เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 17, 2025, 01:44:30 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ใครพอทราบวิธีสู้กับโรคเก๊าท์บ้างครับ  (อ่าน 11131 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
R2D2
ท้าเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
Hero Member
*****

คะแนน 366
ออฟไลน์

กระทู้: 6023



« เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 12:46:36 PM »

กรดยูริคในเลือดของผมสูงเฉียด ๆ จะเป็นโรคเก๊าท์ และตอนนี้เริ่มปวดข้อนิ้วมือบ้างแล้ว 2-3 นิ้ว อาหารนี่โดนห้ามกินโน่นกินนี่ไปหมดเลย ท่านใดมีวิธีดี ๆ ที่จะสู้กับโรคนี้บ้างครับ ยาสมุนไพร หรือวิธีปฏิบัติตัว ..อะไรก็ได้..ขอบคุณล่วงหน้าครับ 
บันทึกการเข้า
Audy452 ♥ รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1180
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 14952



« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 12:56:18 PM »

เป็นโรคนี้อยู่เหมือนกันครับ  หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า

khwanphet_NAVY 39
Hero Member
*****

คะแนน 129
ออฟไลน์

กระทู้: 2035


« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 01:00:54 PM »

.................................รักษายากครับเพราะมันขลำเรื่องกินบ่ได้ครับ.............................................................. ไหว้
บันทึกการเข้า
ART
ชีวิตคิดบวก แล้วจะ Happy
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 552
ออฟไลน์

กระทู้: 10811



« ตอบ #3 เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 01:01:38 PM »

ต้องไปหา หมอกินยาลดกรดยูริค นะครับแต่ต้องกินตลอดชีวิตนะครับ ผมเป็นกินอยู่ครับ ยังไม่ปวดหรือบวมเจอก่อนครับ
บันทึกการเข้า

สหายแป๋ง คนดง
ถึงตัวเจ้าจะจากไปแต่ชื่อและความดีของเจ้าจะอยู่ในใจพี่เสมอ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2284
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 53136


ป่าสร้างคนแต่คนกลับสร้างป่า ด้วยลมปาก


« ตอบ #4 เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 01:28:12 PM »

  วิธีต่อสู้และรักษาโรคนี้คงต้องปรึกษาแพทย์ครับ  ตัวผู้ป่วยเองก็ต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทสัตว์ปีกทั้งหลายครับ
บันทึกการเข้า

รักชาติ  ศาสน์  กษัตริย์ 
ยืนหยัดในความเป็นไทย


  เกิดเป็นเซื้อซาดแฮ้ง  อย่าเหม็นสาบกุยกัน.......
  ข้าราษฎรประจำไทยควรคำนึง
http://www.youtube.com/watch?v=gM1D0xIwLVo
ต้นคระกูลไทย
http://www.youtube.com/watch?v=
* ตุ้งแช่ *
Full Member
***

คะแนน 42
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 255



« ตอบ #5 เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 01:29:33 PM »

ลองดิ่มน้ำใบย่านางคั้นสด ๆ ดูครับ
ครั้งละ 1 แก้วใบใหญ่ อาทิตย์ละ 2 - 3 ครั้ง

พ่อผมได้วิธีนี้ มาจากคนขับรถประจำตำแหน่ง
สมัยที่พ่อยังรับราชการอยู่
ซึ่งพ่อผมได้แนะนำให้ใคร ๆ อีกหลายคน ๆ ลองดื่ม - ก็ได้ผลดี
ปัจจุบันพ่อผมยังดื่มน้ำต้มใบย่านางแดง ทุกวัน

วิธีดื่ม
เก็บใบย่านางแดงสด หรือตากแค่แดดเดียว
ลงต้มในน้ำเดือด ให้น้ำเดือดก่อนนะครับ
แล้วกรองเอาเฉพาะน้ำ ดื่มแบบชา   ไหว้
บันทึกการเข้า

เกียรติยศ ชื่อเสียง คนอื่นเขาให้มา   แต่หน้า...........เราขายเอง
Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5711
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 48212



« ตอบ #6 เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 01:43:35 PM »

พ่อผมเป็นอยู่ของแสลงที่ห้ามเช่น เครื่องในสัตว์ต่างๆ ยอดผักต่างๆ ของมันๆ พ่อฟาดเรียบหมด พออาการกำเริบปวดขาเดินไม่ไหว
ก็โทรเรียกพี่ให้พาไปฉีดยา
 ช่วงหลังชักจะเข็ดแล้วเพราะกินทีไรก็ปวดทุกที ฉีดยาทุกที ก็หายปวด แต่ท่าทางไม่กลัวแฮะพอรู้ว่าฉีดยาแล้วหายอยากกินอะไรก็กินอีก
เฮ้อ  คนแก่ดื้อห้ามยากมากถึงมากที่สุดครับ
บันทึกการเข้า

๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง  แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
                      
                             โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 02:12:23 PM »

                 ผมเป็นมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ ถึงบัดนี้  อาการค่อยๆทุเลาลงตามลำดับด้วยการ

                 ๑.  ทานยาตามแพทย์สั่ง วันละ ๑ เม็ดหลังอาหารเช้า

                 ๒.  เลิกเด็ดขาด เครื่องในสัตว์ทุกชนิด รวมถึงแกงพุงปลา (ไตปลา) ราดขนมจีนของสุดโปรด

                 ๓.  สัตว์ทะเลบางชนิดที่ไม่เยี่ยว เช่น ปู   กุ้ง   หอย  (แต่ก็ยังกินบ้างแหละครับ)

                 ๔.  ออกกำลังกายเบาๆ

                 ๕.  ทำร่างกายให้อบอุ่นเสมอ ด้วยการดื่ม เอ้ย ไม่ใช่ครับ  เวลาอากาศหนาวก็อย่าปล่อยให้ร่างกายหนาวจะพาลเข็ดเมื่อย

                 
                   เท่าที่นึกได้ก็แค่นี้แหละครับ        อนึ่ง พอสังเขป  อาการแพ้เก๊าท์ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวด้วยครับว่าแสลงอาหารประเภทไหน

                   คอยสังเกตุเอาเอง  เพื่อนผมที่เป็นมันกินของที่ผมไม่กิน  และผมกินของที่มันบอกว่าแสลง เช่น ยอดผักต่างๆ

                   แต่ผมแพ้แตงกวาแฮะ   แต่ไม่แพ้ตอเบา


                   หมายเหตุ ...... ยูริคผมที่สูงสุด คือ ๑๑-๑๒

บันทึกการเข้า

                
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #8 เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 02:15:57 PM »

พ่อผมเป็นอยู่ของแสลงที่ห้ามเช่น เครื่องในสัตว์ต่างๆ ยอดผักต่างๆ ของมันๆ พ่อฟาดเรียบหมด พออาการกำเริบปวดขาเดินไม่ไหว
ก็โทรเรียกพี่ให้พาไปฉีดยา
 ช่วงหลังชักจะเข็ดแล้วเพราะกินทีไรก็ปวดทุกที ฉีดยาทุกที ก็หายปวด แต่ท่าทางไม่กลัวแฮะพอรู้ว่าฉีดยาแล้วหายอยากกินอะไรก็กินอีก
เฮ้อ  คนแก่ดื้อห้ามยากมากถึงมากที่สุดครับ

                      อันตรายต่อสุขภาพผู้ป่วยเองนะครับ  ทั้งยาฉีด ยากิน แก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ มีผลกระทบรุนแรงถึงไตโดยตรง

                      ทำเก่งมากๆ เจอไตวายเข้าจะพูดไม่ออก ....... บังต้องขู่โดยเอาภาพคนที่ต้องฟอกไต+ค่าใช้จ่ายให้แกดูหน่อย

บันทึกการเข้า

                
DekWatPa_รักในหลวง
Jr. Member
**

คะแนน 6
ออฟไลน์

กระทู้: 48


« ตอบ #9 เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 02:22:56 PM »

โรคเก๊าท์และการดูแลอาหารของผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์

โรคเก๊าฑ์  โดยนพ.สุเมธ เถาหมอ

โรคเก๊าท์ เกิดจากภาวะที่กรดยูริคในเลือดมีปริมาณสูงเกินไป เกินกว่าที่จะสามารถอยู่ในเลือดในรูปสารละลายได้ จึงมีการตกตะกอนสะสมอยู่ตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในที่ที่มีอากาศเย็นกว่าบริเวณอื่น  เช่น ตามข้อ ทำให้ข้ออักเสบ หรือ ตามศอก นิ้ว ติ่งหู ตาตุ่ม หลังเท้าทำให้เกิดปุ้มก้อนเกิดขึ้น
สาเหตุ
สาเหตุของเก๊าท์ เกิดเนื่องจากร่างกายมีกรดยูริคสูงเกิน เป็นเวลานาน สำหรับผู้ชาย ระดับยูริคจะสูงตั้งแต่ ในช่วงวัยรุ่น แต่ผู้หญิงด้วยฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศ จะไม่สูง แต่จะสูงเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว ระดับยูริคที่สูงจะไม่ทำให้เกิดอาการ แต่จะสะสมตกตะกอน
ไปเรื่อย ๆ จนเริ่มมีอาการทางข้อเมื่อกรดยูริค ในเลือดสูงไปประมาณ 10-20 ปีแล้ว
ยูริคในเลือดที่สูงกว่าร้อยละ 90 เกิดจากร่างกายผลิตเอง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องให้ผู้ป่วย โรคเก๊าท์งดอาหารใด ๆ ที่มียูริคสูงเลยและการกินอาหารที่มียูริคสูง (ที่คนทั่วไปเข้าใจกันเช่น เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก) ก็ไม่ได้ทำให้ เกิดโรคเก๊าท์แต่อย่างใดและเนื่องจากโรคเก๊าท์มักเป็นในผู้ป่วยที่มีอายุค่อนข้างมาก ซึ่งมักจะมีโรคอื่นร่วมด้วย เช่น   เบาหวาน ความดันเลือดสูง ซึ่งจำเป็นต้องงดอาหารหวาน อาหารเค็มอยู่แล้ว การให้ผู้ป่วยเก๊าท์งดอาหารอีก จะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถกินอาหารอะไรได้เลย (ยกเว้นไปกินแกลบ กินหญ้า) เป็นการทรมานผู้ป่วยเปล่า ๆ

