เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
มิถุนายน 28, 2025, 05:28:46 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 32 33 34 [35] 36 37 38 ... 64
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: คลายเครียดกับข้อความดีๆ กินใจ หรือฮาๆ เอามาแบ่งกัน  (อ่าน 141805 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #510 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2004, 08:58:59 PM »

คุณแก่หรือยัง ?




พวกนายยังคงพูดถึงโดเรม่อนกันอยู่





ในขณะที่เด็กรุ่นนี้แทบไม่เคยรู้จัก





เราเป็นคนรุ่นโดเรม่อน





แต่เด็กรุ่นนี้เป็นรุ่นโปเกม่อน"





เด็กรุ่นนี้ส่วนใหญ่เกิดปี 1983 (2525)





สำหรับเด็กรุ่นนี้





พวกเขาไม่เคยรู้จักเพลง We are the World, we are the children.





หรือการมีตัวตนอยู่ของ "สาว สาว สาว"





ไม่เคยรับรู้บรรยากาศของสงครามเย็น





สงครามเวียดนาม สงครามกลางเมืองในกัมพูชา





และการคุกคามของคอมมิวนิสต์ในแหลมอินโดจีน





สำหรับเด็กรุ่นนี้เยอรมันมีเยอรมันเดียว





และเวียดนามก็มีเวียดนามเดียว





AIDS มีแล้วตั้งแต่พวกเขาเกิดมา





CD มีอยู่แล้วตั้งแต่พวกเขาเกิดมา





ไมเคิล แจ็คสัน ผิวขาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว





จอห์น ทราโวลต้า หุ่นกลมตุ้ยนุ้ย





เด็กรุ่นนี้นึกไม่ออกว่าชายอวบคนนี้เคยเป็นเจ้าพ่อของการเต้นรำได้ไง





เด็กรุ่นนี้เชื่อว่า Mission Impossible และ





นางฟ้าชาร์ลี เป็นหนังใหม่ที่เพิ่งออกฉายปีที่แล้ว





เด็กรุ่นนี้นึกภาพจอขาวดำของคอมพิวเตอร์ไม่ออก





พวกเขาไม่รู้จัก Pac-Man





เด็กรุ่นนี้ไม่รู้จักทีวีขาวดำ





และเปลี่ยนช่องโดยไม่ใช้รีโมตไม่เป็น






เด็กรุ่นนี้ไม่เข้าใจว่าเราออกไปนอกบ้านโดยไม่มีโทรศัพท์มือถือได้ยังไง





สมัยที่เราเรียนมหาวิทยาลัย (สมัยโน้น





คนพกเพจเจอร์แทบนับคนได้เลย)





1. ถ้าอ่านที่เขียนข้างบนมาทั้งหมดเข้าใจแล้วยิ้ม





2. ถ้าคุณเป็นหนุ่มที่ตอบปฏิเสธผู้หญิงได้โดยไม่รู้สึกผิด





3. ถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่ตอบ "Yes"
กับผู้ชายได้โดยไม่รู้สึกผิดเช่นกัน





4. อยากนอนมากขึ้น แบบข้ามวันข้ามคืน





5. เพื่อนของเรา แต่งงานกันแล้ว





6. แปลกใจเสมอที่เห็นเด็กๆ ใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างแคล่วคล่อง





7. ไปทะลอยู่แต่บนชายหาดได้ทั้งวันโดยไม่ลงไปเล่นน้ำเลย





8. รู้สึกมากขึ้นๆ ว่างานคือชีวิตของคุณ





9. ใช้เวลาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนน้อยลงๆ ทุกวัน (นี่ละ ใช่เลย)





10 เวลาไปเจอเพื่อน ก็มักคุยแต่ความหลังสมัยวันวานยังหวานอยู่





สุดท้าย อ่านเมล์นี้แล้วอยากส่งต่อให้คนที่ต้องชอบแน่ๆ





นี่แหละ คุณแก่แล้วจริงๆ

 ***จึ้กๆๆๆๆ แทงใจดำ หัวเราะร่าน้ำตาริน ***
บันทึกการเข้า
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #511 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2004, 09:08:52 PM »

