เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
สิงหาคม 21, 2025, 08:59:41 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ใครสนใจในประวัติศาสตร์ปัตตานี เข้ามาอ่านกันครับ  (อ่าน 11876 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
saranrom41
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 1
ออฟไลน์

กระทู้: 158


« ตอบ #15 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 08:52:49 PM »

 Smiley ขอขอบคุณ ท่าน Watt และ ท่าน ๕๑ มากครับที่ได้กรุณา นำความรู้มาสู่ผมและเพื่อนสมาชิกชาวเว็ปครับ เพื่อที่จะได้นำองก์ความรู้มาประกอบกับข่าวสาร จังหวัดชายแดนทางใต้ของเราต่อไปครับ  Smiley
บันทึกการเข้า
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #16 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 08:56:49 PM »

หลงรักขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านจนจบ ยาวไปหน่อยครับ จะตัดออกกลัวว่าจะเสียใจความไป
 หลงรักขอบคุณท่าน51 ที่ช่วยเสริมเติมข้อความที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์

ประวัติศาสตร์...ก็คือ ประวัติศาสตร์ ครับ...
ชัดเจนหรือคลุมครือ...เราไม่อาจทราบได้....

แต่เป็นสิ่งหนึ่ง...ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ...
และได้รับการถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา...ยาวนาน...
....อยากที่จะลบเลือนไปได้  จากจิตใจ...ของบุคคล....

บทความต่าง ๆ เกี่ยวกับ...ประวัติศาสตร์...
เราควรมองในเชิงวิเคราะห์....

ผมขอเสนอ...บทความในเชิงวิเคราะห์อีกแง่มุมหนึ่ง...(บางส่วน)
ของนักวิชาการ...คนหนึ่ง....ลองอ่านดูซิครับ...


______________________________________________________



...ความหมายของการใช้คำว่า "ปาตานี" หรือ "ปตานี ดารุสลาม" ( PATANI DARUSALAM )
ที่ใช้แตกต่างกันระหว่าง "ปาตานี" (Patani) และ "ปัตตานี" (Pattani) ก็คือ

ในกรณีที่ใช้ว่า "ปาตานี" ซึ่งแปลว่า เมืองเหนือสันทราย
ก็เพื่อแสดงถึงพื้นที่ 5 จังหวัดของราชอาณาจักรมาเลย์แห่งปาตานีอันเก่าแก่

ส่วนการใช้คำว่า "ปัตตานี" จะมีหมายความเฉพาะแต่เพียงจังหวัดปัตตานี
ในฐานะที่เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทยเท่านั้น

ปาตานีเคยเป็นศูนย์กลางของราชอาณาจักรมาเลย์แห่งลังกาสุกะในอดีต
เมื่อช่วงศตวรรษแรกของคริสตกาล จนกระทั่งลังกาสุกะเสื่อมอำนาจลงประมาณช่วงสหัสวรรษต่อมา
และได้ปรากฏอาณาจักรแห่งใหม่ขึ้นมาแทนที่คือราชอาณาจักรปาตานี
ที่มีความรุ่งเรืองและทรงอำนาจแห่งหนึ่งในเอเชีย


แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายสหัสวรรษต่อมา ปาตานีก็ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐไทย
เมื่อมีการบรรลุข้อตกลงระหว่างอังกฤษและสยามในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1902 ถึง ค.ศ.1909

ผลจากสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวมีผลให้ปาตานีถูกผนวกรวมเข้ากับรัฐไทย
ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าปาตานีต้องตกเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย
ด้วยอุบัติการณ์ของประวัติศาสตร์การเมืองในสมัยอาณานิคม
โดยปราศจากความตกลงใด ๆ จากประชาชาติปาตานี

กระบวนการผสมกลมกลืน (assimilation) ที่ดำเนินมาจนปัจจุบันเป็นเวลา 102 ปี
นับตั้งแต่มีการผนวกเอาปาตานีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย

แต่ปรากฏว่าประชาชาติปาตานียังคงไม่ยอมรับต่อกระบวนการดังกล่าว
กระบวนการผสมกลมกลืนของรัฐไทยต่อชาวปาตานีต้องล้มเหลวลง
ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังต่อไปนี้.-

ประการแรก ชาวมาเลย์มีประวัติศาสตร์แห่งชนชาติของตนมาอย่างสืบเนื่องยาวนาน
ในนามของราชอาณาจักรปาตานี
ซึ่งเก่าแก่เสียยิ่งกว่าราชอาณาจักรสุโขทัยของชาวไทยที่เพิ่งปรากฏขึ้นเมื่อช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12

ประการที่สอง เชื้อชาติที่แตกต่างกันระหว่างชาวมาเลย์และชาวไทย

ประการที่สาม ชาวมาเลย์คือคนมุสลิม   ในขณะที่ชาวไทยนับถือศาสนาพุทธ

ประการสุดท้าย คือ ชาวมาเลย์ใช้ภาษามาเลย์   ส่วนชาวไทยใช้ภาษาไทย

ประชาชาติสองกลุ่มนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในอย่างน้อย 4 ประเด็นหลัก
คือ ประวัติศาสตร์, เชื้อชาติ, ศาสนา, และภาษา



