยที่พระเจ้าอโศกมหาราชทำสงครามกับพวกกลิงค์ มีการฆ่าฟันชาวกลิงคราชล้มตายไปมาก จนพระเจ้าอโศกสังเวชพระทัย หันมานับถือพุทธศาสนา การอพยพใหญ่ครั้งที่สองของชาวพุทธ อาจจะเกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เมื่อพวกตุรกีหรือเติร์ก นำศาสนาอิสลามที่พระนาบี มุฮัมมัดทรงประกาศเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย เข้ามามีอิทธิพล ครอบครองอินเดีย ตั้งราชวงศ์โมกุล สร้างอนุสรณ์สถานทาชมาฮาล มีการ ทำลายพระพุทธรูปฆ่าฟันพระสงฆ์ และเผาวิทยาลัยพุทธศาสนาใหญ่ที่เมืองนาลันทาจนหมดสิ้น แม้แต่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาก็ยังถูกทำลาย รูปพระพุทธเจ้าที่ถ้ำตุ้นหวงประเทศจีน ถูกขูดลูกตาออกจนหมดสิ้น ทั้งนี้เพราะ
ศาสนาอิสลามสอนไม่ให้มีรูปเคารพใดๆ ชาวพุทธที่อพยพมาเกาะชวา ได้สร้างพุทธศาสนสถานขนาดใหญ่ ด้วยหินภูเขาไฟ ชื่อบุโรพุทโธ ไว้ที่เมืองจ๊อกจารกาตา ซึ่งปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้ ศาสนสถานบุโรพุทโธในอินโดนีเซียนี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าดินแดนแถบนี้เป็นดินแดนของคนที่นับถือพุทธมาก่อนที่จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ต่อมามีคนอพยพข้ามฟาก จากเกาะชวา และสุมาตรามาที่ปลายแหลมมลายู คำว่า “มลายู” แปลว่าผู้ข้ามฟาก ตั้งแต่สมัยเมื่อกว่าพันปีมาแล้ว ได้มีการค้าขายทางทะเล เกิดเมืองท่าเรือและป้อมค่ายเช่นมะริด(Mergui) ตะโกลา (Tacola) มะละกา (Mallaca) และอาณาจักรอะแจ หรือ อะเจะห์(Aceh) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประทศอินโดนีเซีย ปรากฏมีเส้นทางเดินบกข้ามคาบสมุทรระหว่างรัฐเคดาห์ ทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย กับปัตตานี และสงขลา ทางฝั่งอ่าวไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น พ่อค้าชาวเปอร์เซีย จากแถบคาบสมุทรอาหรับได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ ในเกาะชวา สุมาตรา และปลายแหลมมลายู ทำให้ประชาชนบางส่วนนับถืออิสลาม ตั้งแต่ราว พ.ศ.2012 คือประมาณห้าร้อยปีนี่เอง ลังกาสุกะและปัตตานี

 "ปัตตานี หรือ ปตานี " เป็นเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักของพ่อค้าต่างประเทศมาตั้งแต่โบราณและเป็นศูนย์การค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้ สมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ 20 นั้น นักประวัติศาสตร์ รู้จักปัตตานีในนามของ"ลังกาสุกะ"(Langkasuka)” ซึ่ง เป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อนในแหลมมลายู ลังกาสุกะ หรือ ลังกาโศภะ หรือที่จีนเรียกว่า “หลังยาซูว” หรือ “หลังหยาสิ้ว” เป็นอาณาจักรอันเก่าแก่แห่งหนึ่งของเอเชียอาคเนย์ มีอาณาเขตครอบคลุมคาบสมุทรมลายูตอนล่าง ด้านใต้ของอาณาจักรตามพรลิงค์ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่นครศรีธรรมราชในปัจจุบัน ลังกาสุกะพัฒนามาจากเมืองท่าเล็กๆ ของชาวพื้นเมือง จนเติบโตเป็นรัฐและมีฐานะเป็นอาณาจักรมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 ซึ่งจะเห็นได้ว่าในขณะที่ คนไทยทางภาคกลางยังอยู่ในอิทธิพลของพวกขอม แต่คนไทยทางภาคใต้ มีอาณาจักรเป็นของตนเองแล้วขณะที่อาณาจักรฟูนันเริ่มเสื่อมอำนาจ เนื่องจากอาณาจักรลังกาสุกะมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างโลกตะวันออกและโลกตะวันตก (East-West Center) มีทิศทางลมตรงมาจากแหลมญวน มีอ่าวปัตตานีเป็นที่หลบภัยจากลมมรสุม ทั้งยังเป็นแหล่งผลิต ต้นการบูนและไม้กฤษณาที่มีกลิ่นหอม จึงเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างจีนกับอินเดียและเป็นศูนย์กลางของการเผยแผ่หลักธรรมของศาสนาทั้งศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธนิกายมหายาน ระหว่างพุทธศตวรรษที่๑๑-๑๙ จดหมายเหตุจีนฉบับหนึ่งเขียนไว้เมื่อราว พ.ศ. ๑๐๕๒ ว่า “ หลังยาซูว เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ พระราชาประทับอยู่บนกูบช้างมีหลังคาทำด้วยผ้าสีขาว แวดล้อมด้วยองครักษ์ท่าทางดุร้ายและทหารตีกลองถือธงสีต่างๆ ประชาชนทั้งชายหญิงไว้ผมปล่อยยาว ใส่เสื้อไม่มีแขน” ศูนย์กลางของลังกาสุกะอยู่บริเวณ อำเภอเมืองปัตตานีกับอำเภอยะหริ่ง และอำเภอยะรัง ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปัตตานี ที่เมืองโบราณยะรังในปัจจุบันปรากฏร่องรอยของศาสนสถานประเภทสถูป
เจดีย์ขนาดใหญ่ทั้งหมดกว่า ๓๐ แห่ง ในพื้นที่ประมาณ ๙ ตารางกิโลเมตร นอกจากนั้นยังพบร่องรอยกำแพงเก่าอีกหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียงกัน มีชิ้นส่วนดินเผาลายดอกบัวศิลปะทวารวดี สำหรับตกแต่งสถานที่ ปรากฏอยู่ที่โบราณสถานเมืองยะรัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2005, 08:27:19 PM โดย Watt » บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 07:41:02 PM »

ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อาณาจักรลังกาสุกะเริ่มเสื่อมอำนาจลง เนื่องจากภาวะของชายฝั่งทะเลตื้นเขิน สายน้ำเปลี่ยนทางเดิน เกิดศึกสงคราม โดยมีกองทัพจากเขมร และมะละกา เข้ามาโจมตีหลายครั้ง อาจเป็นเพราะคนอพยพไปอยู่ที่อื่น เนื่องจากถูกโคลนทับเมือง หรือเกิดโรคระบาดหรือถูกโจมตีทำลาย จนชื่อหายไปจากประวัติศาสตร์ ส่วนดินแดนเดิมของลังกาสุกะ ได้เข้าไปรวมกับอาณาจักรตามพรลิงค์ ดังนั้นชาวลังกาสุกะส่วนใหญ่จึงนับถือพุทธศาสนาตามชาวตามพรลิงค์ไปด้วย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๗ ถึง ๑๙ ได้มีการก่อตั้งอาณาจักรตามพรลิงค์ หรือตัมพะลิงค์ มีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณบ้านท่าเรือ บนสันทรายปากอ่าวนครศรีธรรมราช ทางเหนือของอาณาจักรลังกาสุกะ มีอาณาเขตทางตะวันตกจรดอ่าวไทยและทางตะวันออกจรดจังหวัดกระบี่ในปัจจุบัน อาณาจักรตามพรลิงค์(นครศรีธรรมราช)ประกอบด้วยเมือง ๑๒ เมือง หรือสิบสองนักษัตร คือ

1. เมืองสายบุรี สัญลักษณ์ ตราหนู (ชวด)
2. เมืองปัตตานี สัญลักษณ์ ตราวัว (ฉลู)
3. เมืองกลันตัน (ปัจจุบันมีฐานะเป็นรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย )สัญลักษณ์ ตราเสือ (ขาล)
4. เมืองปะหัง (ปัจจุบัน มีฐานะเป็นรัฐหนึ่งในรัฐมาเลเซีย ) สัญลักษณ์ ตรากระต่าย (เถาะ)
5. เมืองไทรบุรี(ปัจจุบันมีฐานะเป็นรัฐหนึ่งในมาเลเซีย ชื่อว่า "เคดาห์" ) สัญลักษณ์ ตรางูใหญ่ (มะโรง)
6. เมืองพัทลุง สัญลักษณ์ ตรางูเล็ก (มะเส็ง)
7. เมืองตรัง สัญลักษณ์ ตราม้า (มะเมีย)
8. เมืองชุมพร สัญลักษณ์ ตราแพะ (มะแม)
9. เมืองบันทายสมอ(อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี) สัญลักษณ์ ตราลิง (วอก)
10. เมืองสงขลา สัญลักษณ์ ตราไก่ (ระกา)
11. เมืองภูเก็ต (ถลาง) สัญลักษณ์ ตราหมา (จอ)
12. เมืองกระบุรี สัญลักษณ์ ตราหมู (กุน)


ประชาชนของอาณาจักรตามพรลิงค์นับถือพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น มีการสร้างพระบรมธาตุขนาดใหญ่ไว้เป็นที่สักการะบูชา ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราช ได้ส่งกองทัพเรือไปโจมตีเกาะลังกาถึงสองครั้ง ประวัติศาสตร์ลังกาบันทึกไว้ว่ากองทัพของพระเจ้าจันทรภาณุใช้ไม้ซางเป่าลูกดอก และธนูเป็นอาวุธ ในพ.ศ. ๑๘๓๗ อาณาจักรตามพรลิงค์ได้เข้ารวมกับอาณาจักรสุโขทัย และ พ.ศ. ๑๘๙๓ เข้ารวมกับอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ดังนั้นดินแดนลังกาสุกะจึงเข้ารวมกับอยุธยาไปด้วย
บันทึกการเข้า
JJ-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 386
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9425


« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 07:41:06 PM »

ตาลายเลย ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 07:42:32 PM »

ระหว่าง พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ถึง ๑๘ ได้มีการก่อตั้งอาณาจักรศรีวิชัย (Sri Vijaya) โดยราชวงศ์ ไศเลนทรของชวา มีอาณาเขตครอบคลุม แหลมมลายู เกาะชวา สุมาตรา และควบคุมการเดินเรือในช่องแคบมะละกาโดยมีสายโซ่ขึงกั้นช่องแคบเพื่อเก็บเงินค่าผ่านทางจากเรือที่จะผ่านไปมา เข้าใจว่าศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน(ปัจจุบันมีนักวิชาการบางท่านแย้งว่า น่าจะอยู่บริเวณเขตรอยต่อระหว่างนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี) ประชาชนชาวศรีวิชัยนับถือพุทธศาสนานิกายมหายานใช้ภาษาสันสกฤต หลวงจีนอี้จิงซึ่งได้เดินทางจากประเทศจีนทางเรือผ่านมาแถบนี้ในเดือน๑๑ พ.ศ. ๑๒๑๔ บันทึกไว้ว่า ประชาชนทางใต้ของแหลมมลายูนับพุทธศาสนา แต่ได้ติดต่อกับพวกมุสลิมอาหรับที่เดินทางผ่านไปประเทศจีน ศาสนาอิสลามจึงได้เผยแผ่ไปยังมะละกา กลันตัน ตรังกานู ปาหัง และปัตตานีจนกลายเป็นรัฐอิสลามไป พ.ศ.๑๕๖๘ อาณาจักร์ศรีวิชัยได้ทำสงครามกับอาณาจักรโจฬะในอินเดียใต้ และตกอยู่อำนาจของอาณาจักรมัชปาหิตในชวาใน พ.ศ. ๑๙๔๐
ดินแดนปัตตานีหลังยุคลังกาสุกะ
บันทึกการเข้า
ekkawit
รักกันจริง ยิงกันจัง แต่ตังต้องเยอะ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4655


คิดให้ไกล และต้องไปให้ถึง


« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 07:47:25 PM »

ขอบคุณครับ Wink Wink Wink
บันทึกการเข้า

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 07:50:54 PM »

ภายหลังจากสิ้นยุค ลังกาสุกะ อันรุ่งเรือง
ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เมืองท่าแห่งใหม่ได้เกิดขึ้นที่ปัตตานีมีพ่อค้าชาว เปอร์เซีย อาหรับ ญี่ปุ่น จีน และชาวยุโรป เช่น โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ สเปน ฯลฯ เข้ามาทำการค้าขายเป็นจำนวนมาก มีท่าเรือน้ำลึกสำหรับขนถ่ายสินค้าไปยังต่างประเทศ พ่อค้าชาวอาหรับเรียกชื่อเมืองปัตตานีเป็นภาษาอาหรับว่า ฟาฎอนี (Fatani) ร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองสมัยนั้น ยังเหลือปรากฏอยู่ในพื้นที่กว่า 4 ตารางกิโลเมตร ในเขตตำบลบานา บาราโหม และตันหยงลุโละ ตามตำนานเมืองไทรบุรี ที่พันโท เจมส์ โลว์ แปล เป็นภาษาอังกฤษ ระบุว่า มะโรงมหาวงศ์ (มะโรงมหาวังษา) กษัตริย์แห่งเมืองลังกาสุกะ ที่เมืองไทรบุรี ทรงคิดจะให้โอรสและ ธิดาทุกองค์ไปสร้างเมืองใหม่ สำหรับธิดาของพระองค์นั้น ได้ประทานกริชศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่ง ชื่อ เลลา มิซานี (Lala Misani) ธิดาของพระองค์พร้อมกับมนตรีทั้งสี่เป็นผู้ใหญ่คุ้มครอง ได้ยกไพร่พลไปทางทิศตะวันออกข้ามเขาลงห้วย จนถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง ไม่ไกลทะเลมากนัก ก็ตั้งเมือง เมืองนั้นเรียกว่า"ปตานี"ตามนามกริชมิซานี ที่บิดาประทานให้ ตามพงศาวดารปัตตานี ระบุว่า กษัตริย์แห่งเมืองมะลีไก (มหาลีกัย หรือ โกตามะฮลิฆัย Kota Mahligai) มีพระนามว่าพญา ตู กรุบ มหายาน(หรือมหาชนะ) มีราชโอรสสืบบัลลังก์ต่อมา มีพระนามว่า พญา ตู นักปา (Tu Nakpa หรือพญาตูอันทิรา,พญาอันทิรา ,พญาตู อันตารา ,ศรีอินทรา ) วันหนึ่ง พญาตูนักปาไปล่าสัตว์ จนถึงชายทะเล พบกระท่อมหลังหนึ่งมีตายายสองคนอาศัยอยู่ ตาคนนั้นชื่อ ปะตานี ต่อมาพระองค์ทรงเห็นว่า สถานที่นั่นทำเลเหมาะที่จะสร้างเมือง จึงให้ย้ายจากเมืองมะลีกัยมาตั้งที่ตรงนั้น โดยใช้ชื่อเมืองนั้นว่า "ปตานี" ตามชื่อเจ้าของกระท่อมที่พระองค์ทรงพบ ศาสนาอิสลามเข้ามาสู่ดินแดนปัตตานี แต่เดิมชาวปัตตานีนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน

ต่อมาศาสนาอิสลามเข้ามายังบริเวณปัตตานีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ประวัติศาสตร์ ของรัฐกลันตันระบุว่าในราว พ.ศ. ๑๘๙๓ (ค.ศ. ๑๑๕๐) มีคนมุสลิมจากปัตตานีคนหนึ่งไปเผยแพร่อิสลามในเมืองนั้น ซึ่งแสดงว่าศาสนาอิสลามได้เข้ามาทางปัตตานีก่อนจะสร้างเมืองมะละกาถึง ๒๐๐ ปี นักประวัติศาสตร์ชื่อ d'Eredia เขียนไว้ว่า ศาสนาอิสลามเข้ามายังปัตตานีและปะหังก่อน แล้วจึงเข้าไปสู่มะละกา หลังจากที่ พ่อค้าชาวอาหรับเป็นผู้นำอิสลามเข้ามาเผยแพร่ในปัตตานีประมาณ ๓๐๐ ปีแล้ว เจ้าเมืองปัตตานี จึงเข้ารับนับถือศาสนา อิสลาม P.W.F Wertheim ใน Book van Bonang ได้เขียนไว้ว่า "เจ้าเมืองปัตตานีไม่เชื่อในศาสนาอิสลาม แต่พ่อค้าปัตตานีเป็นมุสลิม" เมื่อชาวเมืองในแถบนั้นได้เข้ามายอมรับในศาสนาอิสลาม สถูปเจดีย์และสิ่งสักการะในศาสนาอื่นที่ไม่ใช่อิสลามก็ถูกปล่อยปละละเลย ถูกยุคสมัยและกาลเวลากัดกร่อนไป เจ้าเมืองปัตตานีเปลี่ยนจากนับถือพุทธไปนับถืออิสลาม
ราว พ.ศ. ๒๐๔๓ เจ้าเมืองปัตตานีที่ชื่อ พญาตู นักปา หรือตู อันตารา หรือ ราชาอินทิรา (Raja Intira) ซึ่งนับถือพุทธศาสนาได้ล้มป่วยลง โดยมีรอยแตกระแหงตามร่างกาย บางตำราว่าเป็นโรคเรื้อน ซึ่งหมอหลวงชาวปัตตานีรักษาไม่หาย แต่ มีหมอมุสลิมชาวปาซายจากสุมาตรา คนหนึ่งชื่อ เชค ซาอิด หรือ เชค ซาฟียุคดิน (Sheikh Safiuddin) อาสารับจะรักษาโรค โดยมีข้อแม้ว่าเมื่อหายแล้วเจ้าเมืองจะต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม เจ้าเมืองก็ยอมตกลงตามที่หมอมุสลิมผู้นั้นขอ แต่เมื่อรักษาหายแล้วกลับไม่ทำตามสัญญา จนหลายปีต่อมาโรคเก่ากำเริบอีก หมอมุสลิมคนนั้นก็เข้าไปรักษาโดยขอคำมั่นเช่นเดียวกับครั้งแรก เมื่อรักษาหายแล้ว เจ้าเมืองก็บิดพลิ้วอีกตามเคย เมื่อโรคกำเริบเป็นครั้งที่สาม เจ้าเมืองได้ให้คำสาบานว่า "ในคราวนี้ ข้าขอสาบานต่อหน้าพระพุทธรูปที่กราบไหว้อยู่ทุกวันว่า หากข้าบิดพลิ้วอีก ขอให้กลับเป็นโรคเก่าอย่ารู้จักหายอีกเลย" ดังนั้นเมื่อหายจากโรคแล้ว เจ้าเมืองปัตตานีก็เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามพร้อมกับครอบครัว รวมทั้งขุนนางทั้งปวง นับแต่นั้นมา ศาสนาอิสลามได้แพร่หลายในปัตตานีอย่างรวดเร็ว เจ้าเมืองปัตตานีได้เปลี่ยนชื่อเป็น สุลต่าน อิสมาอีล ชาห์ (Sultan Ismail Syah) ตามแบบของอาหรับ โอรสของพระองค์มีนามว่า กรุบ พิชัย ปัยนา เปลี่ยนนามเป็น มุฏ็อฟฟัร ชาห์ ธิดาของพระองค์ที่มีนามว่า ตนกูมหาชัย เปลี่ยน นามเป็น ซีตี อาอีชะฮฺ และโอรสของพระองค์ องค์สุดท้ายมีนามว่า มหาชัยปัยลัง เปลี่ยนนามเป็น มันศูร ชาห์ การเปลี่ยนศาสนาจากพุทธอิสลามของสุลต่านปัตตานีองค์แรกนั้นในพงศาวดารปัตตานี ระบุว่า เพียงแต่ละทิ้งการกินหมูและไม่กราบไหว้พระพุทธรูปเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วยังทำตามประเพณีเดิมทุกประการ บางตำราว่ามีการสั่งให้ทำลายเทวรูป พระพุทธรูป และสร้างมัสยิดขึ้นแทน

