พอดีผมเคยมีประสบการณ์ในการรบกับนายทะเบียนตอนขอซื้อปืนกระบอกแรกอยู่เหมือนกัน ( ตอนนี้มีอยู่กระบอก
เดียวที่ใช้อยู่นี่แหละครับแต่พูดเผื่อไว้ก่อนเพราะคิดว่าเดี๋ยวต้องมีตามมาอีกแน่ ๆ

)
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าเมื่อประมาณ 2 - 3 ปี ก่อนผมได้ย้ายไปรับราชการในจังหวัดแห่งหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อเรื่องนายทะ
เบียน ซึ่งผมกับนายทะเบียนท่านนี้คงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันจนกระทั่งวันหนึ่งนายอำเภอท่านนี้ได้มาขอความช่วยเหลือ
จากหัวหน้าของผมซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนระดับจังหวัด ( ขอไม่บอกหน่วยงานนะครับ ) ซึ่งทางหัวหน้าผมได้มอบหมายให้
ผมกับพี่อีกคนหนึ่งช่วยดูแลจัดการให้ซึ่งก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะเรื่องที่นายอำเภอมาขอความช่วยเหลือก็ไม่ใช่เรื่อง
ที่ผิดกฎหมายหรือผิดระเบียบอะไร และสามารถจัดการให้ได้ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีปืนสวัสดิการเข้ามาพอดี ทางนายอำ
เภอก็เลยเอ่ยปากกับหัวหน้าของผมว่าหัวหน้าของผมและพวกผมต้องการขอใบอนุญาตซื้ออาวุธปืนเพื่อไปซื้อปืนสวัสดิการ
หรือไม่เนื่องจากเห็นว่าพวกผมทำงานอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งทางหัวหน้าและพวกผมก็เห็นพ้องต้องกันว่าควรจะขอซื้ออาวุธ
ปืนสวัสดิการไปเลยเสียทีเดียว เนื่องจากในตอนนั้นอาวุธปืนสวัสดิการนาน ๆ จะมีเข้ามาทีไม่ได้มีเข้ามาตลอดเหมือนใน
ปัจจุบัน และมักติดปัญหาเรื่องการขอใบ ป.3 ซึ่งมักจะออกล่าช้าจนหมดโครงการไปก่อน หรือไม่ก็วางมัดจำไปแล้วแต่ไม่
ได้รับปืน ก็เลยรวบรวมรายชื่อกันได้ประมาณ 5 6 คน ซึ่งมีตำรวจที่มาคอยดูแลความปลอดภัยด้วย ขั้นตอนการยื่นคำ
ขอจนกระทั่งออกใบ ป.3 ก็ไม่มีปัญหาอะไรเนื่องจากนายอำเภอก็อำนวยความสะดวกให้ด้วยดี
จนกระทั่งขั้นตอนการออกใบ ป.4 นี่แหละครับ หลังจากที่พวกผมได้รับอาวุธปืนมาแล้วและทางร้านแจ้งว่าจะดำเนิน
การส่งเอกสารการตัดโอนไปให้ทางอำเภอ ทางผมก็เลยให้ตำรวจคอยติดตามสอบถามเรื่องการตัดโอนไปหลายครั้งแต่ก็ไม่
มีความคืบหน้า จนกระทั่งวันหนึ่งรุ่นพี่ของผมก็เลยเดินทางไปกับตำรวจติดตามเพื่อไปสอบถามความคืบหน้าด้วยตนเองจึง
ได้พบกับปลัดท่านหนึ่ง ( ระดับ 7 ) ปลัดท่านนี้ก็เลยแจ้งกับรุ่นพี่ของผมว่าเนื่องจากตอนนี้ทางอำเภอขาดคนดำเนินการ