เมื่อโตมาจนอายุขนาดนี้ เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง..
> > > 1. เวลาไปงานวัด งานสวนอัมพร อย่าไปกินหอยทอดแม่เสน่ห์
> > > ถ้าเงินในกระเป๋าไม่ถึงห้าร้อย
> > >
> > > 2. ชายสี่หมี่เกี๊ยวแต่ละร้าน มันไม่ได้เป็นญาติกันซะหน่อย
> > >
> > > 3. เวลาโทรไปไม่เจอใคร แล้วฝากข้อความไว้ที่ใคร
> > > ควรถามชื่อคนที่เราคุยกับเขาด้วย
> > >
> > > 4. เวลามีโทรศัพท์มา แล้วบังเอิญคนที่โทรมารู้จักกับเพื่อนที่อยู่ข้างๆ
> > > เรา อย่าไปถามว่า จะคุยกับ...ไหม? พูดแค่ “ตอนนี้....ก็อยู่ข้างๆ
> > > ด้วยนะ” ถ้ามันอยากคุยมันก็ขอคุยเอง
> > >
> > > 5. หาดใหญ่ ไม่มีหาด
> > >
> > > 6. คนขวานผ่าซาก ไม่ใช่คนตรง เสมอไป
> > >
> > > 7. ผู้ใหญ่ ไม่จำเป็นต้องอายุมาก อายุมาก ไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้เสมอไป
> > >
> > > 8. จะขับรถเข้าเซ็นทรัลลาดพร้าว อย่าเข้าซ้ายสุด
> > > มันไม่ใช่สะพานเลี้ยวเข้าเซ็นทรัล
> > > มันจะพาเราวนไปส่งลาดพร้าวอย่างไม่ไยดี
> > >
> > > 9. แท็กซี่รู้ทางดีกว่าเรา
> > >
> > > 10. ต้องระวังคนที่ดูเป็นคนดี๊ คนดี
> > >
> > > 11. คนมีหนวด ไม่จำเป็นต้องดุ
> > >
> > > 12. เอารถไปเดอะมอลล์บางกะปิ จอดฝั่งตรงข้ามแล้วข้ามถนนเอาก็ได้
> > > ถ้าไม่อยากแก่ตายในรถ เวลาลงจากที่จอดรถ
> > >
> > > 13. เวลาอกหัก ไม่จำเป็นต้องรีบลืม
> > >
> > > 14. พูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งพูดผิดได้ ไม่เป็นไรฝรั่งไม่ว่า
> > > แต่คนไทยข้างๆ มันจะถากถางเรา
> > >
> > > 15. หนังอาร์ น่าดูกว่าหนังเอ๊กส์
> > >
> > > 16. ไม่มีใครชอบฟังว่า มีคนด่าแกลับหลังมาว่ายังไงบ้าง
> > >
> > > 17. สิว ไม่ได้เกิดจากการเอ็กซ์มากไป
> > >
> > > 18. ออดเรียกพนักงานบนเครื่องบิน ที่มันอยู่ตรงที่เท้าแขนน่ะ
> > > ไม่ได้มีไว้เรียกพนักงานมาแล้วสั่งโค้กแก้วนึง
> > >
> > > 19. หมาเห่า บางทีมันก็กัด
> > >
> > > 20. ขึ้นโรงพัก ไม่ใช่เรื่องซวยขนาดต้องไปอาบน้ำมนต์
> > >
> > > 21. ละครที่เราดูไปแล้วด่าไปด้วย
> > > ส่วนใหญ่เป็นละครที่เรตติ้งสูงสุดขณะนั้น
> > >
> > > 22. ถ้ามีคนบอกว่าดูหนังเรื่องนั้นแล้ว ไม่เห็นสนุก
> > > ถามให้ดีก่อนว่ามันดูมาจากแผ่นวีซีดีหนังซูมหรือเปล่า
> > >
> > > 23. อย่าขอโทษถ้าไม่อยากขอโทษ แต่พอเมื่ออยากแล้วอย่าลังเล
> > >
> > > 24. ผู้หญิงก็ชอบถูกจีบเหมือนกัน
> > >
> > > 25. เวลาจะยัดเงินตำรวจจราจร 100 บาท ไม่ต้องยกมือไหว้บอกมันว่า “
> > > ช่วยผมหน่อยครับ” และเมื่อให้ไปแล้ว ไม่ต้องขอบคุณมันก็ได้
บันทึกการเข้า
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #512 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2004, 09:18:05 PM »

……….เกินกว่าการมองเห็น……….


ผู้โดยสารบนรถประจำทางกำลังมองผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งที่มีไม้เท้าขาวอยู่ในมือ
อย่างเห็นอกเห็นใจ เธอเดินขึ้นบันได
รถอย่างระมัดระวัง
หลังจากชำระค่าโดยสารให้แก่พนักงานแล้วใช้มือคลำหาที่นั่ง
ค่อยๆก้าวลึกเข้าไปตามช่องทางเดิน
จนกระทั่งเขาจะเป็นฝ่ายกระซิบบอกเมื่อพบที่ว่าง เธอจึงนั่งลง
วางกระเป๋าถือไว้บนตักและเก็บไม้เท้าเอามาพาดไว้บนหน้าขา
หนึ่งปีแล้วที่ซูซานวัย 34 ปีได้กลายเป็นคนตาบอด
การวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ผิดพลาด ทำให้เธอต้องตกอยู่ในโลกมืด
ไม่อาจมองเห็นได้อีกต่อไป อารมณ์โกธรแค้น สูญเสียและสงสารตัวเอง
พลันอุบัติขึ้นและดำรงอยู่นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ก่อนนั้นซูซานสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง

แต่บัดนี้เธอรู้สึกเหมือนถูกลงทัณฑ์ด้วยเคราะห์กรรมสักอย่างให้กลายเป็นคนไร้ความสามารถ
ช่วยตัวเองไม่ได้ กระทั่งกลายเป็นภาระของคนรอบข้าง


