เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
สิงหาคม 26, 2025, 08:52:07 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ช้าง รัชกาลที่ 9  (อ่าน 8401 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
JUNG KO
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 29
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 274



« เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 04:23:19 PM »

 ไหว้ ไหว้ ไหว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 24, 2009, 02:39:59 PM โดย JUNG KO » บันทึกการเข้า


ลิงกัง...จังโก้
JUNG KO
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 29
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 274



« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 04:24:34 PM »

 ไหว้
บันทึกการเข้า


ลิงกัง...จังโก้
JUNG KO
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 29
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 274



« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 04:34:30 PM »

ช้างเผือกช้างแรกของรัชกาลที่ 9

 

ช้างเผือกตามตำราคชลักษณ์นั้นแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท และมีลักษณะอันเป็นมงคล ๗ ประการ คือ มีตาขาว เพดานขาว เล็บขาว ผิวหนังสีขาวหรือสีหม้อใหม่ ขนขาว ขนหางยาว และอัณฑโกศสีขาวหรือสีหม้อใหม่

คือ ๑.ช้างเผือกเอก เรียกว่า สารเศวตร หรือ สารเศวตพรรณ เป็นช้างเผือกที่มีลักษณะถูกต้องสมบูรณ์ตามตำราคชลักษณ์และมีลักษณะพิเศษ คือ ร่างใหญ่ ผิวขาวบริสุทธิ์ สีดุจสีสังข์ เป็นช้างมงคลคู่บ้านคู่เมือง

๒.ช้างเผือกโท เรียกว่า ปทุมหัตถี มีผิวสีชมพูดูคล้ายสีกลีบดอกบัวแดงแห้ง เป็นช้างมงคลเหมาะแก่การศึก

๓. ช้างเผือกตรี เรียกว่า เศวตรคชลักษณ์ มีสีดุจใบตองอ่อนตากแห้ง เป็นช้างมงคล ใครผู้ใดพบเห็นช้าง ที่มีลักษณะดี เด่นไปจากช้างทั่วไปในป่า หรือที่ใดก็ตาม พระราชบัญญัติ รักษาช้างป่า ต้องทำการแจ้งให้ทางการทราบ

เพื่อที่ทางสำนักพระราชวังจะจัดตั้งผู้ชำนาญคชลักษณ์ ไปตรวจสอบ ดูลักษณะของช้าง ภายนอกจะต้องได้สัดส่วน ทั้งขนาดหัว ลำตัว หาง ขา หู ความโค้ง ของกระดูกสันหลัง ต่อไปดูที่สีผิวของตัวช้างว่ามีสีอะไร ถ้าเป็นลูกช้าง บางครั้งจะแลไม่เห็นสีที่แท้จริงของตัวช้าง ต้องเอามะขามเปียกประมาณ 3-4 กิโลกรัม ใส่กระป๋องใหญ่ เคล้ากับน้ำให้ละลาย แล้วนำมาทาตัวช้างให้ทั่ว หมักทิ้งไว้ข้ามคืน รุ่งเช้าจึงทำการล้างออก ก็จะแลเห็นสีที่แท้จริงของผิวช้าง การล้างนี้ ห้ามใช้ผงซักฟอก สบู่ เพราะในตัวช้างมีกลิ่นตัวอยู่ ถ้าใช้ผงซักฟอก หรือสบู่ล้าง อาจทำลายกลิ่นจริงๆ ของช้างเสียหมด

นอกจากนี้ ไม่ควรใช้แปรงขนแข็ง มาขัดผิว เพราะจะทำให้ขนที่ผิวหลุดไปหรือผิวอาจเกิดแผลได้ ใช้กาบมะพร้าวถู ได้อย่างเดียว การตรวจคชลักษณ์ มีทั้งหมดด้วยกัน ๑๑ ประการ ถ้าตรวจพบเกินกว่าครึ่ง ไม่จำเป็นต้องครบทั้ง ๑๑ ประการและดูลักษณะนิสัย เห็นกิริยาของช้างว่าดี (เช่น การเดิน การนอนมีกิริยาเรียบร้อย การไม่กินน้ำ และอาหารร่วมกับช้างอื่นๆ ฯลฯ) ก็สามารถตัดสินได้ว่าช้างดังกล่าว เป็นช้างสำคัญ

ช้างเผือก จะนับเป็นช้าง

ช้างบ้าน จะนับเป็นเชือก

ช้างป่า จะนับเป็นตัว



รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ตลอดเวลากว่า 60 ปีที่ทรงครองราชย์ ช้างเผือกช้างแรกที่มาสู่พระบารมีคือ พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ

ต่อจากนั้น ก็มีช้างเผือกใหม่อื่นๆ ได้ขื้นระวางสมโภชอยู่เรื่อยๆ จนถึงปี 2521 รวมทั้งสิ้น 10 ช้าง หลังจากนั้น แม้จะพบช้างเผือก และช้างสำคัญคู่พระบารมีอีกถึง 11 ช้าง ก็มิได้โปรดเกล้าฯให้มีพิธีขึ้นระวางอีก เพียงแต่ทรงรับช้างเหล่านั้นไว้เป็นช้างสำคัญ
บันทึกการเข้า


ลิงกัง...จังโก้
คมขวาน รักในหลวง
"จากดินแดนที่ราบสูงแห่งใบขวาน ข้ามแม่น้ำ ข้ามทะเล(ถ้านั่งเครื่อง) ข้ามภูเขา สู่ดินแดนแห่งด้ามขวาน "
Hero Member
*****

คะแนน 1830
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 19896


ดนตรี คืออาภรณ์ของปราชญ์


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 04:42:16 PM »

        ขอบคุณครับ สำหรับความรู้
บวก ๑ ครับ
บันทึกการเข้า

คลิ๊ก ทริปจักรยาน   "บินเดี่ยว ทางไกล ตามใจฝัน"     ลูกอิสาน พลัดถิ่น  จากแดนดิน  "ไหปลาแดก"  เร่ร่อน รอนแรม เดินทางดั้นด้น  มาสู่  "โคนต้นสะตอ"
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 05:19:23 PM »

 ไหว้
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
sig_surath7171
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 06:33:19 PM »


ไหว้


 ไหว้


 ไหว้

ช้างในรูปเป็นช้างเผือกซึ่ง
เกิดในป่าเขตจังหวัดกระบี่ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2494 ถูกคล้องได้ที่ บ้านหนองจูด ตำบลดินอุดม อำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่เมื่อ พ.ศ. 2499 โดยนายแปลก ฟุ้งเฟื่องและนายปลื้ม สุทธิเกิด(หมอเฒ่า) เป็นลูกช้างติดแม่อยู่ในโขลงช้างป่า พร้อมกับช้างอื่นๆ อีก 5 เชือกคือ พังสาคร พลายทอง พังเพียร พังวิไล และพังน้อย  โดยในตอนนั้นพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ได้ชื่อว่า "พลายแก้ว" มีความสูง 1.60 เมตร เมื่อพระราชวังเมือง (ปุ้ย คชาชีวะ)ได้ตรวจสอบคชลักษณ์แล้วพบว่าเป็นช้างสำคัญ จึงนำมาเลี้ยงไว้ที่สวนสัตว์ดุสิต เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500

พลโทบัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยได้นำช้างพลายแก้วขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 เพื่อประกอบพิธีขึ้นระวางเป็นช้างต้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้กำหนดพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างเผือกประจำรัชกาล ณ โรงช้างต้น พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 เป็นปีที่ 13 ในรัชกาลปัจจุบัน

พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เติบโตขึ้นโดยการดูแลขององค์การสวนสัตว์ ที่สวนสัตว์ดุสิต และมีอาการดุร้ายมากขึ้นจนควาญช้างควบคุมไม่ได้ จึงต้องจับยืนมัดขาทั้งสี่ไว้กับเสา เป็นที่เกรงกลัวของบุคคลทั่วไป จนกระทั่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถมีพระราชเสาวณีย์ โปรดเกล้าฯ ให้นำพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เข้าไปยืนโรงในโรงช้างต้น ภายในพระตำหนักจิตรลดารโหฐานซึ่งอยู่ตรงกันข้ามถนน เมื่อ พ.ศ. 2519 หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชได้บันทึกไว้ว่า

ในขณะที่นำคุณพระจากสวนสัตว์ดุสิตไปยังสวนจิตรลดา ซึ่งเพียงแต่มีถนนคั่นอยู่สายเดียวนั้น คุณพระก็อาละวาดอย่างหนัก ไม่ยอมออกเดิน เอางวงยึดต้นไม้จนต้นไม้ล้ม จนแทบจะหมดปัญญาเจ้าหน้าที่

