คนจะดีจะชั่วจริง ก็เพราะใจของตน ดีชั่วเป็นต้นเค้า ใจที่ดีนั้น แม้นไม่ปราศจากโทษก็ต้องเบาบางจากโทษเป็นอย่างน้อย ใจเช่นนี้ย่อมทำดีตามทางที่ชอบและสมควร ความดีที่ทำเป็นความดีของใจแท้ ด้วยทำดีเพราะจิตใจดี จึงเป็นเพื่อบริสุทธิ์
ส่วนใจที่ชั่วนั้น เต็มไปด้วยโทษ ตามลำพัง เรี่ยวแรงของโทษเอง ก็สามารถบังคับใจให้อยากทำความดีได้ เช่น ทำให้ด้วยอำนาจทะเยอทะยาน ด้วยอยากมักใหญ่ใฝ่สูง ด้วยปรารถนาจะแข่งดี ด้วยแส่ส่ายต่าง ๆ เช่น อยากจะให้เขาชม เป็นต้น การทำล้วนมุ่งไปหาข้างนอก ไม่ใช่ทำเพราะดีข้างใน จึงไม่เป็นไปเพื่อบริสุทธิ์ แต่กลับเป็นช่องดูแห่งมลทิน เปรียบได้เหมือนการประพรมของโสโครกด้วยของหอม ฝ่ายใจก็ไม่ได้เห็นดีของใจเองเพราะมุ่งไปหาข้างนอก ด้วยความเข้าใจผิดว่า ความดีนั้นต้องอยู่ข้างนอก ไม่ใช่อยู่ในตนเอง จึงเห็นความดีของตนแท้ ๆ ไม่ได้จึงย่อมเป็นใจที่หิวกระหายเหมือนคนอดโซ อดอยาก จึงไม่พ้นจากอันตรายได้ เพราะการทำดีอย่างนี้ ชีวิตจิตใจย่อมไปรวมอยู่ ที่จะให้เขารู้ เขาเห็น เมื่อเขาไม่รู้ ก็ต้องสำแดงอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเรียกว่า สาไถย อวดความดี เพราะถ้าไม่อวดก็กลัวเขาจะไม่รู้จึงเป็นการเท่ากับ ยกตน เพราะอยากยกตนอวดความดีของตนเอง และเมื่อมียกตนแล้ว ก็ต้องมี ข่มท่าน เป็นบริวารต่อไปอีก เพราะการข่มท่านนั้นก็เพื่อจะให้ตนเองเด่นขึ้นมา สาไถยจึงเป็นอันตรายของใจ เพราะเป็นเหตุให้เข้ากับตนอยู่เสมอและไม่เป็นเหตุให้ทำความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป อาการคือ อวดดี ยกตน ข่มท่าน เข้ากับตัวเองแล้วในทางโลก ก็เป็นที่รังเกียจอยู่แล้วทำให้เกิดการติฉินนินทา แต่ยังน้อยกว่าอันตรายทางธรรม เพราะสาไถย มีอยู่ตราบใด มายา การปิดความชั่ว ได้แก่ความเป็นคนเจ้าเล่ห์ ก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น เพราะอวดความดีกับปิดความชั่วเป็นของคู่กัน
เมื่ออยากให้รู้ว่า ตนดี ถ้าไม่มีดี ก็ย่อมกลัวเขาจะรู้ว่าตนไม่ดี จึงปิดชั่วของตนไว้ เป็นอาการที่ไม่ซื่อตรง ทำให้ยากแก่การปกครองดูแล เพราะไม่ดีจริงตามที่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ เช่น ไม่รู้ไม่สามารถในสิ่งไร จะยอมรับว่าไม่รู้ ไม่สามารถ ก็กลัวว่าตนจะไม่ดี งำความจริงของตนไว้ ทำให้คนอื่นเข้าใจไปอย่างหนึ่งบ้าง ใช้ความเดาสุ่มไปบ้าง เสี่ยง ๆ ไปบ้าง ในทางโลกก็ไม่ดีอยู่แล้ว ในทางธรรมชี้ขาดว่ามีมายา จึงละโทษของตนไม่ได้เพราะที่ปิดบังโทษของตนเอาไว้เท่ากับเป็นการเข้ากับโทษ ใจก็เลยเป็นกันเองเสียกับโทษ ไม่ละอายต่อบาป จะละโทษของใจไม่ได้แน่ มายาจึงเป็นอันตรายของใจอีกเช่นกัน ดังนั้นทำดีไม่ละโทษ ย่อมไม่พ้นจากมายาและสาไถยได้เลย ดีข้างนอกก็จะเอาให้ได้ โทษข้างในก็จะคงเอาไว้กินตัวเองอยู่ร่ำไป
การที่อยากจะเอาดีข้างนอกนั้น ก็คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เท่านี้เอง ถ้าไม่ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ไม่มีแรงที่จะทำดีต่อไป และไม่มั่นอยู่ในความดีที่ทำมา
หน้าที่ของมนุษย์ จะได้สิ่งเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม ก็ต้องทำความดีอยู่ร่ำไป ถ้ามัวแต่ถือว่า ต้องทำความดีเพราะสิ่งเหล่านั้นเหล่านี้เป็นเหตุให้ทำแล้ว ผู้ที่ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพียงพอแล้วก็ต้องหยุดทำความดีได้แล้ว เพราะการงานที่ต้องทำเพื่อได้มาเสร็จแล้ว ไม่มีเรื่องที่จะต้องทำความดีต่อไป คงจะเกิดความทุกข์ขึ้นในโลกนี้อยากมหาศาล การที่มุ่งไปเอาดีกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขล้วนเป็นพิษแก่ตนอย่างแท้ ก็เพราะ มีลาภ ก็มีหมดลาภ มียศ ก็มีเสื่อมยศ สรรเสริญ ก็ย่อมมีนินทา สุขก็ย่อมมีทุกข์ เป็นสัจธรรมแท้จริงที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยง หรือเลือกได้
ชีวิตของมนุษย์ ต้องประกอบด้วยประโยชน์ที่เป็นธรรมจึงจะไม่เสียที่ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าชีวิตปราศจากประโยชน์ ชีวิตก็ไร้ค่าเป็น “โมฆะ” มีแต่ชีวิตของคนฉลาดเท่านั้น ที่ไม่ไร้ค่าคนฉลาดมีธรรมอยู่ในตัว และคนพาลนั้นมีแต่ โลกธรรมและทิฏฐิเท่านั้นฝังอยู่ในตัว สิ่งที่มีอยู่ในตัวนี้ เป็นเครื่องดำเนินเป็นมรรคาสำหรับตัวคนทุก ๆ คนไป
มรรคาอันนี้แบ่งออกเป็น ๓ ข้อ คือ
๑. โลกาธิปเตยฺย หมายถึง มีโลกธรรมเป็นใหญ่
๒. อตฺตาธิปเตยฺย หมายถึง มีทิฎฐิที่กล่าวปรารภตนเป็นใหญ่
๓. ธมฺมาธิปเตยฺย หมายถึง มีธรรมเป็นใหญ่