พงศาวดารไทยระบุไว้ว่า ในพ.ศ. ๑๙๙๘ สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ “ทรงแต่ทัพให้ไปเอาเมืองมลากา” แต่ตีเมืองไม่สำเร็จ กองทัพมะละกากลับตีหัวเมืองสยามกลับคืน ได้แก่ ปาหัง ตรังกานู กลันตัน และไทรบุรี เมื่อสุลต่านอิสมาอีล ชาห์ สิ้นพระชนม์แล้ว โอรสซึ่งมีนามว่า มุฏ็อฟฟัร ชาห์ ได้ครองเมืองต่อ ส่วนเจ้าหญิง อาอิชะฮฺ ได้อภิเศก กับสุลต่านญะลาลเจ้าเมืองสาย(สายบุรี) ในสมัยนั้นปัตตานีเจริญขึ้นอย่างรวด เร็ว มีพ่อค้าชาวต่างประเทศเข้ามาทำการค้าขายมากมาย ในปี ค.ศ. 1516(พ.ศ. 2059) เฟร์เนาน์ เมนเดส ปินโต(Fernao Mendes Pinto) นักผจญภัยชาวโปรตุเกส ได้เขียนไว้ว่า "ขณะที่ข้าพเจ้ามาถึงปัตตานีนั้น ได้พบกับชาวโปรตุเกสเกือบ 300 คน นอกจากจากนั้น มีชาวตะวันออกอื่นๆ คือสยาม จีน ญี่ปุ่น สำหรับชาวญี่ปุ่นนั้น มีกิจการค้าใหญ่โต" สินค้าที่โปรตุเกสมาค้าขายที่ปัตตานีสมัยนั้นคือ ข้าว ดีบุก งาช้าง กำยาน คราม ครั่ง และไม้ฝาง มีรายงานว่า ในฤดูลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เรือสำเภาจากจีนจะมาจอดที่สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช ปัตตานี และเมื่อถึงฤดูลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มาถึง เรือสำเภาก็จะแล่นใบกลับไปเมืองจีน จักรพรรดิจีนสมัยพญาเลอไทย คือ จักรพรรดิหงวนเสงจงฮ่องเต้ (โอรสกุบไลข่าน) สินค้าไทยที่ส่งออกไปจีนในสมัยนั้น คือ ของป่า ไม้สัก ไม้ฝาง และข้าว ส่วนสินค้าเข้าจากจีน คือ ผ้าแพร ผ้าไหม และภาชนะเคลือบดินเผา ภาษาพื้นเมืองถิ่นปัตตานี ในสมัยก่อนนั้น นอกจากปัตตานีจะเป็นศูนย์กลางทางการค้าแล้วยังเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม ปัตตานีมีภาษาท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งคล้ายคลึงแต่ไม่เหมือนกับภาษามลายูกลางที่ใช้กันแถบเมืองกัวลาลัมเปอร์ ภาษาพื้นเมืองถิ่นปัตตานีนี้ใช้กันแพร่หลายในบริเวณชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ชายแดนภาคเหนือของมาเลเซีย และ ในรัฐอาเจะห์ของอินโดนีเซีย มีการดัดแปลงเพิ่มตัวอักษรอาหรับเพื่อให้สามารถออกเสียงตามเสียงพื้นเมืองท้องถิ่นปัตตานีนี้ได้ เรียกว่า อักษรยาวี ดังนั้นคำว่ายาวีที่แท้จริงนั้นเป็นชื่อของตัวอักษรที่เขียนขึ้นตามสำเนียงเสียงท้องถิ่นปัตตานี มิใช่ชื่อการออกเสียงตามที่คนไทยภาคอื่นเข้าใจกันการที่ประชาชนชาวพื้นเมืองปัตตานี ยะลา นราธิวาส นิยมพูดภาษาพื้นเมืองถิ่นปัตตานี ซึ่งมีโครงสร้างแตกต่างจากภาษาไทยภาคใต้ หรือภาคอื่นๆ ทำให้เกิดความเข้าใจไม่ตรงกันกับคนไทยภาคอื่นๆ ซึ่งไม่เข้าใจสิ่งที่ประชาชนพูดกันบริเวณชายแดนภาคใต้ ทำให้เกิดความพยายามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่จะสอนหรือรณรงค์ให้ประชาชนชายแดนใต้ พูดและอ่านภาษาไทยให้ได้ โดยพยายามจะเข้าไปทางโรงเรียนปอเนาะและมัสยิด แต่ด้วยความไม่เข้าใจลึกซึ้งทางด้านวัฒนธรรม ทำให้เกิดข้อขัดแย้งเมื่อกระทรวงศึกษาธิการพยายามจดทะเบียน และให้สอนวิชาสามัญในปอเนาะ เพราะโต๊ะฆูรู หรือเจ้าของปอเนาะบางคนต้องการสอนเพียงด้านศาสนาอิสลามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2005, 08:29:17 PM โดย Watt » บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 07:56:03 PM »

ปัตตานี นครแห่งสันติ
เมืองปัตตานี เดิมมี ชื่อเรียก ว่า โกตามหลิฆัย คำ โกตา หมายถึง ป้อม กำแพง และเมือง คำ มหลิฆัย นั้น ให้ความหมาย ไว้สองนัย คือหมายถึง ปราสาท ราชมนเทียร อันเป็นที่ ประทับ ของราชวงศ์ ฝ่ายใน ที่เป็นสตรี และอีกนัยหนึ่ง หมายถึง รูปแบบ พระสถูป เจดีย์ ที่เรียกกัน ในเชิงช่าง ศิลปกรรม ว่า "สถูป ทรงฉัตรวาลี" เป็นสถูป แบบหนึ่ง ในศิลปะ สถาปัตยกรรม ทางพุทธ ศาสนา สมัย ศรีวิชัย เมืองโกตามหลิฆัยนี้ ถูกทอดทิ้ง ให้ร้างไป ในสมัย ของพญาอินทิรา เนื่องจาก แม่น้ำ ลำคลอง หลายสาย ที่เคยใช้ เป็นเส้นทาง คมนาคม ระหว่าง เมืองโกตามหลิฆัย กับทะเล ได้ตื้นเขิน ทำให้ไม่สะดวก ในการ ลำเลียง สินค้า เข้าออก ติดต่อ ค้าขาย กับพ่อค้า ต่างประเทศ ปี พ.ศ.๒๐๑๒ ถึง พ.ศ.๒๐๕๗พญาอินทิรา จึงย้ายเมือง โกตามหลิฆัย ไปสร้างเมืองขึ้นใหม่ บนบริเวณ สันทรายปากอ่าว เมืองปัตตานี อยู่บริเวณ หมู่บ้านบานา อำเภอเมือง ปัตตานี ในปัจจุบัน ประจวบกับ พญาอินทิรา ได้เปลี่ยน ศาสนา จากการ นับถือ ศาสนาพุทธ มารับ ศาสนา อิสลาม จึงให้นามเมือง ที่สร้างใหม่ เป็นภาษาอาหรับว่า “ฟาฎอนีย์ ดารุซซาลาม”หรือ "ปัตตานี ดารัสสลาม" แปลว่า "ปัตตานี นครแห่งสันติ" คล้ายคลึงกับชื่อประเทศ “บรูไน ดารุสสลาม” ซึ่งแปลว่า “บรูไน นครแห่งสันติ”

คำ "ปัตตานี" นี้ อาจจะมาจากคำ "ปฺตตน" ในภาษา สันสกฤต แปลว่า เมือง นคร กรุง ธานี ดังจะเห็น ได้จาก ชื่อเมืองหนึ่ง ของ อินเดียใต้ สมัย โบราณ คือเมือง "นาคปตฺตน" เมืองภัทรปตฺตน ในศิลา จารึกสดอกก๊อกธม ของเขมร และ ชื่อของผู้ว่าราชการ เมืองปัตตานี สมัยหนึ่ง ก็มีนามว่า "อำมาตย์ศรีพระปัตตนบุรี ศรีสมุทรเขต (เป๋า สุมนดิษฐ) อีกทั้ง ชื่อของ โรงเรียน สตรี ประจำ

จังหวัด ปัตตานี ที่ตั้งขึ้น ในสมัยนั้น ก็ได้รับ การขนาน นามว่า "โรงเรียน สตรี เดชะ ปัตตนยานุกูล" คำว่า “ปะฏานี”ในภาษาอาหรับ แปลว่า นักปราชญ์ ในภาษาบาลี สันสกฤต “ปตานี” แปลว่าหญิงที่เป็นใหญ่ ส่วนในภาษามลายูนั้น “ปะตานี”หมายถึงชาวนา

ราชวงศ์ศรีวังษา
ด้านเมืองปัตตานี ภายหลังจากพญาอินทิรา (INDIRA)ได้ขึ้นครองเมืองในระหว่างปี พ.ศ.๒๐๔๓ - ๒๐๗๓ และได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อจากพญาอินทิรา เป็น สุลต่าน อิสมาแอล ชาห์ ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์ศรีวังษา ผู้นำองค์สุดท้ายของราชวงศ์ศรีวังษาที่ปกครองปัตตานี คือ รายากูนิง (RAJA KUNING) ที่ปกครองปัตตานีในระหว่างปี พ.ศ.2178 – 2194 สุลต่านปัตตานีมากรุงศรีอยุธยา

ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๗๓-๒๑๐๗ สุลต่าน มุฏ็อฟฟัร ชาห์ (ศรีสุลต่าน) ครองเมืองปัตตานี พระองค์ได้เสด็จมายังกรุงศรีอยุธยาเพื่อเปิดสัมพันธภาพกับประเทศไทย พงศาวดารปัตตานี ระบุว่าสุลต่านได้ถาม สมุหนายกของพระองค์ว่า "ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างถ้าเราจะไปอยุธยาเพราะพระเจ้ากรุงสยามนั้นมิใช่อื่นจากเรา อีกอย่างหนึ่งการที่สองประเทศ อยู่ด้วยกัน ดีกว่าเราอยู่อย่างโดดเดี่ยว" บรรดามนตรีก็เห็นดีด้วยเพราะจะทำให้ ฐานของพระองค์ สูงยิ่งขึ้นในสายตาของเมืองอื่นๆ พงศาวดารไทยเขียนไว้ว่า ใน พ.ศ. ๒๑๐๖ เมื่อพระเจ้าบุเรงนองของพม่า ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา  พระยาตานีศรีสุลต่าน หรือ สุลต่าน มุชาฟาร์ ชาห์ (Sultan Muzafar Syah) ยกทัพเรือหย่าหยับ ๒๐๐ ลำจากปัตตานี มาช่วยกรุงศรีอยุธยารบกับพม่า พระยาตานีศรีสุลต่านเห็นทหารอยุธยาไม่เข้มแข็งจึงเป็นกบฏยกกำลังเข้าไปยึดพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิต้องทรงลงเรือศรีสักหลาดหนีไปเกาะมหาพราหมณ์ แต่พวกทหารอยุธยารวมกำลังกันไล่พวกพระยาตานีลงเรือหนีกลับไปสมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงเสด็จกลับวังได้ สุลต่านมุชาฟาร์ สิ้นพระชนม์ ขณะเดินทางกลับ สุลต่านองค์นี้คือผู้ที่สร้างมัสยิดกรือแซะที่ปัตตานี สุลต่านที่มีชื่อเสียงของปัตตานี องค์หนึ่งคือ มันศูรฺ ชาห์ หรือ มันโซร์ ชาห์ (Sultan Mansur Syah) โอรสองค์ที่สาม ของสุลต่าน อิสมาเอล ชาห์ ครองเมืองปัตตานี อยู่ แปดปีระหว่าง พ.ศ. 2107-2115  ( ค.ศ. 1564-1572) พระองค์มีโอรสและธิดารวมทั้งสิ้น 6 องค์ คือ เจ้าหญิงฮิเยา,เจ้าหญิงบีรู,เจ้าหญิงอูงู,เจ้าหญิงอามัส กรันจัง,เจ้าชายบะฮฺดูร และเจ้าชายบีมา (โอรสจากมเหสีคนที่ 2 ) เจ้าหญิงอูงู อภิเษก กับสุลต่านเมืองปะหัง ส่วนอามัส กรันจัง สิ้นชีวิตขณะที่ยังเล็ก ก่อนที่สุลต่านมันศูรชาห์ จะสิ้นชีวิต พระองค์ได้ทรงสั่งเสียว่าขอให้ แต่งตั้งเจ้าชาย ปาติกสยาม โอรสของมุฏ็อฟฟัรฺ ชาห์ พระชนม์ ๕ พรรษา ขึ้นครองราชย์ต่อ

การนองเลือดในวังปัตตานี ระหว่าง พ.ศ. 2115-2127 (ค.ศ.1572-1584)
การที่สุลต่านมันศูรฺ ชาห์ ยกราชสมบัติให้ปาติกสยาม (Patik Siam)ขึ้นครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๑๕-๒๑๑๖ นั้น ทำให้ราชาบัมบัง (Raja Bambang)โอรสของมุฏ็อฟฟัรฺ ชาห์ ที่ประสูติจากมเหสีองค์ที่ 2 ไม่พอใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนั้น ปาติกสยามยังทรงพระเยาว์อยู่อยู่ ส่วนราชาบัมบังนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ในขณะที่สุลต่านมันศูรฺ ชาห์ยังมีชีวิตอยู่นั้นเจ้าเมืองสายพี่เขยของ พระองค์ที่มีนามว่า ราชาญะลาลได้สิ้นชีวิตลง พระองค์จึงแต่งตั้งให้ขุนนางคนหนึ่งไปเป็นเจ้าเมืองแทน และเชิญให้พระนางอาอิชะฮฺพี่สาวของพระองค์เสด็จกลับไปอยู่เมืองปัตตานี เมื่อปาติกสยามขึ้นครองราชย์ พระนางอาอิชะฮฺจึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สุลต่านปาติกสยาม ครองราชย์ไม่ถึงหนึ่งปี เหตุการณ์นองเลือดครั้งแรกในราชวังปัตตานีก็เกิดขึ้น คือวันหนึ่งราชาบัมบัง พี่ชายต่างมารดา ของพระองค์เข้าไปในราชวัง เมื่อพระนางอาอิชะฮฺเห็นท่าทางของราชาบัมบังไม่ค่อย น่าไว้ใจ จึงเข้าไปป้องกันสุลต่านปาติกสยาม ราชาบัมบังจึงแทงทั้งพระนางและองค์สุลต่าน ปาติกสยาม ทั้งสองพระองค์พร้อมกัน เมื่อข่าวการสิ้นพระชนม์ แพร่ในวังแล้ว จึงมีการจับตัวราชาบัมบังมาประหารชีวิต เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1573 โอรสของสุลต่าน มันโชร์ ชาห์ ชื่อ บาฮาดูร์ ชาห์ ขึ้นครองเมืองแทน

ต่อมาในปี ค.ศ. 1584 ประวัติศาสตร์ปัตตานีซ้ำรอยอีก กล่าวคือ วันหนึ่งตอนเช้ามืดขณะที่ องค์สุลต่าน บาฮาดูร์ ชาห์ ตื่นจากบรรทมและออกไปที่ประตูพระราชวัง เจ้าชายบีมา พี่ชายต่างมารดาของพระองค์ ก็เข้าไปแทงพระองค์ทันที ทำให้องค์สุลต่านสิ้นชีวิต แล้วเจ้าชายบีมาก็ถูกปลงพระชนม์ ในขณะที่ขี่ช้างหนีออกจากพระราชวัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2005, 08:33:46 PM โดย Watt » บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 08:02:04 PM »

สมัยรานีหญิง
สมเด็จ พระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรง ราชา นุภาพ ทรงทำคำ อธิบาย เรื่องเมือง ปัตตานี ไว้ตอนหนึ่ง ความว่า "จดหมายเหตุ เก่าหลายเรื่องที่พวกพ่อค้าฝรั่ง ซึ่งไปมา ค้าขาย ครั้งแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ตลอดจน แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้จดไว้ กล่าวต้องกันว่าประเพณี

การปกครอง เมืองปัตตานี มีการเลือก ผู้หญิง ในวงศ์ตระกูล เจ้าเมือง ซึ่งมี อายุมาก จนพ้นเขต ที่จะ มีบุตร ได้ เป็นนางพระยา ว่าราชการเมือง สืบๆ กันมา ประเพณี อย่างนี้ ใช้ใน บางเมือง ในเกาะ สุมาตราก่อน แล้วพวกเมือง ปัตตานี จึงเอาอย่าง มาใช้ เพิ่งเลิก ประเพณีนี้ในชั้น กรุงศรี อยุธยา เป็นราชธานี ในตอนหลัง" ประวัติเมือง ปัตตานี ฉบับอักษรยาวี ของนายหะยีหวันอาซัน บันทึกว่า เมืองปัตตานี ปกครองโดยเจ้าหญิง เป็นครั้งแรก ในสมัย อยุธยา ระหว่างปี พ.ศ.๒๑๒๗ จนกระทั่ง ถึงปี พ.ศ.๒๒๒๗ ติดต่อ กัน ๔ องค์ด้วยกัน เจ้าหญิง องค์แรก ไก้แก่ เจ้าหญิง ฮียา (เจ้าหญิงเขียว) องค์ที่ ๒ ชื่อเจ้าหญิงบีรู (เจ้าหญิงน้ำเงิน) องค์ที่ ๓ เจ้าหญิงอูงู (เจ้าหญิงม่วง) องค์ที่ ๔ เจ้าหญิงกูนิง (เจ้าหญิงเหลือง) ซึ่งเป็น เจ้าหญิง องค์สุดท้าย แห่งวงศ์ โกตามหลิฆัย หลังจากสุลต่านบะฮฺดูรสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่มีรัชทายาทที่เป็นชายองค์ใดที่จะขึ้นครองเมืองต่อ ด้วยเหตุนี้เมืองปัตตานีจึงมีรานีครองเมืองหลายสมัย องค์แรกคือรานีฮิเยาขึ้นครองเมืองใน ค.ศ.1584 สมัยราชินีองค์นี้ มีการขุดคลองชลประทานหลายสาย กิจการค้าเจริญรุ่งเรือง ชาวต่างประเทศเข้ามาค้าขายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวโปรตุเกสและฮอลันดา ชาวเยอรมันคนหนึ่งชื่อ Mandel Slohe ไปถึงปัตตานีสมัยนั้น ได้บันทึกว่า "เมือง ปัตตานีเป็นเมืองที่บริบูรณ์"

ชาวปัตตานีสามารถรับประทานผลไม้หลายชนิดในทุกๆ เดือน ไก่ที่นี่ ออกไข่วันละ2ครั้ง  มีข้าวมากมีเนื้อหลายชนิดเช่น เนื้อวัว แพะ ห่าน เป็ด ไก่ ไก่ตอน นกยูง เนื้อกวางแห้ง กระจง  และนกต่างๆ และผลไม้เป็นร้อยๆ ชนิด" ซึ่งแสดง ถึงปัตตานีในสมัยนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมาก รานีฮิเยา ครองเมือง ถึงปี ค.ศ.1616 ก็สิ้นพระชนม์ ชาวปัตตานีรุ่นหลังๆขนานนามพระนางว่า"มัรหูมตัมบังงัน"เนื่องจากพระนางเป็นผู้ให้ขุดคลอง จากบ้านกรีเซะไปยังท่าเรือตัมบังงัน เมื่อรานีฮิเยาสิ้นพระชนม์แล้ว รานีบิรูขึ้นครองเมืองต่อ ในสมัยนี้เอง องค์สุลต่านอับดุลเฆาะฟูรฺแห่งปะหังได้สิ้นพระชนม์ลง รานีบีรูจึงส่งคนไปรับเจ้าหญิงอูงูที่เป็นชายาของสุลต่านปะหังกลับมาอยู่ที่ปัตตานีพร้อมกับบุตรีที่ได้กับสุลต่านปะหัง รานีบีรูได้สั่งให้หล่อปืนหลายกระบอกเพื่อต้านศัตรู ปืนที่ใหญ่ที่สุดมี 3 กระบอก โดยมีชาวจีนฮกเกี้ยน แซ่ หลิม (หลิมโต๊ะเคี่ยม)พี่ชาย ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นนายช่างหล่อ ปืนใหญ่สองกระบอกแรกชื่อ "ศรีนาฆารา"(ศรีนคร) และ (ศรีปัตตานี) ยาว 3 วา 1 ศอก 1 คืบ 1 นิ้ว กระบอกที่สามเล็กสุดชื่อ"มหาลาลอ" หรือ "มหาเลลา" ยาว 5 ศอก 1 คืบ 9 นิ้ว