กว่าจะนำคุณพระจากเขาดินไปถึงประตูสวนจิตรลดา ซึ่งมองเห็นกันแค่นั้น ก็กินเวลาหลายชั่วโมง ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากถือปลายเชือกที่ผูกไว้กับขาคุณพระทั้งสี่ขา คอยลากคอยดึง และดูเหมือนจะต้องใช้รถแทรกเตอร์เข้าช่วยขนาบข้าง เสี่ยงอันตรายกันมากอยู่ แต่ในที่สุดก็นำคุณพระไปยังประตูพระราชวังได้

พอได้ก้าวเท้าเข้าไปในบริเวณพระราชวัง คุณพระก็เปลี่ยนไปทันที จากความดุร้ายก็กลายเป็นความสงบเสงี่ยม เดินอย่างเรียบร้อยไปสู่โรงช้างต้น และเข้าอยู่อย่างสงบเรื่อยมา

 
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงประกอบพระราชพิธีสมโภชโรงช้างต้น เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2547 ณ โรงช้างต้น วังไกลกังวล ทรงพระราชทานอ้อยแก่ พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯปัจจุบัน พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ย้ายไปยืนโรง ณ โรงช้างต้น วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเคลื่อนย้ายคุณพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เมื่อวันที่ 17-18 มีนาคม พ.ศ. 2547 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีสมโภชโรงช้างต้น เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2547

เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในปี พ.ศ. 2549 ทรงมีกระแสพระราชดำรัสให้จัดสร้าง คชาภรณ์ หรือเครื่องทรงช้างต้นชุดใหม่ พระราชทานแก่พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เนื่องจากคชาภรณ์ชุดเดิมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ เมื่อ พ.ศ. 2502 มีสภาพเก่า และมีขนาดเล็กเกินไป โดยสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม รับสนองพระบรมราชโองการจัดสร้างเครื่องคชาภรณ์ชุดใหม่ ด้วยงบประมาณ 4 ล้านบาท ใช้ทองคำ 96.5 % หนักกว่า 5,953 กรัม ประกอบด้วย

ผ้าปกพระพอง ทำด้วยผ้าเยียรบับ
ตาข่ายแก้วกุดั่น ทำด้วยทองคำ ร้อยลูกปัดเพชรรัสเซีย จำนวน 810 เม็ด
พู่หู จำนวน 1 คู่ ทำจากขนจามรีนำเข้าจากทิเบต
พระนาศ หรือผ้าคลุมหลัง ทำจากผ้าเยียรบับ
กันชีพ ทำด้วยผ้าสักหลาดปักดิ้น
เสมาคชาภรณ์ หรือ จี้ทองทำรูปใบเสมา เขียนลายนูนรูปพระมหามงกุฎครอบอุณาโลม
สร้อยเสมาคชาภรณ์ หรือสร้อยคอทองคำ
พานหน้า พานหลัง ทำด้วยผ้าถักหุ้มผ้าตาด
สำอาง ทำจากโลหะผิวทอง

ในหลวงพระราชทานนามแก่ช้าง ว่า

'' พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนามนาคบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส บรมกทลาสนวิศุทธวงศ์ สรรพมงคลลักษณคเชนทรชาต สยามราษฎรสวัดิประสิทธิ์ รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการ ปรมินทรบพิตรสารศักดิเลิศฟ้า ๚ ''

  ไหว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2009, 07:00:53 PM โดย ซิกสุราษฎร์ » บันทึกการเข้า
JUNG KO
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 29
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 274



« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 07:14:39 PM »

เสมาคชาภรณ์ที่ในหลวงพระราชทานให้กับพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ

เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในการนี้
พระองค์ทรงมีกระแสพระราชดำรัสให้จัดสร้าง "คชาภรณ์" หรือเครื่องทรงช้างต้นชุดใหม่
พระราชทานแก่ช้างเผือกสำคัญคู่พระบารมีประจำรัชกาลที่ 9 คือ พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ
ซึ่งเป็นช้างเผือกช้างแรกที่ได้รับการสมโภชและขึ้นระวางเป็นช้างต้นประจำรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 11
พฤศจิกายน พ.ศ.2502 โดยสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) รับสนองพระบรมราชโองการ
จัดสร้างเครื่องคชาภรณ์ชุดใหม่ให้กับพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ในปีพ.ศ.2549
กรมศิลปากร จัดสร้างคชาภรณ์ชุดใหม่ของพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ช้างเผือกคู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เสร็จเรียบร้อย หลังใช้เวลานาน 3 เดือน สร้างคชาภรณ์ทองคำน้ำหนักเกือบ 6 กิโลกรัม เตรียมทูลเกล้าฯ ถวาย ส่วนพรรคปชป.นิมนต์พระครึ่งหมื่น เจริญพระพุทธมนต์ถวายในหลวง ในวโรกาสครองราชย์ครบ 60 ปี
          กรมศิลปากร ได้จัดสร้าง "คชาภรณ์" หรือ "เครื่องทรงช้างต้น" ชุดใหม่ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  มีรับสั่งให้กรมศิลปากรจัดสร้างเพื่อพระราชทานแก่ "พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ" ช้างเผือกคู่พระบารมี เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี นั้น เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยนายธนชัย สุวรรณวัฒนะ ผู้อำนวยการสำนักช่างสิบหมู่ เปิดเผยว่า จะนำไปทดลองความเรียบร้อยที่พระราชวังไกลกังวล ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
          สำหรับ คชาภรณ์ชุดใหม่นี้ส่วนใหญ่เป็นทองคำ 96.5 เปอร์เซ็นต์ ฝังพลอยและลงยา น้ำหนักทองคำ รวม 391.6625 บาท หรือ 5,953.27 กรัม ประกอบด้วย ผ้าปกกระพองทำด้วยผ้าเยียรบับ ตาข่ายแก้วกุดั่นทำด้วยทองคำ พู่หูทำด้วยทองคำบุดุน พระนาดทำด้วยผ้าเยียรบับ กันชีพ ทำด้วยผ้าสักหลาดปักดิ้น เสภาคชาภรณ์ทำด้วยทองคำลงยา พานหน้าพานหลัง ทำด้วยผ้าถักหุ้มผ้าตาด และสำอาง โลหะผิวสีทอง
          ทั้งนี้ การจัดสร้างคชาภรณ์ชุดใหม่นี้ถือเป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมาช้างอาจจะล้มไปก่อน แต่ช้างองค์นี้ขึ้นระวางและจัดสร้างคชาภรณ์ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แต่ปัจจุบันอายุ 47 ปีมาแล้ว และเครื่องคชาภรณ์ที่จัดสร้างไว้มีขนาดเล็กเกินไปไม่เหมาะสม
          "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งจะจ่ายพระราชทรัพย์เอง แต่กรมศิลปากรขอพระบรมราชานุญาตใช้เงินกองทุนถวาย และเริ่มทำงานเหมือนการตัดสูท เดินทางไปหัวหิน ไปวัดขนาด อาศัยควาญช้างวัดให้เสร็จเรียบร้อยก็มาออกแบบ มาทดลองแบบร่างและไปทดลองตัวอีกครั้งและก็มาตัดของจริง ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จใช้เวลา 3 เดือน และจะนำไปทดลองจริงอีกครั้ง ถ้าไม่ต้องแก้ไขก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งทั้งหมดใช้งบประมาณกว่า 4 ล้านบาท เนื่องจากราคาทองคำเพิ่มจากที่ตั้งไว้บาทละ 8,000 บาท เพิ่มเป็น 12,500 บาท ซึ่งทุกขั้นตอนของการจัดสร้างคชาภรณ์ชุดใหม่จะจดบันทึกในจดหมายเหตุและทำเป็นหนังสือ" ผู้อำนวยการสำนักช่างสิบหมู่ กล่าว
          สำหรับพระนามเต็มของ พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ที่ได้รับพระราชทานจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ "พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนวนาถบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส บรมกมลาสนวิศุทธวงศ์ สรรพมงคลลักษณคเชนทรชาติ สยามราษฎรสวัสดิประสิทธิ์ รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการ ปรมินทรพิตรสารศักดิเลิศฟ้า" เป็นช้างเผือกที่เข้ามาสู่พระบารมีของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นช้างแรก เป็นพระยาช้างที่ 1 ในรัชกาลที่ 9 ที่ได้รับการน้อมเกล้าฯ ถวาย เมื่อปี 2501 ปัจจุบันอายุประมาณ 60 ปี เท่ากับปีครองสิริราชสมบัติ
          ปชป.นิมนต์พระครึ่งหมื่นสวดถวายพระพร
          วันเดียวกันนี้ นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า เนื่องจากในปีนี้เป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี แต่สถานการณ์ต่างๆ ในบ้านเมือง ณ วันนี้ค่อนข้างจะเป็นที่กังวลของประชาชนโดยทั่วไป ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความกังวลถึงสถานการณ์บ้านเมืองต่าง ๆ มากมาย จึงได้ตกลงกันว่าในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช วัดพระมหาธาตุ จะนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ทั่วภาคใต้ ประมาณ 5,000 รูป มาเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
          "โอกาสนี้จะมี นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค มาร่วมเป็นประธานในงานพิธีดังกล่าว และมี ส.ส.ในเขตพื้นที่ และบัญชีรายชื่อ ร่วมถึงประธานสาขาพรรคและสมาชิกพรรค ก็จะได้รณรงค์กันเข้าร่วมในการปฏิบัติธรรมถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ในวันที่ 2 มิถุนายน เวลา 16.00 น."
          นอกจากนี้ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะมีการแถลงอีกครั้งหนึ่งว่าวันใดที่ ส.ส.และอดีต ส.ส.ของพรรคจะไปร่วมปฏิบัติธรรมที่พุทธมณฑล เพื่อถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ให้พระองค์ท่านทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน และจะได้เป็นที่สบายพระราชหฤทัยของพระองค์ท่านว่าพสกนิกร รวมทั้ง ส.ส.ทุกคนพร้อมที่จะถวายชีวิตทั้งหมดแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
บันทึกการเข้า