"ทำไมฉันต้องเป็นเช่นนี้” เธออยากสู้คดี… หัวใจเธอเต็มไปด้วยความโกรธ
แต่ไม่ว่าจะร่ำไห้คร่ำครวญ ตีโพยตีพาย
หรือสวดมนต์วิงวอนเพียงใด เธอก็ตระหนักถึงความจริงอันเจ็บปวดว่า
สายตาเธอนั้นไม่มีวันกลับคืนมาดีได้ดังเดิมอีกแล้ว
เมฆหมอกแห่งความหดหู่ได้ปกคลุมจิตใจที่เคยมองโลกในแง่ดีของซูซานไปเสียแล้ว
เพียงแค่จะใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละ
วันก็ดูจะสั่งสมถมเพิ่มความหงุดหงิดและเหนื่อยอ่อนให้เธอเกินจะแบกทานไหว


ทั้งหมดนี้จึงทำให้เธอต้องผูกพันอยู่กับมาร์ก
ผู้เป็นสามีแต่เพียงผู้เดียว

มาร์กเป็นทหารอากาศซึ่งรักซูซานจนหมดหัวใจ…
เมื่อแรกที่เธอนั้นต้องสูญเสียการมองเห็นไปนั้น เขาได้แต่นั่งมอง
ภรรยาจมอยู่กับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
ถัดมาเขาก็เกิดปณิธานอันแน่วแน่ที่จะช่วยเธอกลับมาเป็นคนเข้มแข็งและมี
ความมั่นใจในตัวเองเหมือนอย่างที่เคยเป็น




จากประสบการณ์ด้านการทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีเพื่อเผชิญกับสถานการณ์อันละเอียด
อ่อน เขาพบว่านี่เป็นศึกหนักที่
ยากสุดเท่าที่เขาเคยเผชิญมา


…และแล้วซูซานก็พร้อมจะกลับไปทำงานอีกครั้งหนึ่ง แต่ปัญหายังมีอยู่ว่า
เธอจะเดินทางไปทำงานได้อย่างไร ก่อนนี้เธอ
เคยใช้บริการรถประจำทาง แต่ยามนี้เธอกลับวิตกที่จะต้องไปไหนมาไหนโดยลำพัง
มาร์กอาสาขับรถไปส่งเธอ แม้ทั้งคู่
จะทำงานกันคนละมุมเมืองเลยก็ตาม


ความคิดดังกล่าวทำให้ซูซานสบายใจขึ้น
ทั้งยังเป็นการสนองความปรารถนาของมาร์กที่อยากดูแลคู่ชีวิตผู้ขาดความมั่นใจ
ที่จะเผชิญกับสถานการณ์อันเปราะบางที่สุดเช่นนี้




ในไม่ช้ามาร์กก็ตระหนักว่าความคิดนั้นไม่เข้าท่าวุ่นวายและสิ้นเปลืองมากเกินไป


"ซูซานต้องกลับไปขึ้นรถประจำทางอีกครั้ง” เขาสรุปกับตัวเอง…
แต่เพียงแค่คิดจะเอ่ยเรื่องนี้กับเธออย่างไร ก็ทำให้
เขารู้สึกหนักใจเสียแล้ว เนื่องจากเพราะเธอต้องการคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
บวกกับยังเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่มาก

“เธอจะคิดอย่างไรนะ…“ มาร์กอดปรารภกับตัวเองไม่ได้


การณ์เป็นไปตามที่มาร์กคาดไว้ไม่มีผิด
ซูซานกลัวที่จะกลับมานั่งรถประจำทางอีกครั้ง

“ฉันตาบอดนะ ” เธอกล่าวอย่างขมขื่น

“แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังจะไปไหน มาร์ก…
คุณรู้สึกไหมว่าฉันรู้สึกว่าคุณกำลังจะทอดทิ้งฉัน” หัวใจมาร์กพลอย
ปวดร้าวเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
เขาจึงสัญญาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเธอทุกเช้าและเย็นจนกว่าเธอจะค่อยๆคุ้นชิน

แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆๆ…..........



เป็นเวลาสองสัปดาห์ที่ผู้โดยสารบนรถประจำทางสายนั้นได้เห็นมาร์กในเครื่องแบบทหาร
เต็มยศ ปรากฏร่างอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนเธอทั้งเช้าและเย็นทุกวัน
เขาเฝ้าอดทนสอนให้เธอรู้จักใช้ประมาทสัมผัสอื่นๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการได้ยิน เพื่อจะได้รู้ว่าขณะนี้กำลังอยู่ที่ใด
รวมทั้งยังสอนให้เธอรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่
และช่วยเธอผูกมิตรกับพนักงานขับรถ เพื่อที่เขาคนนั้นจะได้ช่วยดูแล
หาที่นั่งให้เธออีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้เขายังทำให้เธอหัวเราะได้แม้ในวันที่ดูจะเป็นปัญหา เช่น
ตอนที่เธอหกล้มขณะเดินลงรถ หรือตอนที่เธอทำ
กระเป๋าถือหล่นจนเป็นผลให้เอกสารทั้งหลายทั้งปวงร่วงเกลื่อนทางเดิน


