เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
สิงหาคม 21, 2025, 11:56:17 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มองแสนยานุภาพ ชายแดนไทย-มาเลย์ จากเว็บผู้จัดการ  (อ่าน 10714 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
M1911LOVER "รักในหลวง"
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 6
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 236



« เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 12:10:20 AM »

ผมขอคัดลอกจากเว็บผู้จัดการครับ
ที่นั่นก็มีความคิดเห็นมากมายแต่นั่นก็อีกมุมหนึ่งจากอีกกลุมหนึ่งครับ
พวกเราชาวปืนน่าจะมีความเห็นสะท้อนจากบทความนี้อย่างแหลมคมอีกมุมหนึ่ง....
เชิญครับ

มองแสนยานุภาพชายแดนไทย-มาเลย์
 
โดย สิริอัญญา 25 กันยายน 2548 18:23 น.
 
 
       ในพลันที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่หมู่บ้านตันหยงลิมอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ก็ปรากฏข่าวจากทางด้านมาเลเซียว่ากองทัพมาเลเซียได้เคลื่อนกำลังทหารจำนวนสามกองพันมาประชิดที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อป้องกันสกัดกั้นไม่ให้คนไทยข้ามแดนไปมาเลเซียโดยผิดกฎหมาย
       
       สื่อมวลชนไทยก็รายงานข่าวไปตามนี้คือเป็นการเคลื่อนกำลังมาเพื่อป้องกันคนไทยข้ามแดนไปมาเลเซียโดยผิดกฎหมาย
       
       ความหมายมันอยู่เพียงเท่านั้นจริง ๆ หรือ? ความจริงไม่อยากกล่าวถึงเรื่องนี้เพราะมีความละเอียดอ่อนอยู่มากและเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่างประเทศ แต่เมื่อพิเคราะห์แล้วก็เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงเรื่องนี้สักครั้งหนึ่ง มิฉะนั้นเพื่อนร่วมชาติของเราก็จะมองข้ามหรือลืมมองเรื่องสำคัญที่อาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อบ้านเมือง
       
       คงจะจำกันได้ว่าหลังเกิดกรณีกรือเซะและตากใบแล้ว มาเลเซียได้เคลื่อนกำลังทหารขึ้นมาที่ชายแดนหลายระลอก ครั้งละสองกองพันบ้าง สามกองพันบ้าง และหลาย ๆ กองพันในแนวหลังที่พอเห็นได้ว่าพร้อมจะเป็นกำลังหนุนกำลังส่วนหน้าที่วางกำลังอยู่ตลอดแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย
       
       ไม่เคยปรากฏข่าวว่ามีการถอนกำลังทหารเหล่านั้นออกไปจากชายแดนไทย และมาบัดนี้เคลื่อนกำลังเพิ่มเติมเข้ามาอีกสามกองพันพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัย หากประมาณคร่าว ๆ ถึงแสนยานุภาพที่เคลื่อนขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วก็เห็นจะมีกำลังร่วมสองกองพลแล้ว
       
       ไม่รวมถึงแสนยานุภาพทางนาวีที่มาเลเซียเตรียมกองเรือดำน้ำเพ่นพ่านอยู่ในทะเลหลวง ซึ่งใช้ระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถมาถึงแนวคลองกระแถวสงขลาและไม่ช้าไม่นานก็ถึงแนวคลองกระชั้นบน แม้กระทั่งถึงพังงาด้วยซ้ำไป
       
       ไม่รวมถึงแสนยานุภาพทางอากาศที่ ณ วันนี้ใครรู้ดีช่วยบอกทีเถิดว่าหากเปรียบเทียบแสนยานุภาพทางอากาศกันแล้วระหว่างไทยกับมาเลเซียจะเป็นประการใด?
       
       กองกำลังมากมายขนาดนี้ มันเป็นไปเพียงเพื่อสกัดกั้นคนไทยไม่ให้ข้ามแดนเท่านั้นหรือ? ตรงนี้แหละขอให้ช่วยกันคิดให้ดี
       
       แล้วแสนยานุภาพของเราในพื้นที่นั้นละมีเท่าใด? รับมือเขาไหวหรือ?
       