ลิงกัง...จังโก้
JUNG KO
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 29
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 274



« ตอบ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 07:19:20 PM »

ดุลยเดชพาหนฯ  ในเบื้องต้นอธิบดีกรมศิลปากรได้มอบหมายให้  สำนักช่างสิบหมู่  เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดสร้างเครื่องยศคชาภรณ์ช้างต้นให้เป็นไปตามแบบแผนราชประเพณี  ในการนี้  ผู้อำนวยการสำนักช่างสิบหมู่ได้กำหนดให้  กลุ่มประณีตศิลป์และการช่างไทย  เป็นผู้จัดสร้าง  ขั้นตอนดำเนินงานดังนี้


๑.      สำรวจและรวบรวมข้อมูล  เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบ


๒.      เขียนแบบ  ออกแบบ  และขยายแบบเท่าจริง


๓.      จัดทำต้นแบบขนาดเท่าจริงด้วยวัสดุผสม




ภาพตัวอย่างส่วนประกอบคชาภรณ์

         เมื่อจัดสร้างเครื่องยศคชาภรณ์ฯ  ต้นแบบเป็นชุดลำลองเสร็จแล้ว  ในวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙  อธิบดีกรมศิลปากรได้นำคณะช่างไป ณ โรงช้างต้น  พระราชวังไกลกังวล  จ.ประจวบคีรีขันธ์  เพื่อทดลองแต่งเครื่องคชาภรณ์ชุดลำลอง  เมื่อทดลองแต่งและปรับสัดส่วนได้ตามขนาดร่างกายของพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ  จนดูเหมาะสมงดงามดีแล้ว  ได้วัดขนาดงาทั้ง ๒ ข้าง  เพื่อจัดทำวลัยงาเพิ่มเติม  ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชกระแสรับสั่ง  และก่อนที่คณะทำงานจะเดินทางกลับ  อธิบดีกรมศิลปากรได้มอบผ้าปกกระพองลำลองไว้กับ นายวุฒิ  สุมิตร  รองราชเลขาธิการ  และนายวุฒิได้มอบหางจามรีสีขาว  ซึ่งเอกอัครราชทูตไทย  ประจำประเทศเนปาล  จัดหาส่งมาเพื่อให้กรมศิลปากรใช้ทำพู่หู  และพู่ประดับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์  แทนของเดิมซึ่งชำรุดและเก่ามาก
บันทึกการเข้า


ลิงกัง...จังโก้
แจ็ค
"กำบ่มีอย่าไปอู้...กำบ่ฮู้อย่าได้จ๋า"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 461
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 7529


« ตอบ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 07:19:53 PM »


.... เป็นกระทู้วิชาการดีมากเลยครับผม  ได้ความรู้ใหม่ ๆ ขอบคุณครับผม ...
บันทึกการเข้า

... เมื่อความกลัวถึงขีดสุด  มันจะเกิดเป็นความกล้าที่บ้าบิ่น ...
JUNG KO
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 29
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 274



« ตอบ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 07:25:44 PM »