อาการ
อาการของเก๊าท์ที่สำคัญคือ ข้ออักเสบ มักเกิดที่บริเวณนิ้วหัวแม่เท้า, ข้อเท้า เป็นต้น โดยข้อที่อักเสบ จะบวม แดง ร้อน และปวดมาก ชัดเจน (ถ้าข้อที่ปวด ไม่บวม แดง ร้อน หรือมีอาการไม่ชัดเจนให้สงสัยไว้ ก่อนว่าไม่ใช่เก๊าท์) โดยมากมักเป็นข้อเดียวและมีอาการอักเสบอยู่ประมาณ 5-7 วัน อาการจะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง จนหายสนิท ระหว่างที่ไม่มีอาการ จะไม่มีความผิดปกติใด ๆ  ให้เห็น เมื่อข้ออักเสบขึ้นใหม่ จะมีอาการเช่นเดิมอีก อาการจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นมากขึ้น  อาการข้ออักเสบจะเป็นมากขึ้นหลายข้อมากขึ้น เป็นนานและรุนแรงขึ้น รวมทั้งเกิดปุ่มก้อนของยูริค สะสมมากขึ้น ผู้ป่วยระยะนี้มักมีไตวายร่วมด้วย

การรักษาเก๊าท์แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่
1. การรักษาข้ออักเสบ ในช่วงนี้แพทย์จะใช้ยาลดการอักเสบของข้อก่อน โดยใช้ยา โคลชิซิน หรือยาแก้ปวดลดอักเสบ หรือใช้ร่วมกัน เพื่อลดอาการปวดข้อและอักเสบ ยาโคลชิซินโดยทั่วไปแนะนำให้ใช้ ไม่เกินวันละ 3-4 เม็ด โดยกินยาทุก 4 ชั่วโมง จนกว่าจะหายปวด
การใช้ยาตามคำแนะนำของต่างประเทศที่ว่าให้กินทุก 1 ชั่วโมงจนหายปวดหรือจนเกิดผลข้างเคียงคือท้องเสียนั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะข้อไม่เคยหายอักเสบก่อนท้องเสียเลย ดังนั้นผู้ป่วยจะท้องเสียทุกรายและมีความรู้สึก ที่ไม่ดีต่อการใช้ยานี้ การกินยาไม่เกิน 3-4  เม็ดต่อวัน โอกาสเกิดผลข้างเคียงนี้ น้อยมาก ผู้ป่วยเก๊าท์ในระยะข้ออักเสบ ห้ามนวด! เด็ดขาด เพราะจะทำให้ข้ออักเสบเป็นรุนแรงขึ้นหายช้าลงได้
2. การลดกรดยูริคในเลือด โดยใช้ยาลดกรดยูริค ในผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบมากกว่า 1 ครั้ง ควรให้ยาลดกรดยูริคถ้าทำได้  การกินยาดังกล่าวจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องสม่ำเสมอไปนานหลายปี ทั้งนี้เพื่อลดระดับยูริคในเลือดลง  ทำให้ตะกอนยูริคที่สะสมอยู่ละลายออกจนหมดผู้ป่วยจะสามารถหายจากโรคเก๊าท์ได้ แต่ข้อควรระวังคือ
 - ยาลดกรดยูริค มีผลข้างเคียงที่แม้จะพบไม่มากแต่สำคัญ คือทำให้เกิดผื่นแพ้ยารุนแรง และลอก เป็นอันตรายมาก
 การกินยาไม่สม่ำเสมอ กิน ๆ หยุด ๆ เสี่ยงต่อการแพ้ยามาก ดังนั้นผู้ป่วยที่ไม่สามารถจะกินยาสม่ำเสมอได้ ไม่แนะนำให้กินยา
 - เนื่องจากผู้ป่วยที่เป็นเก๊าท์ ให้การวินิจฉัยโดยลักษณะอาการทางคลินิค ไม่ได้อาศัยการเจาะตรวจยูริคในเลือด
ดังนั้นผู้ที่เจาะเลือดแล้วมียูริคสูง ไม่ได้บอกว่าเป็นเก๊าท์ ถ้าไม่มีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์มาก่อน ไม่จำเป็นต้องรักษา
มีผู้เข้าใจผิดอยู่มาก โดยให้กินยาลดกรดยูริคเมื่อตรวจพบเพียงแต่ยูริคในเลือดสูง เพราะยูริคในเลือดสูง ไม่ได้เป็นเก๊าท์ทุกราย  แต่การกินยาจะเสี่ยงต่อการแพ้ยาข้างต้นได้