การที่ชาวมาเลย์ไม่ถูกผสมกลมกลืนนั้น เมื่อมองจากเหตุผลทางการเมืองแล้ว
ก็จะพบว่าเกิดจากการที่รัฐบาลไทยไม่เคยแสดงให้เห็นว่า
ปาตานีเป็นส่วนหนึ่งของรัฐประชาติไทย เพียงแต่ถือเอาเป็นดินแดนอาณานิคมเท่านั้น
รัฐบาลไทยที่กรุงเทพฯ ยังคงหวาดระแวงต่อชาวมาเลย์ในพื้นที่
และไม่สนับสนุนให้ชาวมาเลย์มุสลิมเป็นผู้ปกครอง
หรืออยู่ในตำแหน่งหน้าที่สำคัญ ๆ ในพื้นที่ของสี่จังหวัด
แต่จัดให้ชาวไทยพุทธเข้ามาปกครองจังหวัดมุสลิมเหล่านี้
เช่นเดียวกับที่อังกฤษได้จัดส่งข้าหลวงมาเป็นผู้ปกครองดินแดนมลายูในช่วงสมัยอาณานิคมนั่นเอง

ทุกวันนี้เยาวชนมุสลิมโดยส่วนใหญ่ต่างตระหนักดีว่า
พวกเขาถูกแบ่งแยกอย่างหยามเหยียดและถูกจัดอยู่ในฐานะของผู้ถูกยึดครอง
โดยผู้ปกครองได้ปล้นชิงเอาทรัพยากรที่มีค่าทั้งป่าไม้และทองคำ (เหมืองทองโต๊ะโม๊ะ) ออกไป
แล้วทิ้งให้ปาตานีกลายเป็นพื้นที่ยากจนที่สุดของประเทศ...




และส่วนนี้  เป็นข้อมูล....เล็ก ๆ เกี่ยวกับบุคคล ๆ หนึ่ง...ครับ

ดร.วัน กาเดร์ เจ๊ะมาน หรือ ดร.ฟาเธร์ เจ๊ะมาน (Dr.Fathir Cheman)
เป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มเบอร์ซาตู (BERSATU)
ซึ่งเป็นองค์กรร่วม (Umbrella organization) ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนหลายกลุ่ม

เขาเกิดที่จังหวัดนราธิวาส
เคยทำงานอยู่ในสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) สังกัดกระทรวงมหาดไทย

ภายหลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา

ก่อนเปลี่ยนสัญชาติเป็นมาเลย์เซียด้วยเหตุผลทางการเมือง
ศึกษาจบปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์จากประเทศออสเตรเลีย

เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในประเทศมาเลย์เซีย ปัจจุบันพำนักอยู่ในประเทศสวีเดน...


จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2005, 09:18:26 PM โดย 51 » บันทึกการเข้า
engine1 รักในหลวง
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 7
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 157



« ตอบ #17 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 09:24:00 PM »

ขอบคุณ คุณ Watt และคุณ 51 ที่ช่วยหาข้อมูลมาให้อ่านกัน
เมื่อวานผมดูข่าวทีวี แล้วก็คิดว่าจะหาเวลาไปหอสมุดค้นประวัติศาสตร์ของรัฐปัตตานีมาอ่าน พอดีเลย ไม่ต้องเสียเวลาไป
ขอบคุณมากครับ
บันทึกการเข้า
saranrom41
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 1
ออฟไลน์

กระทู้: 158


« ตอบ #18 เมื่อ: กันยายน 24, 2005, 09:29:59 PM »

 Smiley ขอบคุณ ท่าน ๕๑ อีกครั้งครับ อย่างไรก็เป็นข้อมูลครับ อย่างที่ผมเรียนว่าเป็นความรู้ ที่จะได้ใช้ประกอบกับข่าวสารเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเราครับ  ผมก็ยังอยากให้เป็น "ปัตตานี" อยู่ครับ  Smiley
บันทึกการเข้า
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: กันยายน 25, 2005, 12:52:30 PM »

เพื่อนผมนามสกุล ณ ปัตตานี ผมบอกว่าจะจับส่งลงไปเจรจาทางใต้หน่อย อิ อิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2005, 04:34:02 PM โดย Law Enforcement » บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
Nattapol
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #20 เมื่อ: กันยายน 25, 2005, 02:39:08 PM »

เป็นอีกอย่างที่เวปนี้ต่างจากเวปอื่นๆ  เพื่อนๆพี่ๆสมาชิกท่านใดมีข้อมูลอื่นๆที่น่าสนใจก็เอามาแบ่งปันให้กันอย่างสม่ำเสมอ
บันทึกการเข้า
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: กันยายน 25, 2005, 04:35:29 PM »

เป็นจุดดีเด่นของสมาชิกทุกท่านละครับที่เป็นผู้รอบรู้และชอบความรู้

บางเวปโพสนอกเรื่องนิดเดียวโดยโวยกระจุย
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
Nattapol
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #22 เมื่อ: กันยายน 25, 2005, 05:08:01 PM »

เป็นจุดดีเด่นของสมาชิกทุกท่านละครับที่เป็นผู้รอบรู้และชอบความรู้

บางเวปโพสนอกเรื่องนิดเดียวโดยโวยกระจุย

 บางเวป ( ที่ไม่ใช่เวปเกี่ยวกับปืน ) ความคิดเห็นต่างกันนิดเดียว ก็เอาชื่อสัตว์เลื้อยคลานมาเป็นคำนำหน้าชื่อคู่กรณีแล้วครับ
บันทึกการเข้า
Mr_Watt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #23 เมื่อ: กันยายน 25, 2005, 06:54:46 PM »

 Cheesyขอบคุณครับทุกๆท่านที่ทนอ่านข้อความยาวๆ พอดีช่วงนี้ผมไม่ค่อยสบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ เลยอยากหาเรื่องที่มันเกี่ยวเนื่องกันมาให้เพื่อนๆได้อ่านเผื่อจะได้เป็นแนวทางวินิจฉัยต้นต่อ  และเรื่องนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับปืนใหญ่พระยาตานี, ปัตตานีที่แท้จริงนับถือพุทธศาสนามาก่อน และอีกหลายๆเรื่องที่คนไทยอาจไม่ทราบ ลองศึกษาปูมหลังกันดูครับเผือจะช่วยกันแก้ปัญหาได้บ้างครับ