       และนี่ไม่ใช่หรือที่เป็นพลังแอบแฝงแล้วหนุนช่วยให้ปฏิบัติการก่อความไม่สงบยืดเยื้อรุนแรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ กระทั่งบางหน่วยงานและบุคคลสำคัญบางคนของมาเลเซียถึงกับประกาศว่าจะต้องแยกดินแดนสามจังหวัดออกเป็นรัฐอิสระหรือเป็นเขตปกครองพิเศษ แล้วทำให้รัฐบาลไทยต้องกระอักกระอ่วนใจตลอดมา!
       
       ก่อนอื่นก็ต้องขอย้ำว่าเราคัดค้านสงคราม เราต้องการสันติ เราต้องการสันติภาพ ต้องการความสงบสุข การกระทำใด ๆ ไม่ว่าของใครและของชาติใดที่เกื้อหนุนต่อการเกิดสงคราม ทำลายสันติ ขัดขวางสันติภาพ และสร้างความทุกข์ยากขึ้นแก่มนุษยชาตินั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประชาชาติไทยและประชาชาติใด ๆ ในภูมิภาคนี้เลย
       
       วันก่อนได้แย้มพรายไว้บ้างแล้วว่าเมื่อราว 2 เดือนก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนบ้านของเราได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยื่นต่อสภาผู้นำศาสนาอิสลามโลกที่กรุงเตหะราน กล่าวหาประเทศไทยอย่างหน้าด้าน ๆ ว่ากีดกันข่มเหงรังแกมุสลิม นั่นก็เพื่อบอกสัญญาณให้เพื่อนร่วมชาติได้รู้ว่ามีอันตรายซ่อนตัวอยู่ ควรที่พี่น้องร่วมชาติทุกคนจะตื่นตัวขึ้นมาเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจไม่คาดคิด
       
       ทั้งยังได้เตือนด้วยว่าควรที่นายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ตรวจสอบข้อมูลข่าวสารเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพราะคนที่รู้เรื่องนี้ในประเทศไทยของเราก็มีอยู่
       
       ต้องบอกอีกว่าบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซียนั้นมีคนสองสัญชาติอยู่เป็นจำนวนร่วม 300,000 คน และเป็นไปในทางมากกว่า 300,000 คน ส่วนจะเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดนั้น ถึงวันนี้ย่อมเป็นเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยจะต้องทำความกระจ่างและให้เกิดความชัดเจนเพื่อที่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงจะได้ใช้เป็นฐานข้อมูลในการปฏิบัติการ
       
       นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงคนสองสัญชาติเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2548 ซึ่งค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก แต่ก็นับว่าเป็นการเสนอประเด็นที่ถูกเป้าเข้าจุด และขออย่าให้เป็นการพูดเลื่อน ๆ ลอย ๆ เพราะนี่คือปมเงื่อนสำคัญที่เกี่ยวพันกับชะตากรรมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
       
       ตามกฎหมายสัญชาติประเทศไทยถือหลักสองหลักคือหลักดินแดนและหลักสายเลือด นั่นคือใครเกิดในดินแดนไทยและมีพ่อหรือแม่เป็นไทยก็จะได้สัญชาติไทย แต่ขณะเดียวกันหากละสัญชาติไทยไปถือสัญชาติอื่นหรือไปถือสัญชาติอื่นโดยไม่สละสัญชาติไทยก็เป็นอันว่าสิ้นสัญชาติไทยด้วย
       
       ทว่านั่นเป็นหลักกฎหมาย แต่ในการปฏิบัติกลับไม่มีการปฏิบัติกันเลย จึงเป็นเหตุให้คนในพื้นที่นั้นนอกจากถือสัญชาติไทยแล้วยังไปถือสัญชาติมาเลเซีย โดยได้รับการเอื้อเฟื้อเป็นพิเศษให้ถือสัญชาติมาเลเซียด้วย หากจะว่ากันตามกฎหมายคนเหล่านี้เป็นอันสิ้นสัญชาติไทยแล้ว
       
       การที่สิ้นสัญชาติไทยเพราะถือสัญชาติใหม่แล้วฉวยโอกาสข้ามแดนไปมาเลเซียแล้วบอกว่าเป็นคนไทยอพยพหลบภัยจึงไม่เป็นธรรมกับประเทศไทย และเป็นเรื่องที่หน่วยงานด้านประชาสัมพันธ์ของรัฐพึงชี้แจงทำความเข้าใจให้ชัดเจนทั้งภายในประเทศและต่อประชาคมโลก
       
       มิฉะนั้นก็จะมีบางชาติฉวยเป็นโอกาสกระหน่ำซ้ำตีประเทศไทยเพื่อดึงสหประชาชาติให้เข้ามาจัดการปัญหาภายในของประเทศไทย
       