อีกบทความหนึ่งวึ่งจะกล่าวถึงการดูแลเรื่องอาหารของผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์ด้วย
 
โรคเก๊าท์ เกิดจากการเผาผลาญพิวรีนในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีกรดยูริคคั่งในเลือดสูงแ ลตามข้อเล็ก ๆ และอวัยวะบางแห่ง อาจเกลือโซเดียมยูเรตเกาะอยู่ทำให้เกิดอาการที่อวัยวะนั้นๆ  ส่วนมากอากาศจะเกิดเป็นครั้งคราว มักจะกำเริบมากขึ้น เมื่อบริโภคอาหารพวก นิวคลีโอโปรตีน และไขมันมาก  หรือขณะดื่มแอลกอฮอล์และการออกกำลังกาย ทำให้กรดยูริคมากขึ้น



การกรดยูริคในร่างกายเกิดได้ 2 ทางคือ   

1.เกิดจากกสารพิวรีน  หรือนิวคลิโอโปรตีน  ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารที่บริโภคส่วนนี้เป็นกรดยูริคที่เกิดจากสาเหตุภายนอก จำนวนพิวรีนที่เกิดจากอาหารบริโภค  จะเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนพิวรีนที่มีในอาหาร ถ้าบริโภคอาหาร เครื่องในสัตว์ จะทำให้มีกรดยูริคสูงขึ้น อาหารบางชนิดกระตุ้นให้ระบบทางเดินอาหารให้ทำงานเพิ่มมากขึ้น จะทำให้มีกรดยูริคเพิ่มมากขึ้น จึงสรุปได้ว่า กรดยูริคจะเปลี่ยนแปลงไปตามอาหารบริโภคที่มีโปรตีน การออกกำลังกาย และตามการทำงานของต่อมต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร

2.เกิดจากสารพิวรีน ที่ได้จากการสลายตัวของพวกเซลล์ของอวัยวะในร่างกาย เป็นกรดยูริคที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย กรดยูริคที่เกิดจากส่วนนี้ ย่อมจะเปลี่ยนไปตามการสลายตัวของอวัยวะ เช่น เซลล์มีการทำงานมากขึ้น หรือมีการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น

อาการของโรคเก๊าท์

1.ระยะแรกมักมีอาการปวดรุนแรงอย่างทันทีทันใด  มักพบอาการปวดที่หัวแม่เท้าก่อน  อาการมักเกิดขึ้นภายหลังการกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงมาก ๆ การดื่มเหล้ามาก หรือการสวมรองเท้าที่คับ บริเวณผิวหนังตรงข้อที่อักเสบจะตึงร้อน เป็นมัน ผู้ป่วยมักจะมีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย มีเม็ดเลือดขาวสูง อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น  ใน 2-3 วัน และหายไปเองในระยะ 5-7 วัน

2.ระยะพัก เป็นระยะที่ไม่มีอาการแสดง แต่กรดยูริคในเลือดมักสูง และอาการอักเสบอาจเกิดขึ้นอีกจนถึงขึ้นเรื้อรัง อาจมีอาการเป็นระยะ ๆ เนื่องจากผลึกยูเรตเป็นจำนวนมากสะสมอยู่ในข้อกระดูกเยื่ออ่อนของข้อต่อ และบริเวณเส้นเอ็น ทำให้เกิดโรคข้อกระดูกเสื่อม  เมื่อเป็นมากจะมีการสะสมของผลึกนี้ที่เยื่อบุภายในปลอกหุ้มข้อ และเกิดปุ่มขึ้นที่ใต้ผิวหนัง มักเริ่มที่หัวแม่เท้า และปลายใบหูก่อน ข้อที่มีผลึกยูเรตเกาะอยู่  อาจเปลี่ยนแปลงจนผิดรูป และเกิดความพิการที่ข้อกระดูกนั้น ๆ

3.อาการแทรกซ้อน  พบว่า  ร้อยละ 25  ของผู้ป่วยข้ออักเสบเฉียบพลันจากเก๊าท์มักมีนิ่วในไตด้วย  ผลึกยูเรตอาจสะสมอยู่ในส่วนหมวกไต ทำให้มีอาการเลือดออกทางปัสสาวะ ถ้ามีการสะสมในไตมาก ๆ จะขัดการทำงานของไต หรือทำลายเนื้อไต ทำให้เกิดภาวะไตล้มเหลว