 หลงรักขอบคุณท่าน51 อีกครั้งนะครับ
วันนี้ผมพยายามทั้งวัน ค้นหาคำว่า "ปาตานี" หรือ "ปตานี ดารุสลาม" ( PATANI DARUSALAM ) ตามความหมายที่ท่าน 51 ได้กรุณาลงไว้ พบมีเพียงแต่ จดหมายเปิดผนึกจาก ดร.วัน กาเดร์ เจ๊ะมาน เรื่อง ปัญหาของปาตานีและไทย : เมื่อเราไม่อาจอยู่ร่วมและแบ่งแยกจากกันได้ แปลโดย ปริญญา นวลเปียน อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น จังหวัดกาญจนบุรี และเวปไซด์ของขบวนการก่อการร้ายพูโล เท่านั้น

ทั้งนี้พอจะสรุปได้ว่า คำว่า "ปาตานี" หรือ "ปตานี ดารุสลาม" ( PATANI DARUSALAM ) ตามความหมายดร.วัน กาเดร์ เจ๊ะมาน และขบวนการก่อการร้ายพูโล นั้นเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างเพื่อจะก่อการเท่านั้น หาได้มีในประวัติศาสตร์ไม่

ถ้าท่าน51 พอจะมีเค้าโครงประวัติเรื่องดังกล่าว ยกเว้นเรื่องที่นายวัน กาเดร์ เจ๊ะมาน และขบวนการก่อการร้าย พูโล ขอได้โปรดแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2005, 08:02:32 PM โดย Watt » บันทึกการเข้า
ek_suwat
ทำซะ ! ก่อนที่จะไม่ได้ทำ.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 19
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1360



« ตอบ #24 เมื่อ: กันยายน 25, 2005, 07:42:03 PM »

...............ยาวแต่ดีขอรับ................
บันทึกการเข้า

บุคคลที่มีปืนหลายกระบอก ไม่ได้หมายความว่าเป็นบุคคลที่ชอบความรุนแรง
แจ็ค
"กำบ่มีอย่าไปอู้...กำบ่ฮู้อย่าได้จ๋า"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 461
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 7529


« ตอบ #25 เมื่อ: กันยายน 25, 2005, 08:55:16 PM »

ผมว่าเว็บเรานี้มีอะไรที่หลากหลายดีขอรับ   หลายสาขาอาชีพ   ต่างก็นำความรู้มาแลกเปลี่ยนกันและกัน  ท่านที่ไม่ทราบก็ได้รู้ได้เห็น  โอ้.....สุดยอด   แต่ช่วงนี้ยอมรับว่า  โกรธ   ทั้งที่พยายามข่มใจแล้ว  ตั้งแต่นาวิก......................
บันทึกการเข้า

... เมื่อความกลัวถึงขีดสุด  มันจะเกิดเป็นความกล้าที่บ้าบิ่น ...
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #26 เมื่อ: กันยายน 25, 2005, 09:10:37 PM »

วันนี้ผมพยายามทั้งวัน ค้นหาคำว่า "ปาตานี" หรือ "ปตานี ดารุสลาม" ( PATANI DARUSALAM )
ตามความหมายที่ท่าน 51 ได้กรุณาลงไว้
พบมีเพียงแต่ จดหมายเปิดผนึกจาก ดร.วัน กาเดร์ เจ๊ะมาน
เรื่อง ปัญหาของปาตานีและไทย : เมื่อเราไม่อาจอยู่ร่วมและแบ่งแยกจากกันได้
แปลโดย ปริญญา นวลเปียน อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น จังหวัดกาญจนบุรี
และเวปไซด์ของขบวนการก่อการร้ายพูโล เท่านั้น

ทั้งนี้พอจะสรุปได้ว่า คำว่า "ปาตานี" หรือ "ปตานี ดารุสลาม" ( PATANI DARUSALAM )
ตามความหมายดร.วัน กาเดร์ เจ๊ะมาน และขบวนการก่อการร้ายพูโล นั้นเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างเพื่อจะก่อการเท่านั้น
หาได้มีในประวัติศาสตร์ไม่


ถ้าท่าน51 พอจะมีเค้าโครงประวัติเรื่องดังกล่าว
ยกเว้นเรื่องที่นายวัน กาเดร์ เจ๊ะมาน และขบวนการก่อการร้าย พูโล ขอได้โปรดแนะนำด้วยครับ
ขอบคุณครับ

จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ครับ....
มีชื่อหนังสือ...ให้สืบค้นได้....ลอง ๆ ดู ครับ

ปลายนิ้วนายกำแหง : ย้อนอดีตดินแดน 3 จว.