       คนที่สิ้นสัญชาติไทยไปแล้วแต่ยังแอบอิงว่าเป็นคนไทย หากยังมีสิทธิ์ลงประชามติกันในวันข้างหน้าก็พอจะคิดได้แล้วว่าอะไรจะเกิดกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
       
       แม้ว่าโอกาสจะเกิดขึ้นได้น้อยเพราะเรายังมีมิตรประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เข้าใจและยืนข้างประเทศไทย แต่ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ เรื่องนี้จึงต้องป้องกันเอาไว้แต่เนิ่น ๆ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม รวมทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ ควรจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณาอย่างจริงจัง
       
       ที่มันน่าเจ็บใจก็คือมีการสวมรอยเอาคนชาติอื่นทำทีมาเป็นคนไทย ทำอะไร ๆ ลงไปในพื้นที่นั้นแล้วบอกว่าเป็นการกระทำของคนไทย ทำให้คนไทยฆ่ากันเอง
       
       กลับมาที่กองกำลังทางบกของมาเลเซียตามแนวชายแดนที่ประมาณการว่ามีจำนวนร่วมสองกองพลนั้นมันหายไปไหนเป็นส่วนใหญ่? เพราะถ้าหากไม่ถอยออกไปก่อน จำนวนที่เคยเคลื่อนขึ้นมานั้นก็พอเพียงอยู่แล้วถ้าหากจะมีบทบาทเพียงสกัดคนไทยข้ามแดน เว้นเสียแต่ว่ากำลังพลเหล่านั้นได้สลายตัวไปแล้วแปรสภาพเคลื่อนย้ายเข้ามาในแดนไทย ทำตัวเป็นคนสองสัญชาติ
       
       แปลงตัวเป็นคนสองสัญชาติทดแทนจำนวนคนที่ย้ายถิ่นฐาน ซึ่งปรากฏตามข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยว่ามีจำนวนถึงเดือนละประมาณ 15,000 คน
       
       คนสองสัญชาติแปลงกายที่เนื้อแท้เป็นทหารของฝ่ายตรงกันข้ามย่อมมีศักยภาพที่จะทำการสงครามทั้งนอกรูปแบบและทำสงครามแบบแผนได้โดยไม่ได้ด้อยไปกว่าทหารของไทยเลย
       
       หรือว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเหมือนเมื่อครั้งที่ทหารเวียดนามสวมรอยเป็นทหารลาวแล้วเปิดศึกร่มเกล้ากับประเทศไทยในอดีต!
       
       ดังนั้นการที่กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทวีความรุนแรงมากขึ้น ขยายตัวมากขึ้น และยืดเยื้อมากขึ้น จึงแยกไม่ออกกับการเปลี่ยนโฉมแปลงร่างดังกล่าว มันเป็นปรากฏการณ์สวมรอยและฉวยโอกาสหลังจากสถานการณ์พลิกผันจากปัญหาผู้มีอิทธิพลอำนาจมืดมาเป็นปัญหาแบ่งแยกดินแดนแล้ว
       
       ก็อยากบอกเตือนรัฐบาลว่าการฟังรายงานที่ผิดพลาดอย่างต่อเนื่องแล้วย่อมทำให้เกิดผลเช่นนี้
       
       ตัวอย่างล่าสุดที่นายกรัฐมนตรีแถลงว่านาวิกโยธินสองนายถูกสังหารตั้งแต่ตอนรุ่งสาง แล้วหมอพรทิพย์เผยผลการชันสูตรว่าถูกสังหาร ณ เวลา 14.00-15.00 น. ก็คือความซ้ำซากของความผิดพลาดของรายงาน และถ้าความผิดพลาดนั้นขยายไปถึงบุคคลที่ถูกระบุว่า “รู้ตัวคนร้ายหมดแล้ว” ก็จะนำไปสู่การจับกุมหรือปฏิบัติการที่ผิดพลาดและขยายผลร้ายต่อไป
       
       และอยากจะบอกย้ำด้วยว่าอย่าไปเชื่อรายงานว่าไม่มีเขตปลดปล่อย ทั้งอยากจะถามด้วยว่าสิ่งที่เรียกว่าเขตปลดปล่อยนั้นรู้จักมันดีแล้วหรือว่ามันคืออะไร? มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มันพัฒนาและดำเนินการไปอย่างไร? และระดับไหนที่ถือว่าเป็นเขตปลดปล่อย?
       