ทั้งคู่จะออกเดินทางด้วยกันตอนเช้า
แล้วมาร์กก็จะนั่งแท๊กซี่กลับไปทำงานตามปกติ
ถึงแม้ว่านี่จะดูเป็นการสิ้นเปลืองและ
ทำให้มาร์กเหน็ดเหนื่อยมากกว่าความคิดแรก

แต่เขาก็รู้ดีว่ามีแต่เวลาเท่านั้นที่จะช่วยให้เธอสามารถขึ้นรถประจำทางได้ด้วยตัวเอง
เขายังเชื่อมั่นในตัวเธอเสมอ…
ซูซานผู้ไม่เคยเกรงกลัวการท้าทายอันใด และไม่ยอมเลิกราอะไรง่ายๆ

ในที่สุด วันที่ซูซานรู้สึกว่าตนพร้อมที่จะเดินทางโดยลำพังก็มาถึง


ก่อนจะก้าวขึ้นรถประจำทางในเช้าวันจันทร์…
เธอได้โอบกอดมาร์กผู้เป็นสามีและเคยเป็นเพื่อนร่วมทางบนรถที่ดีที่สุดของเธอ

ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความตื้นตันในความซื่อสัตย์
ความอดทนและความรักที่สามีต่อเธอ จากนั้นเธอได้
กล่าวลา และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองแยกกันเดินทางไปทำงาน


จากวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส… แต่ละวันดำเนินไปด้วยดี ทว่าลึกๆ
แล้วซูซานไม่เคยรู้สึกดีขึ้นเลย เธอเพียงแต่ทำไป
ตามปกติ เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง…


เช้าวันศุกร์ เธอยังคงขึ้นรถประจำทางไปทำงานเช่นเคย
และเมื่อกำลังจะลงจากรถนั้น เธอได้ยินคนขับรถพูดขึ้นมาว่า


"แหม… ผมอิจฉาคุณจัง”

แรกทีเดียวซูซานไม่มั่นใจว่าเขาพูดกับเธอหรือเปล่า…
ก็ใครเล่าจะอิจฉาคนตาบอดผู้พยายามรวบรวมความกล้าหาญเพื่อ
ที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ แต่ด้วยความอยากรู้ เธอจึงถามกลับไปว่า


“ทำไมคุณอิจฉาล่ะ” คนขับรถตอบว่า
“ผมคงรู้สึกดีมากๆ
หากมีใครสักคนมาคอยดูแลปกป้องเหมือนอย่างที่คุณได้รับอยู่ ”
ซูซานไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดจึงถามอีก
“คุณหมายความว่าอย่างไรกัน” เขาตอบว่า
“คุณรู้ไหมว่าทุกเช้าๆตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้

มีสุภาพบุรุษหน้าตาดีคนหนึ่งในเครื่องแบบทหารยืนตรงหัวมุมถนนคอยเฝ้าดูคุณ
เวลาคุณก้าวลงจากรถ

รอจนมั่นใจว่าคุณได้ข้ามถนนอย่างปลอดภัยแล้วและยังคงคอยกระทั่งคุณเดินเข้าไปใน
อาคารสำนักงานจนเรียบร้อย

จากนั้นก็ส่งจูบและคำนับให้นิดหนึ่งก่อนจะเดินจากไป…นี่ละ…ผมจึงเห็นว่าคุณเป็น
สุภาพสตรีที่โชคดีเหลือเกิน”


น้ำตาแห่งความปลื้มปิติค่อยๆไหลรินลงมาอาบแก้มของซูซาน
แม้ขณะนี้เธอไม่อาจมองเห็นเขาได้ด้วยสายตาตนเองก็จริง
แต่เธอสามารถสัมผัสได้ตลอดเวลาถึงการมีอยู่ของมาร์ก เธอช่างโชคดี
โชคดีมากๆ เพราะเขาได้มอบของขวัญที่มีคุณค่ามากกว่าการมองเห็น… ข อ ง ข วั ญ
ที่ เ ธ อ ไ ม่ จำ เ ป็ น ต้ อ ง ไ ด้ เ ห็ น ถึ ง จ ะ เ ชื่ อ …

เป็นของขวัญแห่งความรักที่สามรถนำมาซึ่งแสงสว่างไปสู่ทุกๆหนแห่งในความมืดมิด
****ที่มา หนังสือ…โลกไม่ไร้หัวใจเจือจาน
รวมเรื่องแปลแห่งความปรารถนาดี****


บันทึกการเข้า
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #513 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2004, 09:25:51 PM »

Guys always say "I LOVE YOU" to girls,
but do u know the true meaning of it....

I-'m
L-ooking
O-ver your
V-aginal
E-ntry,
Y-ou must take
O-ff your
U-nderware

Get It

Regards,
****************************************
Beer and Milk

Beer has zero fat; milk is loaded with fat.

Beer has zero cholesterol; a glass of milk has 20 mg.

Beer doesn't contain hormones or antibiotics,
while milk contains trace amounts of pesticides and
antibiotics given to cows to keep them healthy.
Most milk also contains rBGH,
a hormone that can give men bitch-tits.

Beer has half a gram of fiber in every cup;
milk has no fiber.

Beer has only 12 mg of sodium per 122 mg.
Milk has more than double that.

A glass of beer has 3 grams of complex carbohydrates;
milk has none.