จนวันนี้สถานการณ์รุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ยังไม่ยุติ และไม่มีใครรู้ว่าจะยุติลงเมื่อใด

ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนยุทธวิธีกี่ครั้งกี่หน เปลี่ยนผู้รับผิดชอบคนแล้วคนเล่า

หลายคนรู้ที่มาที่ไปของดินแดน 3 จังหวัด และอีกหลายคนไม่รู้หรือรู้งู ๆ ปลา ๆ
บ้างก็รู้แบบฉงนว่าทำไมถึงมีคนในดินแดนนี้คิดแบ่งแยกดินแดน เป็นคนไทยดี ๆ ทำไมไม่ชอบ

คงไม่คิดอะไรกันมากหากจะเล่าถึงความหลัง ซึ่งเป็นที่มาของดินแดน 3 จังหวัด ย้อนหลังไปแค่สมัยกรุงธนบุรี

ดินแดนทางภาคใต้ของอาณาจักรสยามได้แก่ ยะลา นราธิวาส และ สายบุรี
รวมอยู่เป็นรัฐเดียวกันเรียกว่า รัฐปาตานี (ปัตตานี)
มีพระราชาหรือสุลต่านเป็นผู้ปกครอง และมีฐานะเป็นประเทศราชของกรุงธนบุรี

ต้องส่งส่วยมาถึงราชสำนักพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นประจำ
แต่พอผลัดแผ่นดินจากพระเจ้าตากสินมหาราชมาเป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แห่งราชวงศ์จักรี
พระราชาแห่งรัฐปัตตานีถือโอกาสไม่ส่งส่วย โดยปฏิเสธไม่ยอมรับนับถือพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่

นี่คือการแข็งเมือง รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงส่งกองทัพเรือจากกรุงเทพฯ ไปจัดการ

มีพระราชบังสัน (แม้น) เป็นแม่ทัพ บุกเข้าโจมตีปัตตานี

รบกันไม่นาน พระราชาหรือสุลต่านรัฐปัตตานีก็ยอมแพ้ และตกลงส่งเครื่องราชบรรณาการ (ส่วย)
ถวายพระเจ้าแผ่นดินราชวงศ์ใหม่ตามราชประเพณีที่ปฏิบัติกันมา

ในการนี้กองทัพของพระเจ้าแผ่นดินสยาม
ยึดปืนใหญ่สำคัญ 2 กระบอก ชื่อ นางพญาตานี หรือมหารานีปัตตานี กับ ศรีนัครี
แต่นำเข้ามากรุงเทพฯ ได้เพียงกระบอกเดียว คือนางพญาตานี

ส่วนกระบอกชื่อศรีนัครี เมื่อนำลงแพไม้ไผ่เพื่อชักลากเข้ากรุงเทพฯ
ถูกพายุพัดแพล่มที่ปากน้ำปัตตานี กู้ขึ้นมาไม่ได้ ในขณะนั้นจึงปล่อยทิ้งไว้ใต้น้ำ หน้าเมืองปัตตานี

ในโอกาสนี้กองทัพสยามได้สลายกองทัพของปัตตานี กวาดต้อนกองกำลังส่วนหนึ่งพร้อมครอบครัวเข้ามากรุงเทพฯ
โดยได้รับพระราชทานที่ดินรกร้างว่างเปล่ารอบนอกพระนครให้เป็นที่ทำมาหากิน

สืบมาจนกระทั่งลูกหลานของทหารหาญแห่งปัตตานีมีชีวิตจิตใจเป็นไทยไปหมดแล้ว

อย่างไรก็ตาม ครอบครัวทหารและราษฎรส่วนใหญ่ยังคงอยู่ ณ เมืองปัตตานี
ภายใต้สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมของชนชาติมลายู
และภายใต้การปกครองของสุลต่านแห่งรัฐที่มีฐานะเป็นประเทศราชหรือเมืองขึ้นของพระเจ้าแผ่นดินสยาม

โดยความที่เป็นประเทศราช ความคิดที่จะกู้ชาติกู้แผ่นดิน
จึงมีอยู่ในสายเลือดของคนปัตตานีเชื้อชาติมลายู ไม่แตกต่างไปจาก ชนชาติอื่น ๆ ที่เป็นเมืองขึ้นประเทศอื่น

ความคิดกู้ชาติของคนเชื้อชาติมลายูแห่งรัฐปัตตานีถูกโหมให้กระพือ ขึ้นสูงสุด
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ (รัชกาลที่ 5)
เมื่อมีพระบรมราชโองการให้ผนวกรัฐปัตตานีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม
เรียกว่า มณฑลปัตตานี เมื่อปี พ.ศ. 2545

ขณะนั้นมี ตวนกู อับดุล กาเด เป็นสุลต่าน
โดยมีบรรดา ศักดิ์ในฐานะเจ้าเมืองประเทศราชว่า พระยาปัตตานีศรีสุลต่าน

การเปลี่ยนแปลงฐานะรัฐปัตตานีลักษณะนี้สุลต่านรับไม่ได้
ปฏิเสธที่จะรับพระบรมราชโองการ รัชกาลที่ 5 จึงส่งกองทัพลงไปปราบ
แล้วจับสุลต่านตวนกู อับดุล กาเด เข้ามากรุงเทพฯ จากนั้นก็ส่งไปกักขังที่พิษณุโลก

ภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯ ให้กลับปัตตานี ก็ยังคิดแยกตัวเป็นอิสระ (แยกดินแดน) อยู่อีก
รัชกาลที่ 6 จึงส่งกำลังไปปราบ แต่อับดุล กาเด หนีไปลี้ภัยที่กลันตัน จนเสียชีวิตที่นั่น
โดยทายาทคือ ตวนกู มัยยิดดิน ซึ่งกลายเป็นตัวปัญหา เพราะอังกฤษจับเชิดขึ้นมาเล่นเกมกับราชอาณาจักรสยาม

อยากรู้อะไรมากกว่านี้ต้องไปอ่านหนังสือ อดีตจุฬาราชมนตรี แช่ม พรหมยงค์ กับ 4 จังหวัดภาคใต้

ผู้เขียนคือ สุพจน์ ด่านตระกูล เขียนและพิมพ์ไว้ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่ายังพอมีเหลืออยู่หรือเปล่า


ถ้าหมดก็ต้องอดใจรอไว้ตอนพิมพ์ครั้งใหม่.


