
.45 ก็ลงแข่งได้ครับ เมื่อก่อนนิยมใช้ .45 แข่งครับ แต่เดี๋ยวนี้โดน .40 เบียดไป

ผมสรุปกติกาเรื่องปืนและกระสุนในแต่ละดิวิชั่นให้ดีกว่าครับ แล้วลองเลือกดูว่าปืนที่มีอยู่เหมาะสมกับการแข่งขันในดิวิชั่นไหน

1. Open Division ในประเภทนี้ปืนจะไม่จำกัดการตกแต่ง หน้าตัดกระสุน .355 นิ้ว (9x19 มม.) ขึ้นไป หัวกระสุนต้องหนัก 120 เกรนขึ้นไป แมกกาซีนห้ามยาวเกิน 170 มม.
2. Standard Division จำกัดการตกแต่ง ห้ามเจาะพอร์ท ห้ามติดกล้องหรือศูนย์อิเลคทรอนิกส์ ความยาวลำกล้องไม่เกิน 5 นิ้ว ขนาดหน้าตัดกระสุน .355 นิ้ว (9x19 มม.) ขึ้นไป คิดคะแนนเมเจอร์ต้องใช้กระสุน .40 นิ้วขึ้นไป (เล็กกว่า .40 คิดคะแนนเป็นไมเนอร์) ปืนบรรจุแมก ต้องสามารถใส่ลงในกล่องขนาด 225 x 150 x 45 มม. (+1 มม.) ได้
3. Production Divition เน้นปืนสภาพเดิม ๆ จากโรงงาน อุปกรณ์ทุกชิ้นต้องเป็นของเดิมตรงรุ่นจากโรงงานผู้ผลิต ห้ามมีพอร์ท ห้ามติดกล้องหรือศูนย์อิเลคทรอนิกส์ ไกนัดแรกเป็นระบบดับเบิ้ลแอคชั่นเท่านั้น และน้ำหนักไกดับเบิ้ลฯ ต้องไม่ต่ำกว่า 5 ปอนด์ ความยาวลำกล้องไม่เกิน 5 นิ้ว ขนาดหน้าตัดกระสุน .355 นิ้ว (9x19 มม.) ขึ้นไป คิดคะแนนเป็นไมเนอร์เพียงอย่างเดียว

การคิดคะแนนจะแบ่งตามค่าแฟคเตอร์ โดยค่าแฟคเตอร์จะได้มาจากสูตร น้ำหนักหัวกระสุน (เกรน) x ความเร็วกระสุน (ฟุต/วินาที) แล้วนำมาหารด้วย 1000 = ค่าแฟคเตอร์

1. ไมเนอร์ มีค่า 125 ขึ้นไป คิดคะแนนเป้ากระดาษดังนี้ โซน A=5, C=2. D=1
2. เมเจอร์ คิดคะแนนเป้ากระดาษ โซน A=5, C=3, D=2 และแบ่งค่าแฟคเตอร์ตามดิวิชั่นดังนี้
2.1 โอเพ่นดิวิชั่น มีค่า 160 ขึ้นไป
2.2 แสตนดาร์ดดิวิชั่น มีค่า 170 ขึ้นไป โดยกระสุนต้องมีหน้าตัด .40 ขึ้นไปด้วย หากใช้กระสุนหน้าตัดต่ำกว่า .40 แม้แฟคเตอร์จะได้ถึง 170 ก็คิดคะแนนไมเนอร์

เพิ่มเติมครับ ถ้าปืนที่สั่งไว้แล้วเป็นแถวเดี่ยว .45 ควรเพิ่มแมกเป็นอย่างน้อย 6 ตัว (เผื่อยิงซ้ำ) แว่นตาป้องกันสะเก็ดและเครื่องป้องกันหู (จุกอุดหูหรือที่ครอบหูก็ได้) ต้องใส่ทุกครั้งที่ทำการยิง (บังคับ)
คะแนน เขาคิด
1. ไมเนอร์ มีค่า 125 ขึ้นไป คิดคะแนนเป้ากระดาษดังนี้ โซน A=5,
C=3. D=1
2. เมเจอร์ คิดคะแนนเป้ากระดาษ โซน A=5,
C=4, D=2 และแบ่งค่าแฟคเตอร์ตามดิวิชั่นดังนี้
ไม่ใช่หรือครับ