ต่อมาในปี 1624 รานีบีรูสิ้นพระชนม์ รายาอูงูขึ้นครองราชย์ต่อ ชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) มาเยือนปัตตานีสมัยนั้น ได้เขียนว่า"เมืองปัตตานีมี 43 แคว้น รวมถึงตรังกานูและกลันตัน แต่เมื่อโอรสของสุลต่านยะโฮร์ได้อภิเษกกับราชธิดาของรายาปัตตานี เมือง ตรังกานูก็เข้าไปอยู่ภายใต้การปกครองของยะโฮร์ สุลต่านยะโฮร์ได้ส่งขุนนางคนหนึ่งไปครองที่นั่น ปัตตานี จึงเหลือเพียง 42 แคว้น....ปัตตานีมีเมืองท่าสองแห่งคือ กวาลาปัตตานี(เดี๋ยวนี้ชาวบ้านเรียกว่ากวาลารา หรือกวาลาโต๊ะอาโก๊ะ) และกวาลาบึเกาะฮฺ(ปากน้ำปัตตานีปัจจุบัน...)

พลเมืองปัตตานีในขณะนั้น มีชาย ผู้มีอายุเกิน 16 ปี รวมทั้งสิ้น 150,000 คน เมืองปัตตานีมีผู้คนหนาแน่น เต็มไปด้วยบ้านเรือน นับเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง จากประตูราชวังจนถึงหมู่บ้านบานา(บันดัร)มีบ้านเรือนไม่ขาดไม่สาย ถ้าหากแมวตัวหนึ่งเดินบนหลังคาบ้านเหล่านั้น จากราชวังจนถึงปลายสุด มันจะเดินได้ตลอดโดยไม่จำเป็นต้องเดินบนพื้นดินเลย..." ในปี ค.ศ. 1635 รานีอูงูสิ้นพระชนม์ และรานีกูนิงขึ้นครองเมืองปัตตานีต่อ สมัยเลือกสุลต่าน รานีกูนิงสิ้นพระชนม์ในราวปี ค.ศ. 1688 หลังจากนั้นไม่มีทายาทองค์ใดในราชวงศ์ศรีวังษาที่จะเป็นสุลต่านหรือรายาได้อีก ฝ่าย ขุนนางจึงตั้ง บาการ์(บากัล) ซึ่งเป็นเชื้อสายสุลต่านกลันตันและเป็นขุนนางคนหนึ่งของปัตตานี อยู่ที่หมู่บ้าน"ตะโละ" ให้เป็นสุลต่าน แต่สุลต่านองค์นี้ครองปัตตานีได้เพียง 2 ปีก็สิ้นพระชนม์(ค.ศ. 1690) ชนรุ่นหลังขนานนามสุลต่านองค์นี้ว่า "มัรฮูม ตะโละ"ต่อมา บรรดาขุนนางได้เชิญโอรสของสุลต่านกลันตันมาเป็นสุลต่าน
มีนามว่า อามัส กลันตัน ครองราชย์เป็นเวลา 17 ปี (1690-1707) ก็สิ้นพระชนม์ คนรุ่นหลังขนานนามว่า"มัรฮูมกลันตัน" โอรสของพระองค์ที่มีนามว่า อามัส จายัม ขึ้นครองเมืองต่อ แต่ครองอยู่เพียงสามปี(1707-1710)ก็ถูกขับจากตำแหน่งและแต่งตั้ง รานีเดวีขึ้นครองเมืองอยู่ 9 ปี(1710-1719) ก็อำลาจากบัลลังก์ บรรดา ขุนนางจึงแต่งตั้ง สุลต่านแห่งบึนดัง บาดัน ขึ้นครองเมือง อยู่ 4 ปี(1719- 1723) ถูกขุนนางคนหนึ่งชื่อ ลักษมะนาแห่งดายัง ขับจากตำแหน่ง และตั้งตัวเองเป็นสุลต่าน ปัตตานี แต่สุลต่านลักษณมะนาครองเมืองอยู่เพียง 11 เดือน ก็ถูกขุนนางอื่นๆ ขับ อีกและอัญเชิญสุลต่าน อามัส จายัม จากกลันตันซึ่งเคยครองเมืองมาแล้วในระหว่างปี ค.ศ. 1707-1710 ขึ้นครองเมืองปัตตานีอีกครั้งหนึ่ง สุลต่าน อามัส จายัม ครองเมืองอยู่ 2 ปี (1724-1726) ก็สิ้นพระชนม์ สุลต่าน อาลุง ยูนุส ขึ้นครองเมืองปัตตานีแทน มัสยิดกรือเซะ ซึ่งขณะนี้ยังสร้างไม่เสร็จก็เป็นมัสยิดที่สร้างในสมัย สุลต่าน อาลุง ยูนุสนี้เอง

สุลต่าน อาลุง ยูนุส ครองเมืองอยู่ 11 เดือนก็เกิดสงครามกลางเมือง ก็สิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1729 หลังจากนั้นบรรดาขุนนางต่างๆก็ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร เมืองปัตตานีจึงไร้สุลต่านผู้ครองเมืองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนถึงต่อมา ขุนนางคนหนึ่งอยู่ที่บ้านดาวัย(เดี๋ยวนี้อยู่ในอำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี) มีอิทธิพลขึ้นมา และตั้งตนเป็นผู้นำ ขนานนามว่า สุลต่านมุฮำหมัด เมืองปัตตานีนับแต่สมัยสุลต่านบาการ์เป็นต้นมาไม่มีศัตรูจากต่างประเทศมารบกวน เพราะสมัยนั้นประเทศใกล้เคียงกำลังปั่นป่วน มีการขบถและแย่งอำนาจ และเกิดสง ครามกลางเมืองขึ้นอีกด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2005, 08:31:46 PM โดย Watt » บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 08:09:41 PM »

เมื่อปัตตานีอยู่ในราชอาณาจักรไทย ปัตตานี เป็นส่วนหนึ่ง ของราชอาณาจักรสยาม มาตั้งแต่ กรุงสุโขทัย ในรูปของประเทศราช เนื่องจากได้นครศรีธรรมราช เป็นประเทศราช ปัตตานี ซึ่งเป็นประเทศราช ของนครศรีธรรมราช จนตกอยู่ในอิทธิพลของสุโขทัยด้วย โดยมีนโยบายให้นครศรีธรรมราช คอยควบคุม ดูแล นโยบาย การเมือง ของปัตตานี อยู่อย่างหลวมๆ เพื่อมิให้ เจ้าผู้ครองนคร เอาใจ ออกห่าง เอนเอียง ไปข้าง ประเทศอื่นที่จะนำภัย มาสู่ ความมั่นคง ของ ราชอาณาจักร ดังจะ เห็น ได้จาก คำกล่าวของ โทเมปีเรส์ ชาวโปรตุเกส ว่า "ผู้เป็นใหญ่ (ในการ บังคับ บัญชา ราชอาณาจักร) รองลง มา(จาก พระเจ้า แผ่นดิน) คืออุปราช แห่งเมืองนคร เรียกกัน ว่า "พ่ออยู่หัว" (Poyobya) เขาเป็นผู้ว่าราชการ จาก ปาหัง ด้วย " หน้าที่ ของประเทศราช ที่มีต่อ ราชธานี ก็คือ การช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน ในการ ทำสงคราม กับ อริราช ศัตรู ที่ มา รุกราน และ ส่ง เครื่องราช บรรณาการ ดอกไม้ ทองเงิน ถวาย แก่ พระมหากษัตริย์ เป็นการ ถวาย ความจงรักภักดี ๓ ปีต่อครั้ง ส่วน อำนาจการปกครอง ภายในเมือง นั้นๆ เจ้าผู้ครอง นคร มีอิสระ ที่จะ ดำเนินการ ใดๆ ได้ ภาย ใต้ ตัวบท กฎหมาย และ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของแต่ละ ท้องถิ่น แต่ ไม่มีสิทธิ อำนาจ ในการทำ สนธิ สัญญา ใดๆ กับต่างประเทศ ก่อนจะได้รับ ความเห็นชอบ จากราชธานี เมืองปัตตานีได้รวมเข้าเป็นหนึ่งในอาณาจักรอยุธยา เพราะอาณาจักร์ตามพรลิงค์(นครศรีธรรมราช)ได้เข้ารวมกับอาณาจักรอยุธยา มีการส่งบุหงามาศหรือดอกไม้เงินดอกไม้ทองเข้ามาเป็นเครื่องบรรณาการ ๓ ปีต่อครั้ง แต่เมื่อ่ใดที่กรุงศรีอยุธยาอ่อนแอ ก็มักจะเกิดการแข็งเมืองอยู่เป็นประจำ

