จีนเริ่มมีพลเมืองที่เป็นมุสลิมเมื่อใด?
แต่ก่อนคนจีนเรียกศาสนาอิสลามว่า "ศาสนาหุย"
พ.ศ.1194 ก่อนการก่อตั้งราชอาณาจักรไทยประมาณ 700 ปี เป็นปีที่ 2 ของรัชศกหย่งฮุย รัชสมัยพระเจ้าถังไท่จง ได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีที่เมืองฉังอาน ต่อมา พระเจ้าถังซูจงได้อาศัยทหารหุยเหอ ปราบกบฏอาน-สื่อ ทหารหุยเหอซึ่งนับถือศาสนาหุยจำนวนไม่น้อยถือโอกาสลงหลักปักฐานในดินแดนจีน ถ้าผู้อ่านท่านอ่านประวัติศาสตร์ จะพบว่าพวกอรับค้าเก่ง ค้าทั้งทางทะเลและทั้งทางบก อรับใช้เส้นทางทะเลเข้ามาค้ากับจีนที่เมืองก่วงโจว เฉวียนโจว หังโจว และหยังโจว ฯลฯ บางส่วนเข้ามาแล้วก็ตั้งบ้านเรือนอยู่ถาวร มุสลิมอรับบางคนก็แต่งงานกับชาวฮั่น และก็สร้างมัสยิดแห่งแรกในแผ่นดินจีน เรียกว่า "ชิงเจินซื่อ"
พอมาถึงสมัยราชวงศ์ซ่ง อรับเริ่มเข้าจีนมากขึ้น เมื่อมาอยู่รวมเป็นชุมชนแล้วก็ตั้งมัสยิด เช่น มัสยิดหไหวฺเซิ่งที่เมืองก่วงโจว มัสยิดชิงจิ้งที่เมืองเฉวียนโจว ฯลฯ มัสยิดดังพวกนี้สร้างในสมัยราชวงศ์ซ่งทั้งนั้นนะครับ
ถึงสมัยราชวงศ์หยวน ชนชั้นปกครองของจีนส่วนใหญ่เป็นคนมองโกล นอกจากมองโกลแล้วยังมีพวกเซ่อมู่ พวกเซ่อมู่มาจากดินแดน ตะวันตกของจีน ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ในสมัยราชวงศ์หยวนนี่แหละครับ ที่พวก "หุยหุย" ดังมาก "หุยหุย" เป็นคำภาษาจีนที่ใช้เรียกทายาท ของมุสลิมดั้งเดิมที่อยู่ในแผ่นดินจีน ในยุคของราชวงศ์นี้ มีการสร้างสำนักศึกษาที่สอนเฉพาะพวกหุยหุยเป็นพิเศษ
ถึงยุคของราชวงศ์หมิง พระเจ้าหมิงไท่จู่ให้ความเคารพต่อศาสนาอิสลามมาก ขนาดให้สร้างมัสยิดที่เมืองจินหลิน พอถึงรัชสมัยของพระเจ้าหมิงเฉิงจู่ พระองค์ได้ออกพระราชโองการให้คุ้มครองศาสนาอิสลาม ผู้อ่านท่านคงจะเคยได้ยินชื่อของวีรบุรุษจีนคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้บุกเบิกทะเลตะวันตกสำเร็จ คือ เจิ้งเหอ ท่านผู้นี้ก็นับถือศาสนาอิสลาม เป็นมุสลิมมาจากมณฑลหยุนหนาน พ่อและปู่เป็นฮุจญาตที่เคยไปประกอบศาสนกิจที่บัยตุลลอฮฺในนครมักกะฮฺมาแล้วด้วย
ในยุคของราชวงศ์ชิง ผู้นับถือศาสนาอิสลามในดินแดนจีนกระจัดพลัดพรายอยู่ในทุกเมืองและทุกมณฑล มุสลิมอยู่ที่ไหนก็จะรวมกลุ่มกันประกอบศาสนกิจ และอยู่กันเป็นกลุ่มไม่กระจัดกระจาย มีองค์มติความศรัทธาในอัลลอฮฺและนบีมุฮำมัดอย่างเข้มแข็ง มีองค์การ องค์พิธีกรรม และองค์วัตถุทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมชัดเจน จนเป็นที่หวาดระแวงของราชสำนักชิง