         ต่อมาเมื่อกรมศิลปากรได้รับทราบจาก นายวุฒิ  สุมิตร  รองราชเลขาธิการว่า  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณทอดพระเนตรและพิจารณาแบบจำลองแล้ว  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ  ให้ดำเนินการสร้างได้ตามรูปแบบที่ทำลำลองไว้นั้น  คณะช่างจึงเริ่มต้นดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ มีรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้วัสดุและวิธีการสร้าง  ดังต่อไปนี้



         ผ้าปกกระพอง  ทำด้วยผ้าเยียรบับลายทองพื้นแดง  เย็บเป็นแผ่นรูปทรงคล้ายกลีบบัว  ชายขอบผ้าทำเป็นริ้วลายทองพื้นเขียวอยู่ด้านใน  พื้นแดงอยู่ด้านนอก ๒ ริ้ว  ขลิบริมด้วยดิ้นเลื่อม  ขนาดความกว้างของผ้าตรงรูปฐานกลีบบัว  ยาว ๘๒ ซ.ม.  ความยาวจากฐานกลีบบัวจรดปลายปลายแหลมของกลีบบัวยาว ๕๕ ซ.ม.  ส่วนฐานของกลีบบัวเชื่อมต่อกับตาข่ายแก้วกุดั่น


         ตาข่ายแก้วกุดั่นหรืออุบะแก้วกุดั่น  ทำด้วยลูกปักแก้ว (เพชรรัสเซีย) เจียระไน  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๒ ม.ม. จำนวน ๘๑๐ เม็ด เจาะรูตรงกลาง  ร้อยด้วยสายทองคำถัก  แบบที่เรียกว่า  สร้อยหกเสา  เริ่มต้นทำเป็นตาข่ายโดยการร้อยลูกปัดแก้ว จำนวน ๙ ลูก  แล้วผูกเป็นจุดเชื่อมตาข่าย  ร้อยลูกปัดแก้วอีก ๙ ลูกผูกติดกับฐานกลีบบัวผ้าปกกระพองเป็นช่วง ๆ รวม ๙ ช่วงเรียงไปตลอดความยาวของฐานกลีบบัว  แถวที่ ๒ เริ่มต้นจากกึ่งกลางของช่วงแรกซึ่งเป็นจุดเชื่อมร้อยลูกปัด ๙ ลูก แล้วผูกไว้ทำต่อไปเช่นนี้ให้เป็นตาข่ายรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว  หรือที่เรียกกันว่า  อุบะหน้าช้าง  มีความยาวด้านละ ๑๐๐ ซ.ม. เท่ากันทั้งสองด้าน  ระยะจากปลายยอดสามเหลี่ยมถึงฐานกลีบบัว  กว้าง ๘๗ ซ.ม.  จุดที่สายทองคำถักร้อยลูกปัดแก้วประสานตัดกันเป็นตาข่าย  ทุกจุดประดับด้วยดอกลายประจำยามทองคำประดับพลอยสีเขียว  สีแดง  และสีขาว  ขนาดกว้างด้านละ ๕ ซ.ม.  ห้อยด้วยพวงอุบะทองคำประดับพลอยสีแดง  และสีขาว  ยาว ๑๐ ซ.ม. มีจำนวนรวม ๔๗ จุด  และยังได้เพิ่มอุบะที่ตาข่ายแก้วเจียระไนตรงจุดที่ต่อกับผ้าปกกระพองอีก ๒ แถว


         พู่หู  ทำด้วยขนหางจามรีสีขาวบริสุทธิ์  เป็นเครื่องประดับทรงพู่ใช้ห้อยจากผ้าปกกระพอง  ลงมาอยู่ส่วนหน้าของใบหูทั้งสองข้าง  ในการประกอบเป็นตัวพู่  หรือลูกพู่  เบื้องต้นต้องทำแกนด้วยผ้าขาวเป็นรูปดอกบัวตูม  มีเชือกหุ้มผ้าตาดทองต่อจากขั้วแกน  เพื่อใช้ผูกกับผ้าปกกระพอง  ต่อจากนั้นเย็บขนจามรีประกอบเข้ากับแกนที่เตรียมไว้  จำนวน ๒ พู่  พู่หรือลูกพู่นี้เมื่อเย็บขนจามรี เสร็จแล้วจะมีรูปทรงคล้ายดอกบัว  มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ส่วนที่กว้างที่สุด ๒๖ ซ.ม.