Dairy products contribute to stroke, iron-deficiency,
allergies, many cancers, asthma, heart disease, and the common cold
บันทึกการเข้า
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #514 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2004, 09:37:33 PM »

นรก กับ สวรรค์(แด่ชาวสพป. Wink )

ในนิทานเรื่องหนึ่งของชาวเดนมาร์ก
มีคนคนหนึ่งนอนอยู่ในเวลากลางคืน
มีนางฟ้าลงมาที่ห้องนอนของเขา
ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก
เขาก็ไป

นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่งบอกว่า
ถึงนรกแล้ว"
ที่นั้นเป็นห้องใหญ่ ๆ มีโต๊ะยาว ๆ
บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีต
อร่อยทุกประเภท
มีคนนั่งอยู่หลายคน
นางฟ้าก็บอกว่า "นี่!นรก"
คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก
แต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร
นางฟ้าบอกว่าที่นี่
อนุญาตให้กินอาหารดี ๆได้
แต่มีเงื่อนไขว่าต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตร
เวลาตักอาหารเข้าปาก มันก็
ไม่ถึงสักที มันหกลงพื้น
เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก
พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก
เลยผอมเพราะอดอาหาร
อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อยแต่ไม่สามารถเอามาถึงปากของตน

นางฟ้าพาไปอีกห้อง บอกว่านี่สวรรค์
ห้องที่สองนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ
เรามักจะคิดว่าสวรรค์กับนรกต่างกัน
แต่ความจริงสวรรค์กับนรกนี้คล้าย ๆ กัน
มีโต๊ะอาหารยาว ๆ อาหาร
ประณีตหลาย ๆ อย่างเหมือนกันหมด
มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่ง
แต่แปลกที่คนที่สวรรค์ยิ้มแย้มแจ่มใส
อ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย ดูว่าเขากินอย่างไร
เขาก็ต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรเหมือนกัน
เอ...ทำไมมันไม่เหมือนที่นรก?"
พอดูดี ๆ อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์คือ
คนข้างหนึ่งของโต๊ะเขาตักอาหารด้วยช้อนยาว ๆ
เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม
คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้
ก็เลยได้กินกันทุกคน อยู่อย่างสุขสบาย

สรุปว่า
ที่นรก คนคิดแต่จะได้อย่างเดียว
คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง
คิดแต่ว่าเราจะได้อาหารที่เราชอบ

แต่ที่สวรรค์นั้น มีการช่วยเหลือกัน
มีความรักสามัคคีกัน
คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
ก็ได้รับความสุขกันทุกคน


*****************
บันทึกการเข้า
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #515 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2004, 12:04:07 PM »


ความรักที่ถูกลงโทษ

วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก
แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น
ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ
แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง
แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิด
แม้จากระยะไกล ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ
และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองพ่อตาโตด้วยความหวาดหวั่น รอคอยที่จะถูกทำโทษ
พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พิง โดยไม่พูดอะไรสักคำ
หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก หนังสือคือความรู้ และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง
แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก
แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้ หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน
พ่อกลับนั่งลง หยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้
แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง
พ่อเขียนที่ข้างๆ ลายเส้นที่แอนดี้ขีด “ภาษาของแอนดี้ เมื่ออายุสองขวบ ”
ต่อไปนี้ ไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ
ที่น่ารักและดวงตาที่สดใสของลูก และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้
มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย
เหมือนกับที่พี่ๆ ของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน"
“ ว้าว...” ฉันคิด นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ?
นานๆครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น
ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า…
'อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง' ซึ่งนั่นก็คือ 'คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ'
ลองมองย้อนดูตัวคุณเอง ในแต่ละวันบ้างว่า เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อยู่เสมอ
เช่นคุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ
แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ และคุณก็ทำสีหน้าที่ตำหนิเธอและคำพูดที่บอกว่า
“เดี๋ยวผมเทเองก็ได้ ” นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก
น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน เพราะอาหารมื้อนั้น
ไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้วซิ แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอกนะ
เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป
ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ และได้คิดถึงทุกครั้งว่าภรรยารักและเอาใจใส่ผมมากเท่าใด
อยากปรนนิบัติเอาใจ (จนเทซอสหกใส่ผม) แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว
ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั่งล่ะ (ทีนี้ตาผมมั่ง) รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว
แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่ นาฬิกาเรือนละแสน
หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ
ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่ง เฝ้ารัก เฝ้าถนอมความรู้สึกคุณอยู่ตลอดเวลาต่างหาก
...แล้วคุณละ เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือเปล่า…

บันทึกการเข้า
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #516 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2004, 10:01:15 PM »


   มาดู...ของคุณนะ "ใหญ่" และ "มีคุณภาพ"แค่ไหน



ถ้าตอบว่า "ใช่" เกิน 8 ข้อขึ้นไปถือว่า OK แล้วละครับ
1.มีขนาดใหญ่กว่าความกว้างฝ่ามือ

