ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งครับ

เรื่องพยานหลักฐานไม่ขอให้ความเห็นครับ

เป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ และดุลยพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานของศาล
ว่าพอฟังได้ว่าจำเลยน่าจะกระทำความผิดหรือไม่ อย่างไร
ตามที่ว่ามา ในส่วนเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ คราวๆครับ
- ในความผิดฐาน ทำ และ ใช้ซึ่งอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ตามมาตรา ๗ มีโทษจำคุก ๑ ถึง ๗ ปี ปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท
- ในความผิดฐาน พาอาวุธปืน ติดตัวไปในเมื่อง หมู่บ้าน ฯ โดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามมาตรา ๘ ทวิ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี ปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ ประหารชีวิตครับ
ความผิดทั้งสามนี้ เชื่อว่าเป็นการกระทำที่แยกออกจากกันได้ ภาษากฏหมายเรียกว่า ต่างกรรมต่างวาระ หากผิดจริงศาลจะต้องลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงไป
แต่มีข้อสังเกตุว่า
ในส่วนของจำเลยที่ ๑ แม้ให้การรับสารภาพ ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ทันทีไม่ได้ครับ
เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษประหารชีวิต ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน
พนักงานอัยการ จะต้องนำพยานหลักฐานสืบพอให้เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ได้กระทำความผิดตามฟ้องจริง
หมายความว่า โจทก์ยังต้องนำพยานหลักฐานต่างๆมาสืบต่อศาล เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วม หรือจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ กระทำความผิดจริง
ในส่วนนี้ ท่านเจ้าของกระทู้สามารถขอเข้าพบและขอปรึกษาจากพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน หรือนิติกรประจำสำนักงานอัยการได้ครับ
ทั้งนี้ที่สำคัญครับ ปัจจุบันกฏหมายได้ให้สิทธิผู้เสียหายในคดีอาญาไว้ด้วยครับ ดังนี้
๑. ผู้เสียหาย ( รวมถึงบุตรโดยชอบด้วยกฏหมาย หรือสามีหรือภริยาที่จดทะเบียนถูกต้อง ในกรณีที่ผู้เสียหายที่แท้จริงถูกทำร้ายถึงตาย )
สามารถยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการได้
๒. และสามารถยื่นคำร้องขอเรียกค่าสินไหมทดแทน ค่าเสียหาย ค่าปลงศพ และค่าขาดประโยชน์ ค่าขาดไร้อุปการะ ต่างๆตามกฏหมายได้ในคราวเดียวได้ครับ

โดยไม่จำต้องไปฟ้องเป็นคดีแพ่งใหม่
ในส่วนนี้ท่านสามารถติดต่อทนายความ
หรือ ร้องขอความช่วยเหลือจากทนายอาสาของสภาทนายความในจังหวัดที่ท่านอยู่
เพื่อขอคำปรึกษา แนวทาง และช่วยเหลือในการดำเนินคดีในส่วนความเสียหายและเรียกค่าสินไหมตามกฏหมายได้ครับ

โดยท่านสามารถติดต่อสอบถาม ขอคำปรึกษาได้ ที่สำนักงานสภาทนายความจังหวัดที่ท่านอยู่ หรือทนายอาสาที่นั่งประจำอยู่ที่ศาล
โดยขอให้ดำเนินเป็นคดีและรับเป็นคดีช่วยเหลือของสภาทนายความ ซึ่งเมื่อทางสภาทนายความรับเป็นคดีช่วยเหลือแล้ว ท่านไม่จำต้องเสียค่าทนายความครับ