มีการก่อกบฏขึ้นในพ.ศ. ๒๑๐๖ สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๗ สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระราช พงศาวดาร กรุงศรีอยุธยา ทุกฉบับ เรียกเมือง ปัตตานี ว่าเมืองตานี เรียกเจ้า ผู้ครอง นครปัตตานีว่า "พระยา ตานี ศรีสุลต่าน" บ้าง "นางพระยา ตานี" บ้าง
พ.ศ. ๒๑๔๔ (ค.ศ. ๑๖๐๑) ชาวฮอลันดา เริ่มเดินทางมาทางแหลมมลายูและปัตตานี มีการเขียนรายงานของฮอลันดาไว้ว่า ได้พบเรือสยามที่ไปค้าที่ปัตตานี พ.ศ. ๒๑๔๙ (ค.ศ. ๑๖๐๖) พ่อค้าชาวฮอลันดาเข้ามาติดต่อค้าขายในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ โดยสร้างคลังสินค้าขึ้นที่ปัตตานีและอยุธยา

พ.ศ. ๒๑๗๙ (ค.ศ. ๑๖๓๖) บริษัทการค้าฮอลันดาส่งเรือรบ ๖ ลำ มาช่วยสยามโจมตีปัตตานี ที่แข็งเมือง โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ต้องให้ฮอลันดาผูกขาดซื้อหนังกวางและไม้ฝางเพื่อส่งไปขายต่างประเทศแต่ผู้เดียว เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๑๙๔ วันวลิต หรือ ฟานฟลีต พ่อค้าชาวฮอลันดา ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พร้อมกับ นายฟอน ซัม และนายมูรไดต์ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงโปรดกระจกเงาบานใหญ่ที่วันวลิตนำไปถวายมาก พระราชทานช้างมีชีวิตให้ ๒ เชือกเพื่อส่งลงเรือไปปัตตาเวีย ต่อมาวันวลิตได้เดินทางไปปัตตานีและเข้าเฝ้านางพญาปัตตานี เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๑๙๕

ปัตตานีสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ในปี พ.ศ.๒๓๑๐ เมื่อตอนที่กรุงศรีอยุธยาแตกนั้น ปัตตานีได้ตั้งตัวเป็นอิสระเช่นเดียวกับชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ สมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สมเด็จกรมพระราชบวรมหาสุรสิงหนาท พระยากลาโหมราชเสนา และพระยาราชบังสัน ได้ยกทัพสยาม ราว ๒๐,๐๐๐ คนทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งใช้เรือใบสำเภามีพลแจว รุกเข้าไปยังเมืองตานี กลันตัน ตรังกานู เคดาห์(เกอดะห์หรือไทรบุรี) และปีนัง (เกาะหมาก) ทำให้ปัตตานีเข้าอยู่ในอาณาจักรสยามอีกครั้ง สุลต่านมะหะหมัดหนีไปเมืองรามัณห์และสิ้นพระชนม์ในสนามรบ วังเจ้าเมืองและ มัสยิดกรือแซะอันศักดิ์สิทธิ์ถูกเพลิงไหม้ ต่อจากนั้นกองทัพสยามได้นำชาวปัตตานี และชาวมลายูทางใต้จำนวนนับแสนคนมาอยู่รอบกรุงเทพ คนมลายูพวกนี้ได้เป็นกำลังสำคัญในการขุดคลองแสนแสบเพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงทหารไปยังกัมพูชา เมื่อขุดคลองเสร็จก็ตั้งบ้านเรือนทำนาเลี้ยงแพะวัวควาย และขายข้าวหมกไก่ โรตี มะตะบะ อยู่ในบริเวณสองฟากคลองแถบหนองจอก มีนบุรี และ แปดริ้ว จนถึงปัจจุบัน สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงตั้ง ตนกู ลับมิเด็น (ตนกูละมีดีน หรือ ตนกู เกาะมะรุดดีน)ซึ่งเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองปัตตานีเก่า เป็นรายาหรือเจ้าเมืองปัตตานีคนใหม่ แต่ให้อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าเมืองสงขลา ส่วนพระยาไทร พระยากลันตัน และ พระยาตรังกานู นั้นขอร่วมเป็นขัณฑสีมาต่อกรุงเทพฯ โดยดี ปืนใหญ่ที่กองทัพไทยนำลงเรือสำเภามาจากปัตตานีในสมัยนั้น มีสองกระบอกด้วยกันคือกระบอกที่มีชื่อว่า "ศรีปัตตานี" กับ "กับศรีนาฆารา" ปืนใหญ่ที่ ชื่อ"ศรีนาฆารา ได้ตกลงไปในน้ำทะเลที่ท่าเรือหน้าเมืองปัตตานีระหว่างการขนส่งขึ้นเรือ ส่วนปืนใหญ่ "ศรีปัตตานี"ยาว ๓ วา ๑ ศอก ๑ คืบ ๒ นิ้วกึ่งกระสุน ๑๑ นิ้ว หล่อด้วยสำริดนั้น ได้จารึกนามลงไว้ที่กระบอกปืนว่า “พระยาตานี” โดยตกแต่ง ลวดลายท้ายสังข์ขัดสีใหม่ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่หน้ากระทรวงกลาโหม กรุงเทพ


พ.ศ. ๒๓๒๙ สมัยรัชกาลที่ ๑ สยามเสียเกาะหมาก(ปีนัง) ให้อังกฤษ เพราะสุลต่านไทรบุรียกเมืองให้อังกฤษเพื่อให้พ้นจากการปกครองของสยาม

พ.ศ. ๒๓๓๒ ปีระกา พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ระบุว่า องเชียงสือ กษัตริย์ญวน ส่งหนังสือมากราบทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ว่า รายาเมืองตานี ให้นักกุดาสุงถือหนังสือชักชวนให้ยกทัพมาตีกรุงเทพฯ เพราะมีความพยาบาทอยู่กับกรุงเทพมหานครศรีอยุธยา แต่องเชียงสือมีความจงรักภักดีระลึกพระคุณเมื่อครั้งหนีพวกไกเซินมาอยู่กรุงเทพฯ ดังนั้นจึงทรงให้พระยากลาโหมราชเสนาเป็นแม่ทัพเรือยกไปตีเมืองตานีรายาเมืองตานีสู้มิได้ลงเรือหนีไป แต่ถูกจับได้ในกุฎีพระสงฆ์ในวัดแห่งหนึ่ง แล้วถูกนำตัวไปจำคุกไว้
พ.ศ. ๒๓๓๔ พวกเซี๊ยะ ซึ่งอยู่นอกพระราชอาณาเขต ได้ยกกำลังไปโจมตีเมืองสงขลา กรมการเมืองสู้ไม่ได้หนีไปอยู่เมืองพัทลุง พระยาศรีไกรลาศเจ้าเมืองพัทลุงหนีเข้าป่าไม่คิดต่อสู้ ทางกรุงเทพ ได้ส่งกำลังจากนครศรีธรรมราชไปช่วยสงขลา โจมตีพวกเซี๊ยะแตกพ่ายไป ส่วนพระยาพัทลุงถูกปลดและจำคุก
 
พ.ศ. ๒๓๕๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกฯ ทรงมอบให้เจ้าเมือง สงขลา เป็นผู้ ควบคุม ดูแล เมืองปัตตานี แทนเจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช พ.ศ. ๒๓๕๒ ไทรบุรีส่งทหารไปช่วยสยามรบกับพม่าที่เมืองถลาง แบ่งปัตตานีเป็น  ๗  หัวเมือง 

สมัยรัชกาลที่ ๒ ในพ.ศ. ๒๓๕๑ สมัยรัชกาลที่ ๒ ที่พระยายะหริ่ง (นายพ่าย) เป็นเจ้าเมือง ปัตตานี นั้น ได้แบ่งปัตตานีออกเป็นเมืองเล็กๆ เมือง เรียกว่า "บริเวณ 7 หัวเมือง" คือเมืองปัตตานี,หนองจิก,ยะหริ่ง,สายบุรี,ยะลา,รามัน และ ระแงะ โดยให้คนมลายูพื้นเมืองเป็นเจ้าเมือง ๖ เมือง คงมีคนไทยพุทธปกครองเพียงเมืองเดียว ดังนี้
1. ปัตตานี แต่งตั้งตวนสุหลง (ตูวันซูลง) เชื้อสายของดาตูปังกาลัน เป็นเจ้าเมือง
2. หนองจิก แต่งตั้งตวนนิ (ตูวันนิก) เป็นเจ้าเมือง
3. ยะหริ่ง แต่งตั้งนายพ่าย ซึ่งเป็นคนไทยพุทธ เป็นเจ้าเมือง
4. สายบุรี แต่งตั้งนิดะห์ (ขุนปลัดกรมการ) บ้านอยู่ที่ยี่งอเป็นเจ้าเมือง
5. ยะลา แต่งตั้งตวนยลอ (ตูวันยลอร์) เป็นเจ้าเมือง
6. รามัณห์ แต่งตั้งตูวันมันศูรฺ (ตวนหม่าโรฺส) ญาติของตวนยลอ บ้านอยู่ที่ โตาบารู เป็นเจ้าเมือง
7. ระแงะ แต่งตั้งนิเด๊ะ น้องนิดะห์ (เจ้าเมืองสายบุรี) เป็นเจ้าเมือง พระยายะหริ่ง (นายพ่าย) มีอำนาจควบคุมเมืองอื่นๆ อีกหกเมือง และขึ้นต่อเมืองสงขลา ต่อมาสมัยที่ต่วนสุหลงเป็นเจ้าเมืองปัตตานี ได้สร้างมัสยิดกรือเซะต่อจากที่ได้สร้างไว้แล้ว แต่ก็ยังสร้างไม่เสร็จจนถึงทุกวันนี้ พ.ศ.๒๓๕๖ สมัย ร.๒ พระยา กลันตัน ทะเลาะ กับพระยา ตรังกานู แล้วพระยา กลันตัน ขอไป ขึ้นกับ เจ้าเมือง นครศรี ธรรมราช พ.ศ. ๒๓๖๐ (ค.ศ.๑๗๑๗) ตวนยลอเมืองยะลาสิ้นชีวิต ตวนบางกอก ผู้เป็นบุตรขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2005, 08:36:54 PM โดย Watt » บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 08:16:00 PM »