“กำแหง ภริตานนท์”



 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2005, 09:12:19 PM โดย 51 » บันทึกการเข้า
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #27 เมื่อ: กันยายน 25, 2005, 09:29:10 PM »

    ปาตานี คือชื่อรัฐ ๆ หนึ่งอยู่บนแผ่นดินด้ามขวานที่เรียกว่าแหลมมลายู
แซะห์ อาหะหมัด บินวันมูฮัมหมัดเซ็น อัลฟาตอนี ได้กล่าวไว้ว่า

“ปาตานี คือรัฐหนึ่งในหลาย ๆ รัฐของชาวมลายู ได้เป็นสถานที่ก่อกำเนิดบุรุษที่ดี เฉลียวฉลาด รักสงบและเก่งกล้า
เป็นรัฐที่มีเอกราช และอยู่ภายใต้ปกครองของบุคคลเหล่านั้นมาแต่อดีต”

    วันหนึ่ง เวลาบ่ายสามโมง (ของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2445 )
เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารูดดีน เจ้าเมืองปัตตานี ก็ถูกตามไปพบกับพระยาศรีสหเทพ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในปัตตานี
ที่รายล้อมด้วยกำลังทหารและตำรวจประมาณ 100 นาย พระยาศรีสหเทพ ได้ยื่นเอกสารให้เต็งกูอับดุลกอเดร์ลงนาม
แต่ท่านไม่ยอม พระยาศรีสหเทพ จึงสั่งตำรวจและทหารจับกุมตัวเต็งกูอับดุลกอเดร์
พาลงเรือและนำไปควบคุมที่เมืองสงขลา ต่อมาก็ถูกส่งเข้าสู่บางกอก

วันนั้นเป็นวันอันสิ้นสุดของอาณาจักรปาตานีดารุสสาลามที่ปกครองโดยชาวมลายูปาตานีที่มีที่มานานกว่า 600 ปี
นับจากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลานาน 100 ปี ปัตตานีนั้นเคยเป็นรัฐที่มีเอกราช ก่อนหน้านั้นหรือ ?

    ก่อนที่จะมาเป็นปาตานีนั้น ลังกาสุกะ เป็นชื่อที่ถูกเรียกมาก่อนของดินแดนแห่งนี้
ลังกาสุกะ เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรมลายูมาก่อน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ โกตามาหาลิไกย


    การไปล่าสัตว์ป่าของพญาตูนักปา เดวาวังสา
จนกระทั่งพบกระจงขาววิ่งหนีหายไปในระหว่างหาดทรายริมชายหาด
พบผู้เฒ่าที่มีนามว่าโต๊ะตานี
เป็นเหตุให้พระองค์ต้องย้ายเมืองหลวงจากโกตามาหาลิไกย มาตั้งที่กรือเซะ
แล้วเปลี่ยนเป็นเมืองปาตานี

การเข้ามาของแซะห์ซาอีดในปาตานี เพื่อรักษาอาการป่วยของพญาตูนักปา
จนพระองค์เข้ามารับนับถือศาสนาอิสลาม แล้วเปลี่ยนพระนามเป็น
สุลต่านอิสมาแอล ชาห์ ซิลลุลลอฮ์ ฟิลอาลาม และการเรียกชื่อเมืองปาตานีเป็น ปาตานีดารุส สาลาม
ได้มีการสืบทอดการปกครองอาณาจักรปาตานีดารุส สาลาม จนสิ้นสุดราชวงศ์ศรีมหาวังสา
เนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระนางกูนิง

แทบจะเรียกได้ว่าในระหว่างการปกครองของกษัตริย์ที่เป็นหญิงในปาตานีนั้นได้สร้างความเจริญรุ่งเรือง
เทียบเท่ากับเมืองอัมสเตอร์ดัมในสเปนก็ไม่ปาน


    ปาตานีได้เปลี่ยนผู้ปกครองอีกหลายต่อหลายท่าน สมัย สุลต่านอะหมัด เป็นสุลต่าน
ถึงเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2329 ปาตานีก็ถึงกาลอวสาน
โดยการเข้าโจมตีของกองทัพสยามทั้งทางบกและทางเรือ
สุลต่านอะหมัด สิ้นชีพในการต่อสู้กับศัตรู บ้านเมืองถูกเผาทำลาย ชาวมลายูปาตานีถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก
ทีสามารถหลบหนีได้ก็แยกย้ายกันไปอาศัยเมืองข้างเคียงอื่น ๆ
ส่วนหนึ่งก็ถูกจับตัวไปเป็นเชลยพร้อม ปืนใหญ่ศรีปาตานีที่ถูกยึดไปบางกอก
เป็นการทำสงครามครั้งที่หกและเป็นครั้งแรกที่ปาตานีต้องสูญเสียอำนาจแก่สยาม

เต็งกูลัมมีเด็น ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าเมืองปาตานี
แต่ก็ต้องสังเวยชีวิตในการทำสงครามเพื่อกอบกู้เอกราชจากสยามที่เขาลูกช้างในเมืองสงขลา เมื่อปี ค.ศ.1791


    หลังจากนั้นไม่นาน ดาโต๊ะปังกาลันก็ตกชะตากรรมคล้ายกับเต็งกูลัมมีเด็น
ศีรษะของท่านได้ถูกตัดนำไปถวายแก่แม่ทัพสยามที่ปากน้ำปาตานี เมื่อ ปี ค.ศ.1810
นายกวงไส ชาวจีนจากจะนะก็ได้มีโอกาสเป็นเจ้าเองปาตานี หลังจากนั้นอีก 5 ปี