2.มีขนาดไล่เลี่ยกับขนาดความยาวของฝ่ามือ

3.เมื่อกำมือให้แน่น มักจะใหญ่เกินมือนั้นนิดหน่อย

4.ขนาดของสิ่งนั้น มักจะไม่แปรผันตามตัวเจ้าของเสมอไป

บางคนตัวใหญ่แต่...เล็ก

บางคนตัวเล็กแต่....นั้นใหญ่

5.เมื่อถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้า จะเกิดอาการตอบสนองอย่างรวดเร็ว

6.เมื่อสิ่งเร้าเข้ามารุกแบบหนักหน่วง จะเก็บอาการไว้ไม่ได้ คนรอบ
ข้างจะสังเกตเห็นได้ชัด

7.มีน้ำคอยหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา และน้ำที่ว่าจะผ่านเข้า -ออก อยู่เป็นประจำ

8.ชอบเอาสิ่งที่ว่านี้ไป "ใส่"อยู่กับคนอื่นอยู่เสมอๆ

9.คนรอบข้างที่ถูกสิ่งนั้น "ใส่" จะรู้สึกอาการชื่นชอบและต้องการถูก "ใส่" อยู่ซ้ำๆจนไม่อยากเลิก

10.สิ่งที่ว่านั้นไม่สามารถเปิดเผยในที่สาธารณชนได้

11.หลายคนยอมตายเพื่อจะได้เอาสิ่งนั้นมา "ใส่" ไว้กับตัวเอง

12.หลายคนต้องตาย เพราะเอาสิ่งนั้นมา "ใส่" ไว้มากเกินไป

13.แต่สุดท้ายจะมีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้เป็นเจ้าของสิ่งๆนั้นและจะถูกมัน "ใส่" แต่เพียงผู้เดียว



.......................และใครรู้บ้างไหม ? สิ่งนั้นคือ
อะไร ..............................

..
..

...


....


........


.....




อิอิ....อย่าคิดมาก... สิ่งนั้นคือ ...........



.......

....

....

....

...

....
"หัวใจ" ไงล่ะ..............

วันนี้คุณได้ "ใส่ใจ" ให้กับคนที่คุณรัก และรักคุณหรือยัง.......


แว๊กกกกกกก ห้าห้าบวก
บันทึกการเข้า
bembem
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #517 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2004, 12:07:17 AM »

 เธอจะไปกับใครฉันไม่ว่า
 เธอจะลาจากเมื่อไหร่ฉันไม่สน
 เชิญเธอไปอยู่กับใครสักกี่คน
 ฉันไม่ทนเก็บเธอไว้ไขมันส่วนเกิน
บันทึกการเข้า
bembem
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #518 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2004, 12:57:29 AM »

รถเมล์ไทย...ไชไย
ปอ.10 
(พระประแดง-รังสิต) รถเมล์สายนี้"หยิ่ง"ที่สุดในประเทศไทย คาดว่าคนขับทั้งหลายคงเป็นคนรวยแอบมาขับรถเล่นแก้เซ๊งไปวันๆ ไม่ง้อผู้โดยสาร ยิ่งรถตัวเองโล่งเท่าไรยิ่งชอบ ไม่ชอบจอดรับผู้โดยสาร ต่อให้โบกจนมือหัก มีวิธีป้องกันผู้โดยสารจะขึ้นโดยการเลยไปจอดไกลๆป้ายเพื่อให้ผู้โดยสารลงแล้วซิ่งต่อทันที ต่อให้ผู้โดยสารที่จะขึ้นวิ่งไปถึงประตูก็แล้วเหอะ แถมเป็นรถหายากนานๆมาคันนึง ถ้าหลาดแล้วละก็ ไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกินรอคันต่อไปได้เลย
สาย 8
(ปากคลองตลาด-แฮปปี้แลนด์)
รถเมล์สายนี้ที่ซิ่งเร็วที่สุดในประเทศไทย คาดว่าคนส่วนใหญ่จะเป็นพวกแข่งรถมือสมัครเล่นที่ตกงานหรือสอบตกจากการเทิร์นโปร เลยหันชีวิตมาขับรถเมล์แทน แต่มองหน้าแล้วนึกว่าเพิ่งหนีออกมาจากคุก ขอแนะนำสำหรับผู้โดยสารหน้าใหม่ว่าอย่นั่งเบาะหน้า(ยาวๆ)เด็ดขาด หัวคุณอาจโขกหรือพุ่งชนกระจกหน้ารถได้ พึงจับราวให้มั่น ก้าวขึ้น-ลงให้ไวเข้าไว้
ปอ .6
(พระประแดง-ปากเกร็ด)
รถเมล์สายที่วิ่งยาวสุด เริ่มต้นสายจากจังหวัดสมุทรปราการ พาเที่ยวชมรอบเมืองกรุงเทพฯ อาทิ พระปรางค์วัดอรุณฯ สะพานพุทธฯ วัดโพธิ์ ท่าเตียน ท่าช้าง ท่าพระจันทร์ สนามหลวง วัดพระแก้ว ฯลฯ ไปจนสุดสายที่จังหวัดนนทบุรี ด้วยแพ็คเกจราคาสุดประหยัด
 ( สมุทรปราการ - กรุงเทพฯ - นนทบุรี )เพียง 18 บาท ตลอดการเดินทาง(กรุณานำอาหารมาเอง)เหมาะกับการพาคนแก่และเด็กเดินทางเล่น เพราะจำกัดความเร็วเพียง 40กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปลอดภัยแน่ๆสนใจติดต่อ ขสมก. เริ่มทัวร์ได้ตั้วแต่เวลา 05.30 - 21.00 น. ทุกวัน (ปล.เนื่องจาก ปอ. ใช้แอร์ระบบ hottest first ป้องกันผู้โดยสารหนาวจนแข็งตายจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมเสื้อกันหนาวมาแต่ประการใด)
บันทึกการเข้า
โจ ™
สมาชิกลำดับที่: 41
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 219
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8187