การควบคุมอาหาร เนื่องจาก กรดยูริคจะได้จากการเผาผลาญสารพิวรีน ดังนั้น ในการรักษาโรคเก๊าท์ จึงต้องควบคุมสารพิวรีนในอาหารด้วย อาหารที่มีพวรีน อาจแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ

อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย ( 0-50 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)
1.นมและผลิตภัณฑ์จากนม
2.ไข่
3.ธัญญพืชต่าง ๆ
4.ผักต่าง ๆ
5.ผลไม้ต่าง ๆ
6.น้ำตาล
7.ผลไม้เปลือกแข็ง(ทุกชนิด)
8.ไขมัน

อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง (50-150 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)
1.เนื้อหมู
2.เนื้อวัว
3.ปลากะพงแดง
4.ปลาหมึก
5.ปู
6.ถั่วลิสง
7.ใบขี้เหล็ก
8.สะตอ
9.ข้าวโอ๊ต
10.ผักโขม
11.เมล็ดถั่วลันเตา
12.หน่อไม้

อาหารที่มีพิวรีนสูง (150 มิลลิกรัมขึ้นไป)    ** อาหารที่ควรงด**

1.หัวใจไก่
2.ไข่ปลา
3.ตับไก่
4.มันสมองวัว
5.กึ๋นไก่
6.หอย
7.เซ่งจี้(หมู)
8.ห่าน
9.ตับหมู
10.น้ำต้มกระดูก
11.ปลาดุก
12.ยีสต์
13.เนื้อไก่,เป็ด
 14.ซุปก้อน
15.กุ้งชีแฮ้
16.น้ำซุปต่าง ๆ
17.น้ำสกัดเนื้อ
18.ปลาไส้ตัน
19.ถั่วดำ
20.ปลาขนาดเล็ก
21.ถั่วแดง
22.เห็ด
23.ถั่วเขียว
24.กระถิน
25.ถั่วเหลือง
26.ตับอ่อน
27.ชะอม
28.ปลาอินทรีย์
29.กะปิ
30.ปลาซาดีนกระป๋อง

การกำหนดอาหาร 

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ควรมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ ประกอบด้วยอาหารหลัก 5 หมู่ เพื่อให้ได้ สารอาหารครบถ้วน และงดเว้นอาหารที่มีพิวรีนมากดังกล่าวแล้ว

1.พลังงาน  ผู้ป่วยที่อ้วน จำเป็นต้องจำกัดพลังงานในอาหาร เพื่อให้น้ำหนักลดลงทั้งนี้  เนื่องจากความอ้วน ทำให้เกิดอาการโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้น  แต่ต้องระมัดระวังในระยะที่มีอาการรุนแรง  ไม่ควรให้อาหารที่มีพลังงานต่ำเกินไป เพราะอาจทำให้มีการสลายของไขมันในเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งจะทำให้สารยูริคถูกขับออกจากร่างกายได้น้อย และอาการของโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้นได้ ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ไม่ควรอดอาหาร และควรได้พลังงานประมาณวันละ 1,200-1,600 แคลอรี่

2.โปรตีน ผู้ป่วยควรได้รับอาหารโปรตีนตามปรกติ ไม่เกิน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยหลีกเลี่ยงโปรตีนที่มีสารพิวรีนมาก

3.ไขมัน ผู้ป่วยควรได้รับอาหารที่มีไขมันให้น้อยลง โดยจำกัดให้ได้รับประมาณวันละ 60 กรัม เพื่อให้น้ำหนักลดลง การได้รับอาหารที่มีไขมันมากเกินไป จะทำให้มีการสะสมสารไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้น ซึ่งการมีสารไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น จะทำให้ขับถ่ายสารยูนิคได้ไม่ดี และพบว่า ผู้ป่วยที่อ้วน และมียูริคในเลือดสูง เมื่อลดน้ำหนักลง กรดยูริคในเลือดจะลดลงด้วย

4.คาร์โปไฮเดรท  ควรได้รับให้พอเพียงในรูปของข้าว แป้งต่าง ๆ  และผลไม้  ส่วนน้ำตาลไม่ควรกินมาก เพราะการกินน้ำตาลมาก ๆ จะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ซึ่งจะมีผลต่อการขับถ่ายสารยูริคด้วย

5.แอลกอฮอล์ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้ามาก ๆ เพราะการเผาผลาญแอลกอฮอล์  จะทำให้มีกรดแลคติคเกิดขึ้น และมีการสะสมแลคเตตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลให้กรดยูริคถูกขับถ่ายได้น้อยลง