       เพราะในวันนี้กว่า 760 หมู่บ้านในจำนวนทั้งหมดราว 1,500 หมู่บ้านมีแกนหลักปฏิบัติงานและเป็นเขตปฏิบัติการของฝ่ายตรงกันข้าม โดยที่เราให้ความคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินแก่ประชาชนไม่ได้ และกลไกรัฐก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติไม่ได้ นี่คือสิ่งที่จะต้องสะกิดใจและพิจารณาไตร่ตรองให้จงดี
       
       การที่มีแสนยานุภาพของต่างชาติแอบแฝงเข้ามาในรูปคนสองสัญชาติก็ดี และมาประจัญอยู่ที่ชายแดนร่วมสองกองพลเป็นอย่างน้อยก็ดี มันไม่สมกับข้ออ้างที่ว่าเพื่อสกัดคนไทยข้ามแดน และความจริงก็คือมาเลเซียไม่เคยจับคนข้ามแดนเลยแม้แต่คนเดียว
       
       แต่นั่นมันคือปรากฏการณ์ให้ความคุ้มครองกับฝ่ายที่ก่อความไม่สงบ ป้องปรามแสนยานุภาพของกองทัพไทยให้ขยับตัวไม่ได้ คิดเรื่องนี้กันบ้างหรือยัง?
       
       ในพื้นที่นั้นแสนยานุภาพทางบกของเราก็มีเพียงบางจุด และมีอัตรากำลังไม่ถึงสองกองพล โดยยังไม่ต้องพูดถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ว่าของใครมีประสิทธิภาพกว่ากัน และยิ่งงานมวลชนด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดอีกเลย
       
       เมื่อรวมแสนยานุภาพทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ตลอดจนมวลชนของฝ่ายตรงกันข้ามแล้ว มันด้อยกว่า พอ ๆ กัน หรือเหนือกว่าแสนยานุภาพของกองทัพไทยกันแน่? ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องให้ความสนใจโดยพลัน
       
       เพราะเราอาจเสียดินแดนได้โดยพลันเหมือนกัน!
       
       บทเรียนในอดีตที่เวียดนามเคยเสนอให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยืมกำลังทหารร่วมสามสิบกองพันเพื่อเป็นกองหน้าตัดภาคอีสานออกจากประเทศไทย โดยมีแสนยานุภาพของนายพลเทียนวันดุง 300,000 คนหนุนอยู่ข้างหลังนั้นควรจะได้หยิบยกขึ้นพิจารณาศึกษาว่ามันกำลังเกิดขึ้นซ้ำรอยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่?
       
       ดีที่ว่าครั้งกระโน้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมีจิตใจรักชาติจึงปฏิเสธข้อเสนอ หาไม่แล้ววันนี้ภาคอีสานก็อาจจะไม่ใช่ของไทยอีกต่อไป
       
       แล้วกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่นั้นน่ะหรือจะมีความคิดจิตใจแบบเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต แล้วเราจะทำกันอย่างไร?
       
       รัฐบาลจะมัวถือว่าเรื่องนี้ไม่สร้างสรรค์ไม่ได้แล้ว และจะมัวเห็นว่าเรื่องการเร่งตัวเลขต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจสำคัญกว่าปัญหาความมั่นคงไม่ได้แล้ว
       
       เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจนั้นขึ้นลงได้ ขาดดุลแล้วก็ได้ดุลได้ แต่หากเสียดินแดนแล้วก็ยากที่จะได้คืน ดังนั้นจึงควรต้องยกเอาปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาหลักเร่งด่วนที่สุดของชาติตั้งแต่บัดนี้ไป
       
       รัฐบาลทักษิณ 2 จะเป็นประการใดก็เห็นจะชี้ขาดกันด้วยปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นี่แหละ!
 