รวมเวลาที่อยู่ในระบบ: 555 วัน 5 ชั่วโมง 55 นาที


เว็บไซต์
« ตอบ #519 เมื่อ: ธันวาคม 29, 2004, 09:55:23 AM »

http://www.thaiwebcool.com/toon/a/livetoon.asp?toonid=7
บันทึกการเข้า

บางโพ 5
อรชุน-รักในหลวง
หมู่โลหิต O
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1599
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10265


ขาย-อัพเกรด คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง


« ตอบ #520 เมื่อ: มกราคม 01, 2005, 06:38:06 PM »

คุณโบว์เรียนที่ลาดกระบังเหรอวิศวะสาขาอะไรอ่ะ มีเพื่อนต่อโทการจัดการอุตสาหกรรมอยู่ที่นั้นเผื่อรู้จักกัน Huh Huh Grin Grin
บันทึกการเข้า
JarengkaBOW
Dog in Thailand
Hero Member
*****

คะแนน 18
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6150

By physically, the object couldn't lit by itself.


เว็บไซต์
« ตอบ #521 เมื่อ: มกราคม 01, 2005, 07:28:46 PM »

คุณโบว์เรียนที่ลาดกระบังเหรอวิศวะสาขาอะไรอ่ะ มีเพื่อนต่อโทการจัดการอุตสาหกรรมอยู่ที่นั้นเผื่อรู้จักกัน Huh Huh Grin Grin

สารสนเทศเจ้าคะ
บันทึกการเข้า

I am dying... -*-


ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6569


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« ตอบ #522 เมื่อ: มกราคม 10, 2005, 05:29:19 PM »

ฮาดี โหลดดูครับ

http://www.funpic.hu/swf/numanuma.html

บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
JarengkaBOW
Dog in Thailand
Hero Member
*****

คะแนน 18
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6150

By physically, the object couldn't lit by itself.


เว็บไซต์
« ตอบ #523 เมื่อ: มกราคม 10, 2005, 06:03:52 PM »

โหลดนานมากอะท่านทัดฯ นี่ขนาดอยู่ที่ออฟฟิส ยังดูได้ทีละกระจึ๊ก กระจึ๊ก หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า

I am dying... -*-


ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6569


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« ตอบ #524 เมื่อ: มกราคม 11, 2005, 10:15:34 AM »

โจทย์คณิตฯคริสต์มาส

ในโลกปัจจุบัน มีเด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี อยู่ประมาณ ๒๐๐๐ ล้านคน แต่หักลบเด็กศาสนาอื่น เนื่องจากซานตาไม่แวะไปให้ของขวัญเด็กมุสลิม เด็กยิว เด็กถือผี และ เด็กพุทธ(ยกเว้นเด็กพุทธในประเทศญี่ปุ่นบางส่วน) จึงลดประชากรเยาวชนลงเหลือ ๑๕ % ของยอดรวม ตามข้อมูลองค์กรสำรวจประชากรโลก หากนับอัตราเฉลี่ยที่ครอบครัวมีบุตรธิดา ๓.๕ คนต่อครอบครัว จึงเหลือครอบครัวที่ซานตาจะต้องแวะเอาของขวัญไปให้ ๑๐๘ ล้านครัวเรือน หากใช้สมมติฐานว่า ในแต่ละครัวเรือน จะมีเด็กดีอยู่อย่างน้อยหนึ่งคน

ด้วยความเป็นใจจากสภาพทางภูมิศาสตร์ ซานตาจึงมีเวลาทำงาน ๓๑ ชั่วโมง ในคืนวันคริสต์มาสตามเวลาที่ต่างๆกันของทั่วโลก จึงได้ผลลัพท์ว่า ซานตาจะต้องแวะไปยัง ๙๖๗.๗ ครัวเรือนต่อหนึ่งวินาที(หากทุกครัวเรือนมีเด็กดีหนึ่งคน) หรือจะได้ค่าเวลาการเยือนหนึ่งครอบครัว รวมทั้งสิ้น ครัวเรือนละ ๑/๑๐๐๐ วินาที ซึ่งหมายความว่า ในเวลาหนึ่งในพันของวินาที ซานตาจะต้องเบรครถเลื่อน จอด โดดลงมา ปีนลงปล่องไฟ ยัดของขวัญลงถุงเท้า วางของขวัญที่เหลือใต้ต้นคริสต์มาส กินคุ้กกี้ดื่มนมที่เด็กๆทิ้งไว้ให้ คลานกลับขึ้นปล่องไฟ โดดกลับขึ้นรถลาก แล้วแล่นต่อไปยังครัวเรือนอื่นอีก

