เย็นวันก่อนรู้สึกหิวๆ ก็เดินไปร้านของชำใกล้บ้าน
ได้ขนมพวกวาฟเฟิลมา๑กล่อง
แกะกล่องที่พิมพ์สอดสีสวยงาม แกะอลูมิเนียมฟอยล์ที่ห่อขนมกิน
ตอนจะทิ้งกล่องและห่อฟอยล์ลงถังขยะก็สะท้อนใจ ว่าแค่ของว่างหนึ่งมื้อเล็กๆนี้ ทำไมเราต้องสร้างขยะและภาระ
นึกถึงขนมสอดใส้ ข้าวเหนียวหน้าต่างๆ ห่อใบตอง ซึ่งภาระน้อยกว่า แต่ก็หายากเต็มทีแล้ว
ความจริงควรถือหลักการ ใครสร้างขยะ คนนั้นต้องรับภาระจัดการ ใครกินใครก็จ่าย น่าจะดี
ผู้ผลิตที่ต้องมีบรรจุภัณฑ์ ต้องตอบให้ได้ว่าจะรับคืนบรรจุภัณฑ์ของตัวมาจัดการอย่างไร
ถ้าตอบว่าให้เป็นภาระของรัฐหรือองค์กรท้องถิ่น ก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายมา
ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ผลิตก็ต้องมาบวก/เก็บจากลูกค้าผู้บริโภค หรือเปิดทางเลือกให้ผู้บริโภคมีภาชนะมาเอง
ผมเห็นหลายคนถือตะกร้า ถือถุงผ้า เข้าตลาด ก็นึกนิยม ...
แม้ช่วยไม่มาก แต่ก็กระตุ้นต่อมสำนึก(ของคนต่อมตื้น-คนต่อมลึกคงไม่รู้สึกรู้สา)ได้
ธุรกิจรีไซเคิลดูดี แต่ก็เป็นตัวร้ายในบางมุม ที่เลือกเก็บเอาของดีมาเป็นประโยชน์ตน แต่ไม่ได้จัดการของไม่ดี
ที่ถูกต้องให้ขยะทั้งหมดถูกจัดการดูแลด้วย
การที่ซาเล้ง มาเก็บเฉพาะของรีไซเคิลได้ ทำให้เหลือภาระเป็นเดนให้ผู้เสียภาษีโดยรวม .... ต้องจ่ายให้หน่วยกำจัดขยะ
ทั้งๆที่ถ้าวิเคราะห์กันจริงๆแล้ว การจัดการเรื่องขยะในภาพรวม ..... มีกำไร
จากการได้ของมารีไซเคิล จากการนำเศษอินทรีย์มาเป็นBiomass การเก็บเอาcarbonaceous materials มาทำgasification การทำปุ๋ย หรือแม้เพียงการกองเก็บให้ถูกหลักก็สร้างแก๊สเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าได้
แต่คนที่คิดทำแบบรับเหมารวมมาจัดการ ทำโครงการไม่ได้ เพราะมูลค่าของสิ่งที่รีไซเคิลได้ ได้ถูกแยกไปแล้ว
ไปถามข้อมูล อบต. อบจ. กทม. ดูได้
วิธีเร็วที่สุดที่ทุกคนจะช่วยกันจัดการ .......... คือเก็บภาษีการสร้างมลภาวะให้แพงๆ ค่าจัดการขยะแพงๆ ครับ
Who eat Who pay

แนะอย่างนี้จะโดนด่าไหมนะ
