ถ้าเราโดนแก๊งปาหินใส่รถ แต่เราไม่ได้รับอันตราย และเรามีจังหวะและโอกาสที่จะตอบโต้
การใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ พวกแก๊งปาหินถือว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุรึป่าวครับ
เพราะการกระทำของพวกแก๊งปาหิน ถือว่าเป็นข้อหาพยายามฆ่าเลยนะครับ
ขอบคุณครับ

คนร้ายที่ปาหินใส่รถนั้น ถือว่าคนร้ายนั้น ย่อมเล็งเห็นถึงผลของการขว้างหินใส่รถยนต์ที่กำลังวิ่งมาบนท้องถนนได้ว่ารถยนต์นั้นอาจเกิดการเสียหลัก และคนที่โดยสารมากับรถยนต์คันดังกล่าวอาจถึงแก่ความตายได้ จึงถือว่าผู้นั้นเจตนาฆ่าคนที่โดยสารมาในรถตามกฏหมาย

แต่ความผิดของคนปาหิน กับความผิดของคนยิงคนร้ายที่ปาหิน การพิจารณาความผิดของแต่ละคนจะต้องแยกออกจากกัน

ปัญหาของเรื่องนี้ ข้อเท็จจริงมักปรากฏว่าพวกแก๊งปาหิน เมื่อปาหินใส่เราแล้ว มักจะหนีทันที ไม่กลับมาขว้างซ้ำ

จึงไม่มีโอกาสที่จะใช้อาวุธปืนกับคนร้ายได้ครับ

แต่ถ้าปรากฏว่า ขณะที่เราขับรถแล้วคนปาหินใส่ แต่เราสามารถควบคุมรถได้และลงจอด ออกจากรถพร้อมปืนคู่ใจ
การยิงนั้นจะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฏหมายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้อเท้จจริงนี้ครับ
๑. ถ้าคนร้ายยังคงหยิบหิน วิ่งเข้ามาปาอีก หรือกรูกันเข้ามาโดยประสงค์ที่จะทำร้ายร่างกายหรือประสงค์ต่อทรัพย์ ถือว่ามีเหตุภยันตรายอันละเมิดต่อกฏหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เข้าหลักกฎหมายในเรื่องการป้องกันแน่นอนครับ
แต่...แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะถือว่ามีเหตุอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินตามกฏหมายแล้วก็ตาม แต่หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าคนร้ายที่เข้ามานั้น มีเพียงมือเปล่าหรือถือหินอย่างเดียวเข้ามา โดยไม่ปรากฏว่าคนร้ายมีอาวุธอื่น เช่นมีดขนาดยาว หรืออาวุธปืน ท่อนไม้ขนาดใหญ่มาด้วย และเราเองมีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการอื่นปรามไว้ก่อน เช่น ยิงขู่ก่อนได้ แต่ไม่ใช้ แต่เรากลับใช้อาวุธปืนยิงสวนไปทันทีโดยไม่ใช้วิธีอื่นก่อนในการปรามกลุ่มคนร้ายไม่ให้เข้ามาประชิดตัวเรา ในข้อนี้ส่วนตัวผมเชื่อว่าเป็นการป้องกันแต่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุครับ
๒. ถ้าคนร้ายยังคงวิ่งหนีไปโดยไม่กลับมาปาหินหรือเจตนาเข้ามาปล้น ทำร้ายเรา แต่เรากลับใช้อาวุธปืนยิงใส่คนร้ายตามหลังทันที ในกรณี แม้คนร้ายคนนั้น จะเป็นผู้ใช้หินปาเราจนทำให้เราเกือบเสียหลักลงข้างทางก็ตาม แต่การที่เขาวิ่งหนีเราไปแล้ว ถือว่าเหตุร้าย ภยันตรายดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่เราสามารถที่จะอ้างว่า การยิงคนร้ายของเรานั้น เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ครับ และในกรณีนี้ ไม่ใช่เรื่องกระทำเกินกว่าเหตุด้วยนะครับ แต่เรื่องนี้เราไม่สามารถอ้างได้เลยว่าการยิงคนร้ายของเราเป็นการป้องกัน ดังนั้นเมื่อเราไม่สามารถอ้างเหตุป้องกันได้แล้ว เราจึงต้องรับผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาครับ
แต่.....แม้ในกรณีนี้ เราไม่สามารถอ้างเหตุป้องกันได้ตามกฎหมายก็ตาม แต่การที่คนร้ายใช้หินปารถเราจนเกือบทำให้เราเสียหลัก จนเกือบได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือสามารถเสียชีวิต และรถเราได้รับความเสียหาย ถือว่าเราถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ตามมาตรา ๗๒ ของกฎหมายอาญาแล้วครับ เมื่อเราใช้อาวุธปืนยิงคนร้ายในทันทีที่ประสบเหตุ การกระทำของเราจึงเป็นการยิงคนร้ายเพราะเหตุบันดาลโทสะครับ ในกรณีนี้ ศาลจะลงโทษเราน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดสำหรับความผิดนั้นเท่าไหรเพียงใดก็ได้ครับ