ราชวงศ์ชิงเป็นพวกแมนจู ที่เข้ามายึดอำนาจจากราชวงศ์หมิง ได้สำเร็จ พวกนี้มีนโยบายต่อพวกฮั่นโดยใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง
ไม้อ่อนคือ ดูแลคนในราชวงศ์เก่าที่เข้ามาสวามิภักดิ์อย่างดีพิเศษ ไม้แข็งก็คือ ฆ่าทหารและราษฎรทุกคนที่ต่อต้าน ห้ามการรวมกลุ่ม ห้าม ตั้งสมาคม นโยบายของราชวงศ์ชิงที่มีต่อพวกมองโกลคือ ใช้ประโยชน์จากพละกำลังของพวกมองโกล ผูกน้ำใจชนชั้นสูงของชนเผ่าและก่อตั้งทหารแปดกองธงขาวมองโกล ไม่ให้ชาวมองโกลศึกษาภาษาฮั่น เพื่อทำให้คนมองโกลขาดโอกาสก้าวหน้าทางภูมิปัญญาความรู้
ส่วนนโยบายที่ราชวงศ์ชิงมีต่อพวกทิเบตก็คือ ยกย่องนิกายลามะที่ชาวบ้านเสื่อมศรัทธา ไม่ให้มีการติดต่อกันระหว่าง คนทิเบตกับฮั่น ห้ามแต่งงานข้ามเผ่า ทิเบตจะแต่งกับฮั่นไม่ได้ เพราะราชวงศ์ชิงแมนจูไม่ต้องการให้สังคมทิเบตพัฒนา
นโยบายที่มีต่อพวกชนกลุ่มน้อยทางตะวันตกเฉียงใต้ ราชวงศ์ชิงให้เลิกระบบเจ้าสืบตระกูลของพวกชนกลุ่มน้อย ทั้งเผ่าแม้ว เผ่าเย้า ฯลฯ จึงไม่มีเจ้าตั้งแต่สมัยในยุคของราชวงศ์ชิงเป็นต้นมา เมื่อหมดระบบเจ้าแล้ว จึงค่อยๆทยอยส่งขุนนางจากส่วนกลางลงไปปกครอง
ส่วนในดินแดนซึ่งปัจจุบันคือเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประชากรส่วนใหญ่ของดินแดนนี้เป็นมุสลิม นับถือศาสนาอิสลาม ราชสำนักชิงใช้วิธีสร้างความแตกแยก ทำให้ผู้นับถือศาสนาอิสลามและผู้นับถือ ศาสนาอื่นเกลียดชังกัน นอกจากนั้น ยังสนับสนุนให้เกิดนิกายใหม่ๆ ในหมู่ คนมุสลิมเพื่อให้รวมกันไม่ได้
นโยบายของแต่ละราชวงศ์ของจีนที่มีต่อผู้คนแต่ละเผ่าพันธุ์นี่น่าศึกษาครับ ผู้นำหลายประเทศไปศึกษายุทธศาสตร์ควบคุมคนเผ่าพันธุ์อื่น ศาสนาอื่นของจีน และนำมาใช้ในประเทศของตน ประเทศ ต่างๆเหล่านี้จึงอุบัติความขัดแย้งอย่างรุนแรงเมื่อโลกเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ เมื่อโลกมีอินเตอร์เน็ต ปิดปังข้อมูลอะไรกันไม่ได้.

ที่มาคอลัมน์ : เปิดฟ้าส่องโลก, นิติภูมิ นวรัตน์, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ (ฉบับวันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2552)