การจัดอาหาร

ในการจัดอาหารให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ที่แพทย์ให้จำกัดสารพิวรีนอย่างเข้มงวด  ผู้จัดต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ ทั้งในด้านโภชนาการ และรสชาติ ลักษณะอาหาร เพื่อที่จะให้ผู้ป่วยกินอาหารได้ตามที่กำหนด และได้รับสารอาหารเพียงพอ

1.ในระยะที่มีอาการรุนแรง  ควรงดเว้นอาหารที่มีพิวรีนมาก ในระหว่างมื้ออาหารให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้มาก ๆ จะช่วยขับกรดยูริค ช่วยรักษาสุขภาพของไตและป้องกันมิให้เกิดก้อนนิ่ว พวกยูเรตขึ้นได้ที่ไต
2.งดเว้นอาหารที่ให้พลังงานมาก ได้แก่ ขนมหวานต่าง ๆ อาหารที่มีไขมันมาก เช่น อาหารทอด  และขนมหวาน ที่มีน้ำตาล และไขมันมาก
3.จัดอาหารที่มีใยอาหารมาก แก่ผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้น้ำหนักลดลง
4.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การดื่มเหล้ามีส่วนช่วยให้อาการของโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้น
5.อาหารที่มีไขมันมาก จะทำให้ขับกรดยูริคน้อยลง ทำให้มีการคั่งของกรดยูริคในเลือดมากขึ้น


การลดกรดยูริก

 ข้อบ่งชี้ในการให้ยาลดกรดยูริก

เป็นโรคเกาต์เรื้อรัง และมี tophi
ผู้ป่วยมีการอักเสบของข้อหลายครั้ง
ผู้ป่วยกรดยูริกสูงและมีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดไตเสื่อมเช่นผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีกรดยูริกสูง
การให้ยากลุ่มนี้ควรจะให้เมื่ออาการปวดและอักเสบหายแล้วเนื่องจากการให้ยากลุ่มนี้จะทำให้ข้ออักเสบเพิ่มขึ้นยาในกลุ่มนี้ได้แก่

Allopurinol
Probenecid
นอกจากการใช้ยาแล้วผู้ป่วยยังต้องลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเกาต์

ตรวจระดับกรดยูริกในคนที่มีความเสี่ยง
ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน ออกกำลังกาย
งดอาหารที่มี purine สูง
งดอาหารไขมันสูง
คุมระดับความดันให้ดี
งดแอลกอฮอล์
ดื่มน้ำให้มากๆ
ได้ยาลดกรดยูริก
ระดับ purine ในอาหารชนิดต่างๆ

มี purine สูงควรหลีกเลี่ยงได้แก่ เป็ด ไก่ เครื่องใน ปลาดุก ปลาอินทรีย์ ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน ไข่ปลา กุ้ง หอย กะปิ เบียร์ ขนมปัง เห็ด กระถิน ชะอม ขี้เหล็ก ถั่วดำ ถั่วแระ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง
อาหารที่มี purine ปานกลาง ควรรับประทานให้น้อยลง ได้แก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ปลากะพงแดง ปลาหมึก ปู ถั่วลิสง สะตอ ถั่วลันเตา ข้าวโอต หน่อไม้ กระหล่ำดอก ผักโขม
อาหารที่มี purine ต่ำรับประทานได้โดยไม่จำกัด ได้แก่ แตงกวา ข้าวโพด ผลไม้ ขนมหวาน นม ไข่


กรดยูริกในเลือดสูง

ผู้ถาม อภิลักษณ์/กรุงเทพฯ

ผู้ตอบ พ.ญ.เล็ก ปริวิสุทธิ์

ผมมีความกังวลใจมากที่กรดยูริกสูงขึ้นทุกปี ผมออกกำลังกายทุกวัน ถ้าจะลดกินเนื้อสัตว์กลัวว่าจะขาดสารอาหารประเภทโปรตีน ไม่มีกำลังจะออกกำลังกาย ผมจะทำอย่างไรดี

ถาม :
ผมอายุ 59 ปี มีปัญหาขอเรียนปรึกษาดังนี้ครับ เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2535 ผมไปตรวจเลือด ผลก็คือมีกรดยูริกสูง แต่ปัจจุบันผมไม่มีอาการปวดหรือเจ็บข้อแต่อย่างใด ผมยังออกกำลังกายทุกวัน โดยวิ่งออกกำลังกายวันละประมาณ 3 กิโลเมตร คุณหมอครับ ถ้าผมจะลดกินพวกเนื้อสัตว์แล้วจะสามารถลดกรดยูริกลงได้บ้างหรือไม่ และจะกระทบถึงการออกกำลังกายหรือไม่ หมายถึงว่า จะขาดโปรตีนหรือไม่
ผมออกกำลังกายทุกวัน เช่น วิ่งจันทร์ถึงศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ปั่นจักรยานเสือหมอบ (เป็นระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร) ผมได้แนบใบตรวจเลือดมาให้คุณหมอดูด้วย ช่วยกรุณาแนะนำให้ผมด้วยจะขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ผมมีความกังวลใจมากที่กรดยูริกในร่างกายสูงขึ้นทุกปี และให้คุณหมอช่วยวินิจฉัยโรคเกาต์ของผมด้วยว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร และขอเรียนถามปัญหาดังนี้ครับ
จะต้องฉีดยาลดกรดยูริกหรือไม่