กระทั่ง พ.ศ.2359 สยามได้ปฏิรูปหัวเมืองประเทศราชโดย แบ่งแยกปาตานีออกเป็น 7 หัวเมือง
เพื่อลดทอนอำนาจของปาตานีลง และให้อยู่ภายใต้การควบคุมของสงขลา
แต่งตั้งให้ต่วนสุหลง เป็นเจ้าเมืองปาตานี ต่วนนิ เป็นเจ้าเมืองหนองจิก ต่วนมันโซร์ เป็นเจ้าเมืองรามัน
ต่วนยาลอ เป็นเจ้าเมืองยะลา ต่วนนิดะห์ เป็นเจ้าเมืองระแงะ ต่วนนิเด๊ะ เป็นเจ้าเมืองสายบุรี
และนายพ่าย (ชาวสยาม)เป็นเจ้าเมืองยะหริ่ง

สงครามระหว่างมลายูกับสยามในปี 2375 นั้นเกิดจากการขึ้นมากอบกู้เอกราชของชาวมลายูเคดะห์
โดยเต็งกูเด็น แม่ทัพของสุลต่านอาหมัด ตายูดดีน แห่งรัฐเคดะห์
จากเหตุการณ์นี้เมืองเล็กเมืองน้อยต่าง ๆของปาตานีต่างก็ถูกเกณฑ์ไปร่วมกับสยาม
โดยหัวเมืองสงขลาและนครศรีธรรมราช ต่อสู้กับเคดะห์
แต่การณ์กลับตาลปัดที่บรรดาเจ้าเมืองมายูกลับเข้าร่วมกับกองทัพของเต็งกูเด็น
แม่ทัพเคดะห์ เข้ารบพุ่งกับกองทัพสยามต้องล่าถอยไป

จวบจนกระทั่งกองทัพจากกรุงเทพฯ ลงมาร่วมกับนครศรีธรรมราช สงขลา เข้าตีกองทัพเคดะห์และปาตานี
แตกล่าถอยไป

ต่อมา ต่วนกูสุหลง เจ้าเมืองปัตตานี ต่วนกูโน เจ้าเมือง ยะลา และต่วนกือจิเจ้าเมืองหนองจิก
สามพี่น้องถูกจับกุมตัวและถูกประหารชีวิตในเวลาต่อมา


    หลังจากนั้นเจ้าเมืองสงขลาได้แต่งตั้งเจ้าเมืองปกครองหัวเมืองปัตตานีต่าง ๆเสียใหม่
คือ นายนิยูโซ๊ะ เป็นเจ้าเมืองปัตตานี นายมิ่ง เป็นเจ้าเมืองหนองจิก ต่วนมันโซร์ เป็นเจ้าเมืองรามัน
นายยิ้มซ้ายหรือเหมใส เป็นเจ้าเมืองยะลา นายนิดะห์ เป็นเจ้าเมืองสายบุรี
นายนิบอซู เป็นเจ้าเมืองระแงะ และ นายพ่าย เป็นเจ้าเมืองยะหริ่ง
ภายใต้การควบคุมของเมืองสงขลาเช่นเดิม

เจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้ง ตกทอดแก่ชาวมลายูบ้างชาวสยามบ้างตามสถานการณ์


ลำดับการแต่งตั้งเจ้าเมืองในหัวเมืองปัตตานีหลังจากการปฏิรูป (1866-1902)


1.เมืองปัตตานี ได้มีการแต่งตั้งเต็งกูมูฮัมหมัด หรือเต็งกูบือซาร์ กำปงเลาท์ เชื้อสายกลันตัน มาเป็นเจ้าเมืองปัตตานี
เมื่อสิ้นชีวิตก็แต่งตั้งบุตรชายเต็งกูปูเต๊ะ เป็นเจ้าเมือง
เมื่อเต็งกูปูเต๊ะ สิ้นชีวิต ก็แต่งตั้งเต็งกูตีมุน (เต็งกูบือซาร์)เป็นเจ้าเมือง
เมื่อสิ้นชีวิตก็แต่งตั้งเต็งกูสุไลมาน หรือ สุลต่านสุไลมาน ซารีฟูดดีน ชาห์
และสุดท้าย เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารูดดีน เป็นเจ้าเมืองปาตานีคนสุดท้าย


2.เมือง รามัน แต่งตั้ง ต่วนมันโซร์ หรือ โต๊ะนิ โต๊ะและห์ เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีด ก็แต่งตั้งต่วนกูโน หรือ นิอูลู
เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้ง ต่วนญากง หรือเต็งกูอับดุลกานดิส, เมื่อสิ้นชีพ
ปลัดเมืองคือ ต่วนลือเบะ ลงราญา ก็รักษาการโดยไม่ทันได้มีการแต่งตั้งเป็นทางการก็ถูกจับกุม
ถือเป็นเจ้าเมืองคนสุดท้ายของเมืองรามัน


3.เมืองยะลา ได้แต่งตั้ง ต่วนยาลอเป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้ง ต่วนบางกอก เมื่อสิ้นชีพ
ก็แต่งตั้งนายเหมไส ชาวจีนจากสงขลา
ต่อมาก็ปลดแล้วแต่งตั้งนายเมือง ชาวสยามมาเป็นเจ้าเมือง
เมื่อปลดนายเมืองก็แต่งตั้งเต็งกูมูฮัมหมัดสาและ(ต่วนบาตูปูเต๊ะ)เป็นเจ้าเมือง
เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้ง ต่วนตีมุนเป็นเจ้าเมือง
เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้ง เต็งกูสุไลมาน หรือต่วนกือจิ เป็นเจ้าเมืองยะลาคนสุดท้าย