สงครามสมัยรัชกาลที่ ๓
ในปี พ.ศ. ๒๓๗๕ (ค.ศ.๑๘๓๒ ) สมัยรัชกาลที่ ๓ สยามได้ยกทัพไปตีปัตตานีอีกครั้งหลังจากเกิดความวุ่นวาย โดยนำ เชลยศึกไม่น้อยกว่า 4,000 คน มาอยู่ที่สนามควาย (ถนนหลานหลวง)
ในกรุงเทพฯ ดังนั้นบริเวณดังกล่าวจึงเป็นแหล่งละครชาตรี และหนังตะลุงจากปักษ์ใต้ จากนั้นไม่กี่ปี นายพ่ายเจ้าเมืองยะหริ่งสิ้นชีวิต ทางสงขลาจึงโยกย้ายเจ้าเมืองยะลา(คนต่อมา) คือนายยิ้มซ้าย ให้ดำรง ตำแหน่งเจ้าเมืองยะหริ่งแทนนายพ่าย และแต่งตั้งนายเมืองบุตรนายพ่าย เป็นเจ้าเมืองยะลา

ปี พ.ศ. ๒๓๘๕ (ค.ศ. ๑๘๔๒ ) เกิดสงครามกลางเมืองที่กลันตันระหว่างทายาทเจ้าของเมืองด้วยกัน ไทยได้ส่งพระยาเสน่หามนตรี กับ พระสุนทรนุรักษ์ (บุญส่ง) ไปไกล่เกลี่ย ในระหว่างนั้นนายยิ้มซ้ายเจ้าเมืองยะหริ่งสิ้นชีวิต จึงย้ายนิยูซุฟ(เจ้าเมืองปัตตานีขณะนั้น) ไปเป็นเจ้าเมืองยะหริ่ง และเชิญตนกู มุฮำหมัด (ตนกู บึซาร์ หรือ ตนกูประสา) ซึ่งเกิด ขัดแย้งกับเจ้าเมืองกลันตัน จนเกิดสงครามกลางเมืองดังกล่าแล้ว มาเป็นเจ้าเมืองปัตตานีขนามนามว่า สุลต่าน มุฮำหมัด ตอนแรกสุลต่านมุฮำหมัดไปสร้างวังที่แหลมตันหยง ต่อมาสร้างวังไหม่ที่จะบังติกอ(วังที่มีอยู่เดี๋ยวนี้)

นับตั้งแต่นั้นเมืองปัตตานีจึงมีสุลต่านเชื้อกลันตันปกครองเมืองอีกครั้งหนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ (ค.ศ. ๑๘๕๖)
สุลต่านมุฮำหมัดสิ้นชีวิต ศพของพระองค์ถูกฝังที่สุสานตันหยงดาโต๊ะ ชาวปัตตานีรุ่นหลังจึงขนานนามพระองค์ว่า "มัรหูม ตันหยง" และมีผู้ได้แต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองต่อๆมาหลายรุ่น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๘๘ สมัยรัชกาลที่ ๓ ศูนย์กลางการปกครองของเมืองปัตตานี
ได้ย้ายมาอยู่ที่จะบังติกอ สถานที่สำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ วังจะบังติกอ มัสยิดรายา สุสานโต๊ะอาเยาะ
ย่านถนนหน้าวัง แหล่งผลิตเครื่องทองเหลือง ฯลฯ ตลาดการค้าของเมืองปัตตานี เก่า อยู่ที่หัวตลาดบริเวณอาเนาะรู (ต้นกล้าสน) และถนนปัตตานีภิรมย์ เป็นย่านชาวจีนหรือไชน่าทาวน์ในสมัยนั้น สถานที่ที่สำคัญของชาวจีน คือ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง บ้านทรงจีนของหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง บ้านพระจีนคณานุรักษ์ และบ้านหลวงสุนทรสิทธิโลหะ ฯลฯ

ตั้งพระยาไทรบุรี สมัยรัชกาลที่ ๔
มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๙๘ พระยาไทรบุรี ตวนกู แดอี รายาแห่งเคดะห์ ซึ่งเป็นโอรสของ รายามะระฮุ่ม อดีตรายาแห่งเคดะห์ ได้ทำหนังสือกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าท่านได้ล้มเจ็บด้วยโรคเรื้อรัง จึงขอให้บุตรชายคนโต คือ ตวนกู อาห์มัด เป็นรายาแห่งเคดะห์ แทน ซึ่งได้ทรงอนุญาตตามคำขอ และพระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้ตวนกู อาห์มัด
เป็นพระยา ฤทธิสงครามภักดี ศรีสุรธรรมมหาราชา มุนินวรวงศา พระยาไทรบุรี และทรงตั้งน้องชาย
ตวนกูดิว เป็น พระเคได สวรินทร์ รองผู้ว่าการรัฐเคดะห์

ชายแดนใต้ สมัยรัชกาลที่ ๕
ด้วยลักษณะ รูปแบบ การปกครอง ที่หละหลวม และ การ คมนาคม ที่ห่างไกล จากศูนย์กลางการปกครอง บริเวณชายแดนภาคใต้จึงยากแก่การ ควบคุมจากเมืองหลวง อีกทั้ง ผู้คน ก็มีความ แตกต่างกัน ในทาง วัฒนธรรม ด้านภาษา ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี ดังนั้นเมื่อใดที่ สถานการณ์ เปิดโอกาส บรรดา ดินแดนเหล่านี้ ก็จะหาทางแยกตัวออกเป็น อิสระหรือไม่ ก็หันเห ไปอยู่ ในความปกครองของผู้ที่ เข้มแข็งกว่า เช่น ขณะที่พระเจ้า ปราสาททองทรงขึ้นครองราชย์นั้นเมืองนครศรี ธรรมราช สงขลา และ ปัตตานี ก็พากัน แข็งเมือง ดังนั้น พระบาท สมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ จึง ทรงเล็งเห็น ว่า หากปล่อย ให้มี การปกครอง (แบบกินเมือง) โดยเจ้าเมือง มี อิสระ อย่างเดิม จะเป็นเหตุ ให้พวกอังกฤษ หยิบฉวย โอกาส นำไป เป็นข้ออ้าง ถึงความ ไร้สมรรถภาพ ทางด้าน การปกครอง ของไทย แล้วนำดินแดนไปอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ทั้งนี้ เพราะมี ชาวเมือง รามันห์ เมืองยะหริ่ง เมืองระแงะ ได้ร้องเรียน กล่าวโทษเจ้าเมืองว่า ใช้อำนาจ โดยไม่ชอบธรรม กดขี่ ข่มเหง ราษฎร อยู่เสมอ จึงทรงคิด แผนปฏิรูป การปกครอง นำมาใช้ ปกครอง บริเวณ ๗ หัวเมือง ขึ้นใหม่ ในปี พ.ศ.๒๔๓๙เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลดี ยิ่งขึ้น

พ.ศ. ๒๔๔๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งตั้งให้ พระณรงค์วังษา เป็นเจ้าเมืองรามันห์ ซึ่งมีเรื่องวุ่นวายหนักกว่าเมืองอื่น และเป็นเมืองต่อแขวงที่อาจเกิดความได้เป็นนิตย์ และทรงยกเงินค่าหางข้าวน้ำมันดินให้สำหรับทำบ้าน ทรงตั้งขุนรองมนตรีเป็นขุนราชมนตรี หะยีมะดงเป็นหมื่นศรีปะกุดา มีการจัดตั้งอำเภอแม่หวาดในเมืองรามันห์ขึ้นใหม่ ต่อมาเจ้าเมืองต่างๆทั้ง๗ หัวเมือง ไม่พอใจการปกครองของกรุงเทพฯ เจ้าเมือง ปัตตานี คือตนกูอับดุลกาเดร์ หรือพระยาวิชิตภักดี ได้ขัดขืนพระบรมราชโองการ ไม่ยอมให้เจ้าพนักงานของรัฐบาลสยามมาปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบการปกครองแผนใหม่ พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงทรงปลดตนกูอับดุลกาเดร์ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองปัตตานี และนำตัวไปกักกันบริเวณไว้ที่จังหวัดพิษณุโลก ในปี พ.ศ.๒๔๔๕ เป็นเวลา ๒ ปี ครั้นถึงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๔๔๗ ตนกูอับดุลกาเดร์ได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ กลับมาอยู่เมืองปัตตานีได้ หลังจากนั้น ตนกูอับดุลกาเดร์ ก็อพยพไปอยู่ในรัฐกลันตัน เพราะเป็นญาติกับสุลต่านแห่งรัฐกลันตัน จนกระทั่งถึงแก่กรรมลงในปี พ.ศ.๒๔๗๖ ส่วนเจ้าเมืองระแงะ ถูกเนรเทศไปสงขลา

ในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีเหตุไม่สงบเกิดขึ้นในท้องที่ต่างๆในภาคใต้ โดยมักจะมีผู้กล่าว พาดพิงไปว่า เบื้องหลังของเหตุการณ์ เนื่องมาจากการสนับสนุนของบรรดาเจ้าเมืองเก่าที่เสียผลประโยชน์ แต่อาจจะเป็นผลมาจากความบกพร่องของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองท้องที่อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ดังที่สมเด็จพระ พุทธเจ้าหลวงทรงบันทึกไว้ว่า "เราไม่สันทัดทางพูดและทำ
ในการที่จะปกครองชาติอื่น มันจะตกไปในที่ กลัวไม่ควร กลัว กล้าไม่ควรกล้า ทำในทางที่ไม่ควรจะทำ ใจดีในที่ไม่ควรจะใจดี ถ้าจะใจร้ายขึ้นมาก็ใช้ถ้อยคำไม่พอที่จะ เกลื่อนใจร้ายให้ปรากฏว่าเพราะจะรักษาความสุขและประโยชน์ของคนทั้งปวง ไม่รู้จักใช้อำนาจในที่ควรจะใช้ การที่จะทำได้โดยตรงๆ ก็เกรงอกเกรงใจอะไรไปต่างๆ โดยไม่รู้จักที่จะพูดและหมิ่นอำนาจตัวเอง เมื่อได้เห็นการเป็น เช่นนี้นึกวิตกด้วยการที่จะปกครองเมืองมลายูเป็นอันมาก ขอให้เธอกรมดำรงตริตรองดูให้จงดี" (ม.๓/๔๙ พระราชหัตถเลขาของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึงกรมหลวงดำรงราชานุภาพ ๖๐/๒๗๗ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๔๗)


ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ อาณาจักรสยามได้แบ่งการปกครองเป็นมณฑล โดย บริเวณ ๗ หัวเมืองของปัตตานีได้เป็นมณฑลหนึ่งของประเทศสยาม แยกออกจากมณฑลนครศรีธรรมราช โดยใช้ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล มีพระยาศักดิ์เสนี (หนา บุนนาค)เ
ป็นข้าหลวงเทศาภิบาลคนแรก พ.ศ.๒๔๕๑ สมัยรัชกาลที่ ๕ สยาม ยกรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี และปะลิส ให้แก่ อังกฤษ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ เกิดความวุ่นวายต่อต้านรัฐบาลที่ปัตตานี เจ้าหน้าที่รัฐบาลจับกุม หะยีบุละ หัวหน้าผู้ก่อการได้ แต่เจ้าหน้าที่ต้องบาดเจ็บหลายคนจากการปะทะกันอย่างรุนแรง

ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ได้มีการยุบเลิกมณฑลปัตตานีแล้วรวมเข้ากับมณฑลนครศรีธรรมราชดังเดิมมีการเปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น"จังหวัด" ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙

วัน๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๔ ได้ยกเลิกมณฑลปัตตานี และยุบจังหวัดสายบุรีลงเป็นอำเภอขึ้นต่อจังหวัดปัตตานี
บันทึกการเข้า
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 08:16:25 PM »

เมืองปัตตานีหลังสิ้นสุดราชวงศ์ศรีวังสาที่ก่อตั้งและปกครองเมืองปัตตานีมายาวนานกว่า 229 ปี
ระหว่าง พ.ศ. 2000 - 2229
ก็มีราชวงศ์อื่น ๆ ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาปกครองแทนหลายราชวงศ์
แต่ไม่มีเจ้าเมืองคนใดที่โดดเด่นเท่า
 
การค้าขายกับต่างประเทศก็เสื่อมลง ชาวยุโรปเดินทางออกจากเมืองปัตตานีหมด
คงเหลือแต่พ่อค้าชาวจีน ญี่ปุ่น อินเดีย และอาหรับ เท่านั้น

และในช่วงดังกล่าว เมืองปัตตานีต้องทำศึกสงครามกับสยามอยู่เนือง ๆ
จนในที่สุดในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ในปี พ.ศ. 2329
กองทัพสยามก็ได้เข้าตีและยึดครองเมืองปัตตานีไว้ได้
หลังจากนั้นการแต่งตั้งเจ้าเมืองจึงอยู่ในอำนาจของสยาม โดยมีเมืองสงขลาเป็นผู้กำกับดูแลเมืองปัตตานี


ใน พ.ศ. 2351 เกิดความไม่สงบที่เมืองปัตตานี โดย "ระตูปะกาลัน"
มีปัญหาขัดแย้งกับข้าราชการที่เรียกว่า "ลักษมณาดายัน"
(ลักษมณา เป็นตำแหน่งขุนนางไทยสมัยก่อน) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลบริหารบ้านเมืองปัตตานีสมัยนั้น
จนถึงขั้นเกิดการต่อสู้กัน
ทางราชการจึงได้ให้นายขวัญซ้ายปลัดเมืองจะนะ ไประงับการพิพาทดังกล่าวจนเหตุการณ์สงบ

ด้วยเหตุนี้รัชกาลที่ 1 จึงมีพระราชดำริให้แบ่งแยกเมืองปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมือง
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายขวัญซ้ายเป็นเจ้าเมืองปัตตานี ตั้งแต่ พ.ศ. 2351
เรียก ผู้ว่าราชการเมืองปัตตานี ขึ้นตรงต่อผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา
นับเป็นเกียรติประวัติที่นายขวัญซ้ายคนไทยเชื้อสายจีน (พ่อเป็นจีน แม่เป็นไทย)
ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเมืองปัตตานี

หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2445 รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก 7 หัวเมือง ให้มารวมเป็นเมืองเดียว
ยกเลิกอำนาจเจ้าเมืองทั้งหมด  ตั้งเป็นมณฑลปัตตานี

ตนกูอับดุลกอร์เดร์ กามารุดดีน ผู้ว่าราชการเมืองปัตตานีคนสุดท้าย
ได้อพยพครอบครัวไปอยู่ที่รัฐกลันตันจนวาระสุดท้าย โดยได้ถึงแก่อนิจกรรมที่กลันตันเมื่อ พ.ศ. 2476


.....แค่นี้...ก่อนนะครับ......

 

บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 08:20:27 PM »

ตั้งจังหวัดนราธิวาส ที่บ้านบางนรา สมัยรัชกาลที่ ๖
แต่เดิม บ้านบางนรา หรือ มะนาลอ เป็นเพียงหมู่บ้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางนราใกล้กับทะเล ในสมัยรัชกาลที่ ๑ บ้านบางนราถูกจัดอยู่ในเขตปกครองของเมืองสายบุรี ครั้นต่อมาเมื่อปัตตานีได้รับการยกฐานะเป็นมณฑล บ้านบางนราจึงย้ายมาสังกัดเมืองระแงะที่อยู่ในมณฑลปัตตานี กระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๔๙ สมัยรัชกาลที่ ๕ บ้านบางนราได้เจริญเป็นชุมชน ใหญ่ มีการค้าทั้งทางบก
และทะเลคึกคักมาก จึงได้ย้ายที่ว่าการจากเมืองระแงะมาตั้งที่บ้านมะนาลอ และในพ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาถึงบางนรา และได้พระราชทานชื่อ “นราธิวาส” แปลว่า “ที่อยู่ของคนดี” ชายแดนใต้ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕

พ.ศ. ๒๔๗๖ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมหรือปรีดี พนมยงค์ มันสมองของคณะราษฎร์ ได้แต่งตั้งนายแช่มพรหมยงค์หรือหัจญีชำชุดดีน เป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกของชาวมุสลิมนิกายซุนหนี่ เพราะจุฬาราชมนตรีทั้ง ๑๓ คนที่แล้วมาล้วนแล้วแต่เป็นมุสลิมนิกายชีอะห์ทั้งสิ้น
 
หะยี สุหลง
พ.ศ. ๒๔๙๐ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ ประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี (บิดาของนายเด่น โต๊ะมีนา) ซึ่งเป็นครูสอนศาสนา เรียนจบมาจากเมกกะเป็นผู้ตั้งโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแบบใหม่แห่งแรกของปัตตานี ชื่อ มัดซาเราะห์ อัลมูอารีฟ อัลวาฎอนียะฮ์ปัตตานี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ ที่ตำบล อาเนาะรู โดยได้รับเงินสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หะยีสุหลงได้ยื่นข้อเรียกร้อง ๗ ข้อต่อรัฐบาลของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ขอให้ ๔ จังหวัดเป็นแคว้นหนึ่ง ที่มีผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดเป็นมุสลิมจาก ๔ จังหวัด มีอำนาจแต่งตั้งและปลดข้าราชการได้ ขอให้เลือกคนมุสลิมมาเป็นข้าราชการ ใช้ภาษามลายูและภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ใช้กฎหมายมุสลิม และตั้งกรรมการมุสลิมดำเนินการเกี่ยวกับคนมุสลิมทุกเรื่อง ต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๑ หะยีสุหลงถูกจับกุมข้อหาพิมพ์ใบปลิวกล่าวร้ายต่อรัฐบาล ศาลตัดสินจำคุก ๔ ปี เมื่อพ้นโทษออกมาหะยีสุหลงและลูกชายถูกอุ้มไปฆ่าถ่วงน้ำทะเลสาบสงขลา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ หะยีอามีนบุตรชาย ซึ่งเคยเป็น สส.ปัตตานี ถูกจับข้อหาขบถเพื่อแบ่งแยกดินแดน หนังสือต่างๆถูกเผา เมื่อได้รับการปล่อยตัว หะยีอามีนลี้ภัยไปอยู่รัฐกลันตัน หมู่บ้านดูซงยอ

บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 08:23:57 PM »

อ้างอิง
- พัฒนาการของรัฐบาลบนคาบสมุทรไทย คริสตศตวรรษที่ ๖-๑๓
ในประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๖)
- ปรีชา นุ่นสุข, “การศึกษาเกี่ยวกับชื่อสถานที่สำคัญบนคาบสมุทรไทย ๒๕๒๖
- พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๒๙ หน้า ๑๘๘-๑๘๙
- ยอร์ช เซเดส์, ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ (พระนคร : หอพระสมุดสำหรับพระนคร, ๒๔๗๒)
- มานิต วัลลิโภดม, “สภาพของอาณาจักรต่าง ๆ ในภาคใต้ของประเทศไทยก่อนศรีวิชัยมีอำนาจ,” ในรายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีศรีวิชัย
(กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๕)
- มิลินทปัญหา ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย หน้า ๔๖๔
- Paul Wheatley, The Golden Khersonese. (Kuala Lumper : University of Malaya Press, ๑๙๖๖)
- Senarat Paranavitana, Ceylon and Malaysia. (Colombo : Lake House Investments Limited Publishers, ๑๙๖๖)
- ประเสริฐ ณ นคร, “จารึกที่พบในนครศรีธรรมราช” ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, ๒๕๒๑)
- ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช



------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


: CREDIT จากคุณ : sticnin และคุณบุญเลิศ บางระจัน แห่ง www.pantip.com
บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #14 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 08:40:44 PM »

 หลงรักขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านจนจบ ยาวไปหน่อยครับ จะตัดออกกลัวว่าจะเสียใจความไป
 หลงรักขอบคุณท่าน51 ที่ช่วยเสริมเติมข้อความที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.149 วินาที กับ 21 คำสั่ง