ตอบ :
ภาวะกรดยูริกสูง อาจเกิดจากหลายสาเหตุ และบางครั้งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น เช่น ภายหลังจากการออกกำลังกายที่หักโหม การกินยาแก้ไข้ระงับปวดที่มีแอสไพรินเป็นส่วนประกอบ การดื่มเหล้าหรือเบียร์ ฯลฯ ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดโรคเกาต์ ผู้ที่จะเป็นโรคเกาต์หรือข้ออักเสบที่เกิดจากผลึกของเกลือยูเรตสะสมในร่างกายมากเกินไปนั้นมักจะเป็นผู้ที่มีกรดยูริกในเลือดสูงเป็นเวลานานนับสิบปีหรือหลายสิบปี สำหรับคุณซึ่งไม่มีอาการปวดข้อใดๆ มีเพียงกรดยูริกสูงอย่างเดียว จึงยังไม่ใช่โรคเกาต์ และไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาลดกรดยูริกใดๆ

ถาม :
ถ้าจะลดกินเนื้อสัตว์ กลัวว่าจะขาดสารอาหารประเภทโปรตีน ไม่มีแรงจะออกกำลังกาย ผมจะทำอย่างไรดีครับ

ตอบ :
การลดกินเนื้อสัตว์จะช่วยลดกรดยูริกได้ส่วนหนึ่ง แต่ต้องไม่ลดจำนวนมากจนเกิดภาวะขาดโปรตีนสรุปแล้วคุณควรจะกินอาหารที่มีประโยชน์ทุกประเภทเหมือนคนปกติได้ แต่อาจจะหลีกเลี่ยงสารอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ จำพวก ตับ ไต ตับอ่อน น้ำซุปข้นที่สกัดจากเนื้อสัตว์ ปลาซาร์ดีนกระป๋อง ไข่ปลา เป็นต้น นอกจากนี้การดื่มน้ำมากๆ เช่น ไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ลิตร จะช่วยทำให้กรดยูริกถูกขับออกทางปัสสาวะได้ดีขึ้น และป้องกันการเกิดนิ่วของกรดยูริกได้ด้วย
 

คอลัมน์: ถามตอบปัญหาสุขภาพ
หมวดหมู่: คุยสุขภาพ, โรคข้อ/เกาต์, ถามตอบปัญหาสุขภาพ, โรคเรื้อรัง
นักเขียนหมอชาวบ้าน: รศ.พญ.เล็ก ปริวิสุทธิ์

ที่มา: เว็บไซต์โรงพยาบาลวิภาวดี, เว็บไซต์หมอชาวบ้าน
บันทึกการเข้า
Zeus-รักในหลวง
อะฮู้.....ไฮยีน่าก็เป็นแมวนะคราบบบ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 817
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10983


I'm going to make him an offer that he can't refus


« ตอบ #10 เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 02:24:39 PM »

ยาสมุนไพรหรือการรักษาแบบตะวันออกไม่ว่าจะแผนไทย แผนจีน ฝั่งเข็ม ยาหม้อ หรือสมุนไพร เป็นการแพทย์ทางเลือกครับ.........ก็ต้องถามกลับละครับว่าทำไมถึงอยากจะใช้แพทย์ทางเลือก
เพราะการรักษาตามแผนปัจจุบันไม่ได้ผล หรือไม่สามารถรักษาได้ อันนี้ก็น่าเห็นใจครับ แต่ถ้าเป็นเพราะไม่อยากต้องถูกจำกัดเรื่องการกินอาหาร หรือกลัวความเจ็บปวดที่จะได้รับจากการกินอาหารต้องห้าม อันนี้ไม่แนะนำครับ ไม่ได้ต่อว่านะครับ ผมเอาประสบการณ์ของที่บ้านผมมาเลยละ ย่าผมเองเป็นเก๊า แต่ชอบกินของแสลงพวกเห็ด ฯลฯ ไปปรึกษากับหมอว่าจะใช้แพทย์ทางเลือกครับ............ Smiley
บันทึกการเข้า

“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์
Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5711
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 48212



« ตอบ #11 เมื่อ: เมษายน 22, 2010, 09:55:57 AM »