         ผ้าคลุมพู่  ทำด้วยผ้าเยียรบับรูปดาวหกแฉก ใช้คลุมบนขั้วพู่จามรี  โดยเจาะรูตรงกลางเพื่อใช้เป็นที่ร้อยเชือก  ขอบผ้าริมนอกขลิบด้วยผ้าตาดทอง  ริมในขลิบด้วยผ้าสีแดง


         จงกลพู่  เป็นส่วนที่ใช้ครอบบนขั้วพู่ทับอยู่บนผ้าคลุมพู่  ทำด้วยทองคำบุดุนลงยาสีเขียว  และสีแดง  ทำเป็นลายดอกบัวคว่ำ  ปลายกลีบดอกบานออกเล็กน้อย  ลักษณะรูปทรงคล้ายกรวย  ตัวจงกลพู่ยาว ๑๒ ซ.ม. ปากจงกลพู่เส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง ๘.๐๒ ซ.ม.  โคนจงกลพู่เจาะรูเป็นที่ร้อยเชือกจากขั้วพู่  เส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง ๑.๐๘ ซ.ม.  ความยาวของพู่หูจากปลายจงกลถึงปลายแหลมของตัวพู่ประมาณ ๕๒ ซ.ม.  เส้นรอบวงของพู่ประมาณ ๗๖ ซ.ม.


เสมาคชาภรณ์ สร้อยคอ และวลัยงา



         เสมาคชาภรณ์  เป็นจี้หรือเครื่องประดับรูปใบเสมาสำหรับร้อยสายสร้อยผูกคอ  ขนาดกว้าง ๑๑.๐๕ ซ.ม. ยาว ๑๔.๐๕ ซ.ม.  ทำด้วยทองคำลงยา  ด้านหน้าบุดุนเป็นรูปพระราชลัญจกร  พระมหามงกุฎอุณาโลม  ยอดพระมหามงกุฎเปล่งรัศมี  ด้านข้างพระมหามงกุฎกระนาบด้วยลายช่อดอกลอยใบเทศ  มีลายประดับรับส่วนล่าง  กรอบใบเสมาบุดุนเป็นลายรูปพญานาค ๒ ตัว ใช้หางเกี้ยวกัน  ส่วนบนของใบเสมาตีปลอก บุ ดุนลายลวดลายลงยา  มีลูกปัดทองทรงกลมกลวงสำหรับสอดร้อยด้วยสายสร้อยทองคำ  ลูกปัดทั้งสองมีขนาดกว้าง ๒ ซ.ม. ยาว ๒ ซ.ม.




         สร้อยคอ  หรือสายสร้อยผูกคอทำด้วยทองคำ  เป็นรูปห่วงเกลียวมีเส้นผ่าศูนย์กลาง  สายเกลียวประมาณ ๑.๑ ซ.ม.  ความยาวของสายสร้อย ๒๘๕ ซ.ม.




         ตาบ หรือ ตาบทิศ  เป็นเครื่องประดับติดอยู่กับพานหน้า และพานหลัง  ทำด้วยทองคำบุดุนฉลุลายดอกประจำยามประดับพลอยสีเขียว  สีแดง  และสีขาว  รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส  กว้างยาวด้านละ ๗ ซ.ม.  สำหรับประดับพานหน้า  ส่วนที่อยู่ใกล้กับไหล่ ๒ ข้าง และประดับพานหลัง  ส่วนที่อยู่ใกล้ตะโพก ๒ ด้าน  รวม ๔ ดอก




         วลัยงา หรือ สนับงา  เป็นเครื่องประดับงา  ใช้สวมงาทั้ง ๒ ข้าง ๆ ละ ๓ วง  รวม ๖ วง  ทำด้วยทองคำบุดุนประดับพลอยสีเขียว  สีแดง  และสีขาว




         สำอาง  เป็นห่วงคล้องอยู่ส่วนท้ายช้างใต้โคนหาง  เพื่อยึดกับพานหลัง  ทำด้วยทองเหลืองชุบทอง มีลายประดับทำด้วยวิธีพิมพ์แกะลายบริเวณที่เป็นรูปขอ  ก่อนนำไปหล่อ  ขนาดสำอาง กว้าง ๓๓ ซ.ม.  ยาว ๓๖ ซ.ม.