4.เมืองสายบุรี แต่งตั้ง นิดะห์ หรือ เต็งกูญาลาลูดดีน เป็นเจ้าเมือง
เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้ง นิคกัลสิห์ หรือเต็งกูอับดุลกอเดร์ เป็นเจ้าเมือง
เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งเต็งกูอับดุลมุตตอลิบ หรือนิปิ เป็นเจ้าเมืองคนสุดท้าย


5.เมืองระแงะ แต่งตั้งนิคดะห์ เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนิยูโซ๊ฟ หรือ นิบอซู เป็นเจ้าเมือง
เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งต่วนนง หรือต่วนอันดัค เป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งต่วนตือเงาะห์ หรือต่วนเต๊ะ เป็นเจ้าเมือง
เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งเต็งกูเงาะห์ ซัมซูดิน เป็นเจ้าเมืองคนสุดท้าย


6.เมืองยะหริ่ง แต่งตั้งนายไผ่ ชาวสยามจากสงขลาเป็นเจ้าเมือง เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนายเหมใส รักษาการ
แล้วก็แต่งตั้งนายนิโซ๊ะ จากเจ้าเมืองปัตตานีมาเป็นแทน เมื่อนิโซ๊ะ สิ้นชีพก็แต่งตั้ง ต่วนเดวา กลันตันมาเป็นเจ้าเมือง
เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนิตีมุน เป็นเจ้าเมืองแทน เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนิมะ เป็นเจ้าเมือง
เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนายนิโว๊ะ เป็นเจ้าเมืองยะหริ่งคนสุดท้าย


7.เมืองหนองจิก ได้แต่งตั้งต่วนนิ หรือ ต่วนกือจิ เป็นเจ้าเมือง
เมื่อเสียชีวิตก็แต่งตั้งนายมิ่งชาวสยามจากสงขลาเป็นเจ้าเมืองแทน
เมื่อปลดนายมิ่ง ก็แต่งตั้งนายเคียง เป็นแทน
เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งนายวูหยาง ชาวจีนเป็นแทน ต่อมาก็แต่งตั้งนายมิ่งมาเป็นอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตังนายทัด เป็นเจ้าเมืองคนสุดท้าย
นอกจากนี้สยามยังได้แยกเมืองสตูลจา

8.เคดะห์ ให้เป็นหัวเมืองที่ขึ้นกับสงขลาทำนองเดียวกับในปัตตานี
โดยแต่งตั้งเต็งกูรียาอูดดีน เป็นเจ้าเมืองสตูลคนแรก เมื่อสิ้นชีพก็แต่งตั้งเต็งกูบิสนู
เมื่อเต็งกูบิสนูสิ้นชีพก็แต่งตั้งเต็งกูมูฮัมหมัดอากิบ เป็นเจ้าเมือง
ต่อมาก็แต่งตั้งเต็งกูอับดุลเราะห์มาน และแต่งตั้งเต็งกูดิน เป็นเจ้าเมืองมลายูสตูลคนสุดท้าย
 

พ.ศ.2440 พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ การแต่งตั้งเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการเมือง
ต้องมาจากพระบรมราชโองการที่มาจากส่วนกลางเท่านั้น การสืบทอดเจ้าเมืองตามแบบมลายูเดิมนั้น
จะต้องยกเลิกในทุกกรณี การที่จะปลดเจ้าเมืองมลายูไปจากอำนาจที่มีมาแต่อดีตกาลนั้น
มีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนไม่น้อย โดยเริ่มจากห้ามมิให้เจ้าเมืองมลายูเข้าเกี่ยวข้องกับการเก็บภาษี
การเก็บภาษีเป็นหน้าที่ของข้าราชการที่ถูกส่งมาจากส่วนกลาง
ซึ่งมีการเรียกเก็บมากกว่าเดิมและมีการเบียดบังเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัว
ทำให้ราษฎรเดือดร้อนและเข้าใจว่าเจ้าเมืองของตนนั่นเองรวมหัวกับข้าราชการเก็บภาษีเอาไว้ประโยชน์ส่วนตัว
เมื่อเต็งกูสุไลมาน สิ้นชีวิต เต็งกูอับดุลกอเดร์ก็เข้ารักษาการเจ้าเมืองปัตตานี

พ.ศ.2444 พระยาศักดิเสนีย์ ถูกส่งตัวไปเป็นผู้สำเร็จราชการมณฑลปัตตานีพร้อมด้วยกำลังทหาร
เพื่อปลดเจ้าเมืองมลายูออกจากอำนาจ เริ่มด้วยการจับกุม ต่วนลือเบะ รักษาการเจ้าเมืองรามัน ไปยังจังหวัดสงขลา

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบชะตากรรม ทำให้ประชาชนรวมตัวกันเรียกร้องให้ปล่อยตัวต่วนลือเบะ


13 สิงหาคม 2444 เต็งกูอับดุลกอเดร์ เจ้าเมืองปัตตานี เต็งกูอับดุลมุตตอเล็บ เจ้าเมืองสายบุรี
และเต็งกูเงาะห์ ซัมซูดิน เจ้าเมืองระแงะ ได้ทำหนังสือร้องเรียน
และขอความช่วยเหลือจาก สวิทเท่นแฮม ผู้แทนอังกฤษที่สิงคโปร์