 
บันทึกการเข้า
M1911LOVER "รักในหลวง"
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 6
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 236



« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 12:21:12 AM »

ต่ออีกนิดหนึ่งครับ...
ต้องขอโทษที่ผมคัดลอกจากเว็บผู้จัดการมาทั้งหน้า
แต่ถ้าถามว่า "ทำไมชาติที่อยู่ทางใต้ของเรา อยากมีผลประโยชน์ในดินแดนสามจังหวัด ทั้งที่ความเข้มข้นเรื่องประวัติศาสตร์กับเรื่องศาสนาดูจะอ่อนน้ำหนักในพ.ศ.นี้"
คำตอบคือผลประโยชน์ในอ่าวไทยครับ...
อ้างจากการบรรยายของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่หอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ วันที่ 23 ก.ย. 2548
"ถ้าลากเส้นตั้งฉากจากเขตสามจังหวัด มายังชายฝั่งทะเลอ่าวไทย หากแบ่งแยกดินแดนสามจังหวัดได้จริง เขตปกครองใหม่จะได้สิทธิน่านน้ำ เป็นพื้นที่กว่ากึ่งหนึ่งของอ่าวไทยปัจจุบัน"
หมายถึงทรัพยากรประเภทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติใช่ไหมครับ....
บันทึกการเข้า
ekkawit
รักกันจริง ยิงกันจัง แต่ตังต้องเยอะ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4655


คิดให้ไกล และต้องไปให้ถึง


« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 12:50:29 AM »

อืมน่าคิดนะครับ
บันทึกการเข้า

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
NAIJUB
ทางนั้น..คือทางสายกลาง...
Full Member
***

คะแนน 0
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 274



« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 01:32:12 AM »

  Smiley..เป็นห่วงประเทศไทย...ครับ Angry Angry
บันทึกการเข้า

สุข ทุกข์..............อยู่ที่ใจ
piras
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 01:36:02 AM »

ไอ้พวกแขกชาติอดีตขี้ข้าอังกฤษมันชักจะทำเกินไปแล้ว
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ท่านนายกฯจะหันมาพัฒนาแสนยานุภาพของกองทัพไทยทั้งสามเหล่าทัพให้ทันสมัยตามที่ท่านเคยสัญญาไว้ก่อนเลือกตั้ง  ที่ผมเลือกท่านเข้ามาก็เพราะคำสัญญาข้อนี้นะครับ เมื่อกองทัพเราอ่อนแอ ไอ้พวกแขกอดีตขี้ข้าฝรั่งมันก็อวดกำแหงอย่างงี้ล่ะครับ  ถ้าไม่ดำเนินการเสียตั้งแต่ตอนนี้ เราก็มีแต่จะล้าหลังมันออกไปเรื่อยๆ ถึงเวลานั้น Bargaining Power เราก็แทบจะไม่เหลือแล้ว
อย่าลืมนะครับ ถ้ารักเมืองไทย อย่าเติม Petronas ปล่อยให้มันเจ๊ง กลับประเทศมันไป ผมล่ะเกลียดจริงๆพวกแขกนี่
บันทึกการเข้า
rute - รักในหลวง
Forgive , But not Forget .
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1960
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 22591


"ผลิดอกงามแตกกิ่งใบ..."


« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 02:05:20 AM »

น่าคิดคับ...
บันทึกการเข้า
ป้อมทอง พรานชุมไพร
ดับบาป ด้วยบุญปืน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 780
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6885


นรชาติวางวาย สถิตย์ไว้ แต่ความดีประดับไว้โลกา


« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 05:23:33 AM »

 Grin    พวก   แ .....ก      ตามดอย
บันทึกการเข้า

รักกันไว้เถอะ  เราเกิดร่วมแดนไทย   จะเกิดภาคไหนๆ    ก็ไทยด้วยกัน      
เชื้อสายประเพณีไม่มีขีดคั่น        เกิดเป็นไทยนั้นปวงชนทุกคนคือไทย
นักรบแนวหน้า
Jr. Member
**

คะแนน 0
ออฟไลน์

กระทู้: 24


« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 05:48:07 AM »

มีคนเคยถามแล้ว ลองคิดดูสิถ้ายึด 3จว ได้แล้วเค้าขุดคลองเชื่อมต่อทะเลทั้ง2ฝั่ง แล้วเรือขนสินค้าจะไปไหนล่ะ ผลประโยชน์มหาสาร
บันทึกการเข้า
สุพินท์ - รักในหลวง
Guns & Games Staff
Hero Member
*****

คะแนน 3539
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 12903



« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 07:20:04 AM »

เลยวิจารณ์ไปกันใหญ่
เรื่องการเคลื่อนกำลังทหาร  เป็นเรื่องปกติครับ   เรานำกำลังทหารราบจากภาคอิสานลงไป  นำกำลังจากกองพลรบพิเศษลงไป  และยังมีการจัดตั้งหน่วยปกติขึ้นอีกหนึ่งกองพล (ที่จริงเป็นการแปรสภาพ)   มีการโอนงบประมาณ กับเคลื่อนย้ายน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนมากลงไปทางใต้   ทางมาเลเซียก็ต้องเคลื่อนกำลังขึ้นมายัน