สมมติว่า แต่ละครัวเรือนมีระยะทางเฉลี่ยเรียงรายห่างจากกันเท่าๆกันไปทั่วโลก (เพื่อความสะดวกในการคำนวณ) แต่ละบ้านจะห่างจากกัน ๐.๗๘ ไมล์ (ถามว่า ๑ รัศมีของโลกจะยาวเท่าไหร่)

สมมติว่าซานตาทำงานโดยไม่ต้องหยุดพักกินดื่มหรือเข้าห้องน้ำ รถเลื่อนของซานตาจะต้องเดินทางด้วยความเร็ว ๖๕๐ ไมล์ต่อวินาที - สามพันเท่าของความเร็วของเสียง (ถามว่า ๒. ความเร็วของเสียงเป็นเท่าไร) เพื่อการเปรียบเทียบ ยานเร็วที่สุดที่มนุษย์สร้างได้ คือยานอวกาศยูลีสีส ที่กำลังโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็ว ๒๗.๔ ไมล์ต่อวินาที และกวางเรนเดียร์ปกติทั่วไป วิ่งได้ความเร็วเลี่ย ๑๕ ไมล์ต่อชั่วโมง

สมมติว่า โดยเฉลี่ย เด็ก(ดี)แต่ละคน จะได้รับของขวัญประมาณชุดต่อเลโก้หนึ่งชุด ซึ่งหนักประมาณ ๒ ปอนด์ payload (ต้องเรียกแบบนี้เพราะรถเลื่อนของซานตาวิ่งเร็วกว่ายานอวกาศไปแล้ว) ของรถเลื่อน คงต้องเป็น ๕,๐๐๐,๐๐๐ ล้านปอนด์ (ไม่รวมน้ำหนักของซานตาด้วย เพื่อรักษามารยาทของผู้เขียน) บนพื้นดิน กวางเรนเดียร์แต่ละตัว จะลากน้ำหนักได้ไม่เกินตัวละ ๓๐๐ ปอนด์ ถึงแม้ว่า เราจะเพิ่มกำลังให้กวางเหาะให้มีสิบเท่าของกวางปกติ คงใช้กวางแค่เจ็ดแปดตัวไม่ได้ เราต้องใช้กวางถึง ๓๖๐,๐๐๐ ตัว ก็จะเพิ่มน้ำหนัก payload อีก ๕๔,๐๐๐ ตัน โดยไม่นับรวมน้ำหนักของรถเลื่อนเข้าไปด้วย หรือประมาณน้ำหนักรวมเจ็ดเท่าของ เรือพระที่นั่ง ควีนอะลิซาเบธ(ไม่นับรวมน้ำหนักของควีนด้วย)

มวล ๖๐๐.๐๐๐ ตัน เมื่อเคลื่อนไปในอากาศด้วยความเร็ว ๖๕๐ ไมล์ต่อวินาที ย่อมทำให้เกิดแรงต้านจากความกดดันของอากาศ ก็จะทำให้เกิดความร้อน เช่นเดียวกับการตกกลับเข้ามาของยานอวกาศ กวางคู่หน้า จะได้รับความร้อนนี้ถึง ๑๔.๓ x ๑๐๑๒ joules พูดง่ายๆว่า กวางคู่นำ จะลุกไหม้ขึ้นทันที และก่อให้เกิด โซนิคบูม ตามมาอย่างกึกก้อง กวางที่เหลือ จะลุกไหม้กลายเป็นไอไปในเวลา ๐.๐๐๔๒๖ วินาที หรือเมื่อประมาณซานตาเดินทางมาถึงครัวเรือนที่ ๕

ส่วนซานตานั้น เมื่อเดินทางด้วยความเร็ว ๖๕๐ ไมล์ต่อวินาที แล้วต้องหยุดลงภายในเวลาเพียง ๐.๐๐๑ วินาที ศิริรวมแล้วจะต้องรับแรงอัดมีค่าประมาณ ๑๗,๐๐๐ จี หากให้สมมติฐานว่า ซานตาระดับผอมที่สุดจะหนัก ๒๕๐ ปอนด์ จะหาค่าแรงกดทับตัวซานตากับพนักเก้าอี้ได้ว่า มีถึง ๔,๓๑๕,๐๑๕ ปอนด์ จนกระดูก เนื้อตัว และชุดของซานตาจะผสานกันหมด (คำถามที่ ๓ เราจะมองเห็นผลลัพท์ของซานตาเป็นสีอะไรจากสเปคตรัมรวม)
(หมายเหตุ - ไม่ประกันความถูกต้องของตัวเลขการคำนวณโจทย์นี้ เพียงแต่บอกได้ว่า มาจากครึ่งหนึ่งของทีมที่ดีไซน์เครื่องบินคองคอร์ด)
บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
หน้า: 1 ... 32 33 34 [35] 36 37 38 ... 64
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.096 วินาที กับ 21 คำสั่ง