เรื่องการออกใบ ป.4 เลยจำเป็นต้องจ้างคนนอกมาทำงานให้ ซึ่งงบที่ใช้ก็ไม่ใช่เงินงบประมาณ จึงขอค่าดำเนินการใบละ
200 บาท พวกผมมี 6 ใบ ก็เป็นเงิน 1,200 บาท รุ่นพี่ผมก็เลยบอกกับปลัดไปว่าเกรงว่าพวกจะต่อว่าได้ว่าจ่ายเป็นค่า
อะไรไปทำไม่มีหลักฐาน ทางปลัดก็เลยถ่ายสมุดรับเงินไว้ให้รุ่นพี่ผม รุ่นพี่ก็เลยพูดกับปลัดต่อว่าถ่ายมาแต่สมุดอย่างนี้ไม่มี
ใครลงชื่อรับรองเลยเกรงว่าพวกผมจะไม่เชื่อขอให้ปลัดช่วยลงชื่อรับรองหน่อยได้ไหม ( รุ่นพี่ผมหัวใสดีจริง ๆ ) ปลัดก็เลย
เอาตรายางมาประทับพร้อมกับลงชื่อให้ ( ตายสนิทตอนนี้แหละ ) เสร็จแล้วรุ่นพี่ผมก็กลับมาสำนักงานพร้อมกับเล่าเรื่องให้
หัวหน้ากับพวกผมฟัง ) จนกระทั่งเย็นของวันเดียวกันก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้าใจว่าคงเป็นปลัดเด็ก ๆ หรือไม่ก็พวกลูกจ้างเอา
เงินสดจำนวน 1,200 บาท มาคืนให้พวกผม พร้อมกับบอกว่าปลัดคนดังกล่าวให้เอามาคืน ( เข้าใจว่าปลัดคงจะเพิ่งทราบ
ว่ารุ่นพี่ผมมาจากหน่วยงานไหนในภายหลัง ) ทางรุ่นพี่ผมก็รับไว้แต่ก็ไม่ได้คืนเอกสารที่ปลัดลงชื่อรับรองไปให้ด้วย
ถ้าให้ทุกท่านเดาก็คงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ ตอนแรกพวกผมก็คิดเช่นนั้นครับ แต่มันกลับตรงกันข้าม
เพราะหลังจากนั้นทางพวกผมก็ให้ตำรวจที่คอยติดตามไปสอบถามความคืบหน้าเรื่องใบ ป.4 แต่ทางปลัดคนนี้ก็แจ้งว่ายัง
ไม่คืบหน้า เอกสารการตัดโอนยังไม่มา บ่ายเบี่ยงไปเรื่อย จนกระทั่งพวกผมได้รับปืนมาแล้วเกือบ 6 เดือน ก็ยังออกใบ ป.4
ไม่ได้ แถมในระหว่างนั้นได้ยินข่าวเข้าหูมาว่า ( พอดีรุ่นพี่ที่สนิทกันเป็นปลัดอยู่ในอำเภอนี้ด้วย ) นายอำเภอท่านนี้ได้ไปพูด
กับลูกน้องในอำเภอว่าถ้าหัวหน้าผมไม่ไปขอนายอำเภอด้วยตนเองก็ไม่ออกใบ ป.4 ให้พวกผมเด็ดขาด ( ทั้งที่หัวหน้าผมเป็น
หัวหน้าส่วนระดับจังหวัด แต่ตัวเองเป็นหัวหน้าส่วนระดับอำเภอเท่านั้น แถมตนเองเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือจากหัวหน้า
ของผมก่อน ) จนท้ายที่สุดพวกผมครบวาระต้องโยกย้ายแต่ก็ไม่มีใครได้ใบ ป.4 จากอำเภอนี้ สุดท้ายได้น้องที่เป็นปลัดอีก
คนหนึ่งช่วยหาหนังสือเวียนของกระทรวงมหาดไทยให้ได้ว่าในกรณีที่ได้ใบ ป.3 จากอำเภอหนึ่งแล้ว หากต้องย้ายไปอยู่อีก
อำเภอหนึ่งก็สามารถออกใบ ป.4 ให้ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบ 6 เดือน พวกผมก็เลยแจ้งย้ายปลายทางไปที่อำเภออื่น
และขอออกใบ ป.4 ที่อำเภอที่ย้ายไปใหม่ได้ทันทีโดยขอเอกสารจากร้านปืนเพื่อนำไปตัดโอนเองโดยใช้เวลาเพียง 2 วัน