แต่ที่แปลกคือ เมื่อสองอาทิตย์ก่อน  ผมอยู่บรูไน ต้องนั่งประชุม (กินมื้อเช้าไปด้วย) กับเพื่อนทหารในกลุ่มอาเชียนด้วยกันทุกวัน   พม่ารู้หมดว่ามาเลเซียขยับหน่วยไหนขึ้นมาบ้าง
บันทึกการเข้า
โจ ™
สมาชิกลำดับที่: 41
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 219
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8187


รวมเวลาที่อยู่ในระบบ: 555 วัน 5 ชั่วโมง 55 นาที


เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 07:28:45 AM »

พม่ารู้ความเคลื่อนไหว  ไปถึงมาเลย์  ก็คงไม่ต้องถามถึงประเทศไทยครับ  Tongue Tongue
บันทึกการเข้า

บางโพ 5
น้าเสก คนเดิม
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 712
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 14502


รับแขก...แจกเหล้า...เฝ้าสำนักงาน


« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 07:58:42 AM »

พม่าสายตาเขากว้างไกลและยาวไกลครับ  Grin
เขาต้องการจากเราแบบหนึ่ง...คือไทยเป็นมิตรประเทศที่มีชายแดนติดกันใช้เป็นทางผ่านเรื่องเศรษฐกิจของเขาได้ เช่น ยาฯ ผงฯ เป็นต้น
ในเรื่องการทหารหลาย ๆ เรื่องเขาก็ได้อาวุธยุทธโธปกรณ์ผ่านทางมาเลเซีย,สิงค์โปร์ เช่น ระบบอาวุธต่อสู้อากาศยานและเรดาร์จากสิงค์โปร์ (เป็นของเก่าที่สิงค์โปร์ซื้อจากยุโรป แต่ยกให้พม่าเพื่อตอบแทนการทางค้า ตามสไตล์เจ๊ก) ถึงแม้จะเก่าแต่สามารถใช้ต่อต้านเครื่องบินของเราได้
กับมาเลเซียไม่ต้องพูดถึง เพราะพม่ามีทรัพยากรธรรมชาติมากมายก่ายกอง เพียงแต่เขาเป็นประเทศปิด มหาอำนาจเข้ามาเผ่นพ่านไม่ได้ จึงมีแต่ประเทศข้าง ๆ นี่แหละพยายามตอมหึ่งกันอยู่

เพราะฉะนั้นในอนาคต จึงไม่แปลกใจที่อาจจะเห็น เครื่องบิน เอฟ-5 เอฟ-16 มิก-29 ฮอคส์ บินอยู่ในพม่า
ฉะนั้นจึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งก็ได้ว่าทำไมพม่าจึงรู้ข่าวเคลื่อนไหวของทหารมาเลเซียสิงค์โปร์และภูมิภาคอาเซียนตลอดเวลา ก็เขาเป็นญาติกันจริง ๆ นี่ ไม่ใช่ญาติแค่หน้ากากอย่างประเทศไทยเรา  Grin
บันทึกการเข้า

Army - รักในหลวงครับ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 151
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2251



« ตอบ #11 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 08:04:57 AM »

แต่ที่แปลกคือ เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ผมอยู่บรูไน ต้องนั่งประชุม (กินมื้อเช้าไปด้วย) กับเพื่อนทหารในกลุ่มอาเชียนด้วยกันทุกวัน พม่ารู้หมดว่ามาเลเซียขยับหน่วยไหนขึ้นมาบ้าง

การข่าวยอดเยี่ยมจริงๆ   Smiley
บันทึกการเข้า
JJ-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 386
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9425


« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 09:36:19 AM »

น่าคิดครับ หูตากว้างไกลไปอีกมาก
บันทึกการเข้า
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 10:01:45 AM »

เขาว่าการข่าวของพม่าเนี่ย อันดับ 3 ของโลกเลย จริงริปล่าวเนี่ย
บันทึกการเข้า
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #14 เมื่อ: กันยายน 26, 2005, 10:53:05 AM »

Smiley..ขอบคุณมากครับ คุณ M1911LOVER
          รู้เขา รู้เรา  รบร้อยครั้งไม่มีพ่ายแพ้... Smiley
บันทึกการเข้า

หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.067 วินาที กับ 21 คำสั่ง