ผมว่าเป็นไปได้ยากครับ เพราะต้องมีการคำนวณปริมาณของสารเคมีที่จะใช้อยู่ก่อนแล้วว้่าต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่จึงจะได้ค่า pH เป็นกลาง และกรดเกลือกับโซดาไฟเป็นกรดแก่กับเบสแก่ทั้งคู่ ซึ่งจะทำปฏิกิริยาทางเคมีได้สมบูรณ์ออกมาเป็นเกลือแกงกับน้ำตามสมการเคมีข้างล่างนี้ครับ
HCl (aq)+NaOH (aq) ---> NaCl (aq)+H2O (l)
และ
ก่อนทางโรงงานจะนำมาบรรจุขวดต้องมีการตักซีอิ๊วบางส่วนไปตรวจสอบในห้องแล็บก่อนครับ ถ้าผลตรวจไม่ผ่านก็นำมาบรรจุขายไม่ได้ครับ
เหวอ!!! ...

... ยิ่งสยองใหญ่เลยครับ...

อย่างนี้แปลว่าเขารับรองว่า"การใช้เส้นผมมนุษย์ทำซีอิ้ว"คือวิธีผลิตที่มาตรฐาน... และสามารถผ่านการตวจสอบ+รับรองคุณภาพ ถึงได้บรรจุขายได้ด้วย... โอ๋ย...
เขาใช้เครื่องหมายอะไรรับรองคุณภาพเล่าครับ... อยากทราบไว้ประดับความรู้... กึ๋ยส์
อ่า...สงสัยท่านสมชายจะเข้าใจผิดแล้วครับ ผมหมายถึงกระบวนการผลิตซอส ซีอิ๊ว และผลิตภัณฑ์ที่ทำจาก "ถั่วเหลือง" ในระดับโรงงานอุตสาหกรรมครับ
เรื่องใช้เส้นผมมาทำนั้น ผมว่าต้นทุนน่าจะแพงกว่าใช้ถั่วเหลืองแน่ๆครับ แถมกลิ่นรสที่ออกมามันคงแปร่งๆน่าดู และมันเป็นสิ่งปลอมปนที่ไม่ปลอดภัยแน่นอนครับ

จากที่ผมฟังจากเพื่อนที่เคยทำงานอยู่ในแผนกผลิตอาหารของโรงงานผลิตซอส ซีอิ๊ว นำปลาพวกนี้ครับ เขาก็บอกมาว่ากระบวนการผลิตที่มีการใช้สารเคมีจำพวกกรดและเบสก็คือการผลิตพวกซอสหรือซีอิ๊วเกรดต่ำ น้ำท้ายๆ ราคาถูก เช่น สูตร 5 พวกนี้แล้วครับ ซึ่งซอสสูตรท้ายๆพวกนี้เราจะเอามาทำเป็นน้ำจิ้มกันมากกว่าครับ ไม่นิยมเอามาใช้ในการปรุงอาหารกันอยู่แล้ว เพราะกลิ่นก็ไม่หอม รสชาติก็ไม่ได้เรื่อง ดีแต่เค็มอย่างเดียวครับ
ส่วนน้ำปลาสูตรท้ายๆ เช่น สูตร 3 ก็ใช้กากปลาที่เหลือจากการผลิตน้ำปลาชั้นอื่นๆแล้วมาต้มกับน้ำเกลือเข้มข้น หรือใช้วิธีเอาน้ำปลาชั้นอื่นมาผสมน้ำเกลือ จากนั้นก็เอาไปแต่งกลิ่น ปรุงรส ใส่สี ส่งไปตรวจแล้วบรรจุขวดขาย จึงไม่ต้องแปลกใจทำไมน้ำปลาผสมพวกนี้ราคาถึงถูกมากแค่สิบกว่าบาท ในขณะที่พวกน้ำปลาชั้น 1 อย่างดีขวดนึงราคาตั้งเกือบ 30 บาทเชียวครับ

ส่วนมาตรฐานการผลิตก็ดูที่ตรา มอก. กับตรา อย. ไว้ก่อนเลยครับ ถ้ามี 2 ตรานี้รับรองว่าได้ซอสกับน้ำปลามีคุณภาพไม่ปลอมปนแน่นอนครับ