สุดท้ายพวกผมได้มาปรึกษากันดีว่าจะทำอย่างไรดีกับนายอำเภอและปลัดคนนี้ เลยได้ข้อสรุปกันว่าปกติพวกเราไม่
ชอบกลั่นแกล้งหรือรังแกใครถ้าวันนั้นปลัดเอาเงินมาคืนเราถึงจะเป็นเรื่องที่ผิดแต่พวกเราก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่แทนที่จะสำ
นึกว่าพวกเราไม่ติดใจเอาความแต่กลับใช้อำนาจมากลั่นแกล้งพวกเราจนต้องย้ายชื่อออกไปขอใบ ป.4 ที่อำเภออื่น พวกเรา
ก็เลยไปแจ้งความดำเนินคดีกับปลัดและนายอำเภอคนนี้โดยใช้สมุดรับเงินดังกล่าวที่ยังเก็บไว้อยู่เป็นหลักฐานสำคัญในการ
ดำเนินคดี ซึ่งทาง ปปช. ได้สั่งให้ตำรวจดำเนินการสอบปากคำพวกผมเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งส่วนตัวของผมคิดว่าปลัดท่านนี้
ตายสนิทแน่นอน แต่พวกผมไม่ได้ติดใจปลัดท่านนี้สักเท่าไหร่แต่ติดใจนายอำเภอมากกว่าเพียงแต่ว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วมัน
ก็ต้องพ่วงกันไปยกพวง ซึ่งเท่าที่ทราบปลัดท่านนี้ยังคงทำงานอยู่เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ส่วนนายอำเภอล่า
สุดได้ข่าวมาว่าก้าวหน้าได้ย้ายไปเป็นปลัดจังหวัดแห่งหนึ่ง และได้พยายามขอวิ่งเต้นผ่านทางผู้ว่า ฯ และผู้กำกับการ ไม่ขอ
ให้พวกผมดำเนินคดี ( แต่ไม่ยักกะมาขอโทษด้วยตัวเอง ) แต่ทางรุ่นพี่ผม ( คนที่ขอถ่ายสมุดรับเงิน ) เคยทำงานอยู่ ปปช.
มาก่อนได้ฝากฝังพรรคพวกใน ปปช. ไว้เป็นอย่างดีแล้ว โดยยืนยันขอให้ดำเนินคดีกับนายอำเภอท่านนี้ให้ถึงที่สุด ซึ่งคง
อีกพักใหญ่กว่าจะรู้ผลคดี ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรผมจะรีบมาบอก
ท่านคิดว่าท้ายที่สุดผลคดีจะลงเอยอย่างไรกันบ้างครับ
ปล. ตอนแรกพวกผมก็ไม่ได้ติดใจโกรธแค้นอะไรหรอกครับแต่การที่เค้าใช้อำนาจกลั่นแกล้งพวกผมที่เป็นข้าราชการ
เหมือนกันถึงเพียงนี้ ไม่ต้องคิดหรอกครับว่าชาวบ้านจะเป็นอย่างไร ตรงนี้แหละครับที่พวกผมรับไม่ได้ และคิดว่าถ้าไม่ทำ
อะไรสักอย่างจะทำให้พวกเขาได้ใจและคิดว่าจะทำอะไรกับใครก็ได้ทั้งที่หัวหน้าของผมถือว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด
ก็เลยจำเป็นต้องเล่นบทรุนแรงกลับ ยังไงถ้ามีผู้อ่านท่านใดเป็นฝ่ายปกครองก็ต้องขอโทษไว้ล่วงหน้านะครับเพราะเท่าที่ผม
สัมผัสมาก็มีหลาย ๆ ท่านตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ไดเหมารวมว่าไม่ดีทั้งหมด เพียงแต่ในทุกองค์กรก็ต้องมี
เนื้อร้ายที่จำเป็นต้องตัดทิ้ง ซึ่งองค์กรของผมก็ยอมรับว่ามีเหมือนกันครับ