23 ตุลาคม 2444 พระยาศรีสหเทพ เดินทางไปปัตตานี พร้อมด้วยเอกสารฉบับหนึ่งให้เต็งกูอับดุลกอเดร์ ลงนาม
แต่ในเบื้องต้นท่านไม่ยอมลงนาม จนกระทั่งพระยาศรีสหเทพ ได้หาล่ามมาแปลหนังสือดังกล่าวเป็นภาษามลายู
จนเต็งกูอับดุลกอเดร์หลงเชื่อ จึงได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว
จากนั้นพระยาศรีสหเทพ ก็เดินทางไปยังสิงคโปร์ แสดงหนังสือที่เต็งกูอับดุลกอเดร์ลงนามไว้แล้วนั้น
ให้สวิทเท่นแฮมได้ดูเป็นหลักฐานว่า เจ้าเมืองปัตตานีได้ยินยอมสละอำนาจให้สยามแล้ว

ด้วยเหตุดังกล่าวเต็งกูอับดุลกอเดร์ จึงได้ทำหนังสือคัดค้านไปยังกรุงเทพฯแต่ไม่ได้รับความสนใจ


นอกจากนั้น เต็งกูอับดุลกอเดร์ ยังมีหนังสือไปถึงสวิทเท่นแฮม ฉบับวันที่ 13 สิงหาคม 2544 มีใจความดังนี้

 
“ I trust that the trouble and grievances which are being impost on my people will be seen by
your excellency to be so harrasing and unendurable that the peace and well being of the state are endangered…
and also that it will be seen that my application for the intervention and good offices of
Great Britain has good grounds on which it is founded, and on which such application can be made to
Great Britain or some other of the Great Power either Europeans or other.“


ดังนั้น เวลาบ่ายสามโมงของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2445
พระยาศรีสหเทพ จึงได้สั่งทหารจับตัวเต็งกูอับดุลกอเดร์ ลงเรือไปยังจังหวัดสงขลาทันที
โดยมี หะยีอับดุลลาตีฟ โต๊ะอีหม่ามมัสยิดรายาจะบังติกอติดตามไปด้วย
หลังจากก็ถูกนำส่งตัวส่งไปยังกรุงเทพฯและถูกจำขังที่พิษณุโลกตามลำดับ


เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2445 เต็งกูเงาะห์ ซัมซูดิน และเต็งกูอับดุลมุตตอลิบก็ถูกจับกุมตัว
และถูกปล่อยตัวเป็นอิสระเมื่อ เดือนเมษายน 2446 ส่วนเต็งกูอับดุลกอเดร์ ได้การปล่อยตัวเมื่อ 21 มีนาคม พ.ศ.2447


เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2452 ข้อตกลงสยาม-อังกฤษ (Anglo-Siam treaty) ในการแบ่งเขตแดนระหว่างอังกฤษ-สยาม
ก็มีการลงนามกันขึ้น ทำให้สตูลและปัตตานีมาส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม
ในขณะที่กลันตัน ตรังกานู เคดะห์ และ เปอร์ลิส ขึ้นกับอาณานิคมอังกฤษ
เป็นการแบ่งสรรกันโดยเจ้าของแผ่นดินไม่มีสิทธิได้รับรู้


เมื่อเดือน 31 สิงหาคม 2506 อังกฤษได้ปลดปล่อยรัฐมลายูทั้งปวงได้เป็นอิสระ
เขาเหล่านั้นได้พัฒนาบ้านเมืองของตนไปตามกรอบที่อังกฤษได้วางไว้ เจริญล้ำหน้ากว่าในหลายๆประเทศ
ในขณะที่ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ก็ยังคงเป็นเมืองที่มีฐานะยากจน,ล้าหลัง ด้อยการศึกษาอยู่อีกต่อไป


อนิจจา ปาตานี ที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอดีต ได้กลายเป็นอาณาจักรที่ถูกลืม มาตั้ง 100 ปี แล้ว

___________________________________________________________ ___________________


ผมไม่แน่ใจว่า....ประวัติศาสตร์....จะมีบันทึกไว้หรือไม่ครับ....
แต่ก็ถือได้ว่า...เป็นเรื่องราว....ที่น่าสนใจ....


จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2005, 09:33:45 PM โดย 51 » บันทึกการเข้า
วรกฤษ
ความฝันทำให้มนุษย์พัฒนาไปข้างหน้าเพื่อสร้างฝันให้เป็นจริง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 45
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6503

สูงสุดคืนสู่สามัญ


« ตอบ #28 เมื่อ: กันยายน 25, 2005, 09:36:55 PM »

 :Smiley ขอบคุณครับอ่านแล้วตาลายแต่ได้ความรู้ Cheesy
บันทึกการเข้า

เร็วเท่าที่เห็น   แม่นเท่าที่จำเป็น 
เคลื่อนไหวเร็วปานสายฟ้า   หยุดให้นิ่มนวลดังแพรไหม      
ใจต้องนิ่งดังขุนเขา   ทำทุกอย่างดั่งสายน้ำไหล
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #29 เมื่อ: กันยายน 25, 2005, 10:03:04 PM »

แล้วยังมีเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่ง
ในระหว่างวันที่ 25-28 เมษายน 2491 ในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม
เรียกว่า...กบฏดุซงยอ....
ซึ่งค่อนข้างจะมีวันคล้าย...ที่ตรงกันกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 ที่ผ่านมา...

ผมเองก็เพิ่งจะทราบเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนกัน ครับ...คริ คริ
เพราะในหน้าประวัติศาสตร์...ที่เราร่ำเรียนกันมา...
(ผมมิได้เอกประวัติศาสตร์หรือการเมืองการปกครอง)
อาจจะระบุไว้ในส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น...
ซึ่งไม่มีในตำรา...ครับ...

จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2005, 10:09:18 PM โดย 51 » บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.097 วินาที กับ 21 คำสั่ง