         ทามคอ  พานหน้า  พานหลัง  โยงพานหลัง  และสายรัดประคน  ทำด้วยผ้าถักแบบสายพานหุ้มด้วยผ้าตาดทอง  มีห่วงโลหะชุบทองเป็นตัวเกี่ยวประสานผูกด้วยเชือกหุ้มผ้าตาดทองทุกเส้น


พนาศ



         พนาศ  เป็นผ้าคลุมหลังช้าง  รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  ทำด้วยผ้าเยียรบับ  ท้องผ้า  เป็นลายทองพื้นเหลือง  ตามสีประจำวันพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ล้อมด้วยผ้าตาดทองพื้นแดงด้านหลังผ้าเยียรบับต้องใช้ผ้าซับกาวรีดทับเพื่อไม่ให้ริมผ้าหลุด  ชายขอบผ้าชั้นนอกทั้ง ๔ ด้านขลิบด้วยดิ้นทอง ๒ ชั้น  และปิดทับรอยต่อของผ้าตาดเป็นขอบชั้นในส่วนชายผ้า ๒ ด้านที่ห้อยลงมาอยู่ข้างท้องช้างนั้น  ตรงกลางท้องผ้าติดคันชีพ  ทำเป็นกระเป๋าผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม  ขนาดกว้าง ๒๙ ซ.ม.  ยาว ๓๖  ซ.ม.  ขลิบริมด้วยดิ้นทองทั้ง ๔ ด้าน  ตรงกลางปักลายพระราชลัญจกรพระมหามงกุฎอุณาโลมด้วยไหมเหลือง  ที่คันชีพทั้ง ๒ ข้าง  ติดเม็ดดุมทำด้วยแก้วเจียระไนสายคล้องดุมทำด้วยทองคำ  ขอบชายผ้าต่อจากคันชีพลงไปมีผ้าระบายซ้อน ๓ ชั้น  แต่ละชั้นขลิบด้วยดิ้นทองตกแต่งด้วยตุ้งติ้งประกอบชายผ้าทั้ง ๓ ชั้น


         เครื่องยศคชาภรณ์ช้างต้นชุดใหม่ที่สร้างเสร็จนี้  มีส่วนที่ทำด้วยทองคำน้ำหนักรวม  ๕,๙๙๓.๒๗ กรัม  หรือประมาณ  ๖  กิโลกรัม


พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ



         เมื่อคณะช่างดำเนินการสร้างเครื่องยศคชาภรณ์ช้างต้น  สำหรับพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ตามแบบเรียบร้อยแล้ว  วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ อธิบดีกรมศิลปากรได้นำคณะทำงาน  พร้อมด้วยเครื่องยศคชาภรณ์ฯ ชุดใหม่ไป ณ โรงช้างต้น  พระราชวังไกลกังวล  เพื่อทดลองแต่งให้พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ  พร้อมทั้งตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นรายชิ้นให้ครบถ้วน  จนกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องยศคชาภรณ์ช้างต้นที่งดงาม  แต่งได้เหมาะสมกับร่างกายที่สมบูรณ์ใหญ่โตของพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ  ตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกประการ

บันทึกการเข้า


ลิงกัง...จังโก้
ชัยบึงกาฬ รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1991
ออฟไลน์

กระทู้: 8962


ต้องรู้ให้ถึงแก่น...


« ตอบ #10 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 07:37:09 PM »

ขอบคุณครับ ไหว้
บันทึกการเข้า
lek
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1594
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 13942


การแบ่งปัน ทำให้เราและคนอื่นมีความสุข


« ตอบ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 07:46:58 PM »

ขอบคุณครับท่าน
บันทึกการเข้า

มีความสุขแบบที่เรามีก็พอhttp://www.gunsandgames.com/smf/index.php?board=29.0  (รวมพลคนอีสาน)
อ้วน 008 รักในหลวง
ปืนดี คือปืนที่อยู่ในมือคนดี
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 120
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2249



« ตอบ #12 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 08:43:16 PM »

ขอบคุณในความรู้มากครับ
ขอรบกวน ช่วยแก้ให้ด้วยครับ รัชการที่ 9
บันทึกการเข้า

สนับสนุนการใช้ชีวิต ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง พอกิน พออยู่ พอใช้ พอที่จะแบ่งปัน
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #13 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 08:53:34 PM »

+๑  ขอบคุณครับ  ไหว้
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
นายขม รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 99
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1377


ที่ว่างปลายปากกระบอกปืน


« ตอบ #14 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 09:25:42 PM »

ขอบคุณครับ +๑ ครับ
บันทึกการเข้า

ผมจ่ายภาษีให้มาดูแลรักษาบ้านเมือง ไม่ใช่ให้มายืนดูคนเผาบ้านเผาเมือง
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.108 วินาที กับ 21 คำสั่ง