พ่อผมเป็นอยู่ของแสลงที่ห้ามเช่น เครื่องในสัตว์ต่างๆ ยอดผักต่างๆ ของมันๆ พ่อฟาดเรียบหมด พออาการกำเริบปวดขาเดินไม่ไหว
ก็โทรเรียกพี่ให้พาไปฉีดยา
 ช่วงหลังชักจะเข็ดแล้วเพราะกินทีไรก็ปวดทุกที ฉีดยาทุกที ก็หายปวด แต่ท่าทางไม่กลัวแฮะพอรู้ว่าฉีดยาแล้วหายอยากกินอะไรก็กินอีก
เฮ้อ  คนแก่ดื้อห้ามยากมากถึงมากที่สุดครับ

                      อันตรายต่อสุขภาพผู้ป่วยเองนะครับ  ทั้งยาฉีด ยากิน แก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ มีผลกระทบรุนแรงถึงไตโดยตรง

                      ทำเก่งมากๆ เจอไตวายเข้าจะพูดไม่ออก ....... บังต้องขู่โดยเอาภาพคนที่ต้องฟอกไต+ค่าใช้จ่ายให้แกดูหน่อย




 ต้องพาลุงปูไปยืนยันครับถึงจะเชื่อ
บันทึกการเข้า

๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง  แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
                      
                             โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #12 เมื่อ: เมษายน 22, 2010, 09:59:54 AM »

  ต้องพาลุงปูไปยืนยันครับถึงจะเชื่อ

                      ไม่ได้หรอกครับ  ผมสุขภาพดี-ดีมาก  อิอิ (ไม่ได้โม้)

                       อยากให้แกเชื่อต้องลากคนไตพัง อ้อ พาแกไปหาคนไตพังดูสภาพจริงๆแล้วแกอยากเป็นแบบนั้นก็ปล่อยได้เลย  ฮ่าๆ

บันทึกการเข้า

                
แปจีหล่อ
Hero Member
*****

คะแนน 6324
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8253



« ตอบ #13 เมื่อ: เมษายน 22, 2010, 11:09:10 AM »

โทรมาหาผมสิครับจะแนะนำยาให้ถ้าบอกในเวปเกรงว่าเพื่อนๆที่เป็นสมาชิกจะคิดว่าเป็นการอาศัยเวปโฆษณา 0875275658 ครับ
บันทึกการเข้า

สีกากีเป็นสีของดิน ข้าราชการควรต้องติดดิน ออกพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้าน ข้าราชการคือ ข้าที่ทำกิจการต่างๆให้กับพระราชา เครื่องแบบข้าราชการสีกากีคือสีแห่งข้ารับใช้แผ่นดิน
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #14 เมื่อ: เมษายน 22, 2010, 01:27:04 PM »

ลดอาหารที่มีกรดยูริกสูงครับ  ดื่มใบย่านางก็ช่วยได้ครับ   ไหว้


ประสบการณ์ของผู้ป่วยที่ใช้ใบย่านางแก้ไขปัญหาสุขภาพ จนมีผลให้อาการเจ็บป่วยทุเลาเบาบางลง
- เนื้องอกในมดลูก มดลูกโต ตกเลือด ตกขาว ปวดตามร่ายกาย
- มะเร็งปอด
- มะเร็งตับ
- มะเร็งมดลูก
- โรคหัวใจ โรคไต โรคกระเพาะอาหารอักเสบ เนื้องอกในเต้านม
- เบาหวานและความดันโลหิตสูง
- ขับสารพิษ
- ภูมิแพ้ ไอ จาม
- เริ่ม งูสวัด
- ตุ่มผื่นคันที่แขน
- อาการปวดแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ
- นอนกรน ไตอักเสบ
- อาการปวดขาที่แขน
- เล็บมือผุ
- เก๊าต์

วิธีใช้
ใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิล คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล
บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุล แบบร้อนเกิน ดังนี้
เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว 200-600 ซีซี
ผู้ใหญ่ ที่รูปร่างผอม บางเล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็กทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วน ตัวตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว

โดยใช้ใบย่านางสดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือ ขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น
( แต่การปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า จะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็น
ของย่านาง ) แล้วกรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1/2 - 1 แก้ว วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง
หรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำ เพราะถ้าเกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม
แต่ถ้าแช่ในตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วัน โดยให้สังเกตุที่กลิ่นเปรี้ยวเป็นหลัก
......................................
นอกจากนี้แล้ว
ยังสามารถใช้น้ำย่านางมาสระผม ช่วยให้ศีรษะเย็น ผมดกดำหรือชลอผมหงอก
ผสมดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากให้เหลวพอประมาณ ทาสิว ฟ้า ตุ่ม ผื่นคัน พอกฝีหนอง
...............................

http://www.apichoke.com/index.php?topic=886.0
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.114 วินาที กับ 20 คำสั่ง